ครั้งหนึ่ง ภาพยนตร์ในรูปแบบวิดีโอเคยเดินทางมาจนเกือบจะถึงตอนจบ แต่มาได้ Adam Sandlerตลอดจนนักแสดงและดาราตลกคนอื่นๆ ชุบชีวิตผ่านการตลาดเจาะฐานแฟนพันธุ์แท้โดยตรงด้วยบริการสตรีมมิ่ง ในฉากหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Click ซึ่งเข้าฉายเมื่อปี 2006 Adam Sandler เจอรีโมทวิเศษที่ทำให้เขาควบคุมเวลาได้ กว่า 10 ปีหลังจากนั้น เป็นรีโมทคอนโทรลนี่เองที่สร้างรายได้ให้เขามหาศาลอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เลยจุดสูงสุดของเส้นทางอาชีพนักแสดงมานานมากแล้ว
ตลอดระยะเวลากว่า 12 เดือนที่ผ่านมา Adam Sandler โกยรายได้ราว 50.5 ล้านเหรียญ (อันดับที่ 35 ในการจัดอันดับ Celebrity 100 คนดังที่ทำรายได้สูงสุดในโลกประจำปี 2017 จัดโดยนิตยสาร Forbes) โดยมากแล้วมาจากสัญญาที่ทำกับ Netflix ซึ่งเข้าใจดีว่าฐานผู้ชมหลักของเขามักจะเป็นแนวนั่งอยู่บ้านกินป๊อปคอร์น อยากจะดู Sandler โชว์ความเพี้ยนเมื่อไหร่ก็ดู มากกว่าจะเป็นพวกติสต์ๆ ออกไปดูตามโรงภาพยนตร์ เรียกได้ว่า นี่คือโมเดลวิดีโอภาพยนตร์รูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับนักแสดงที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นมากกว่าแต่ก่อนที่จะเน้นนักแสดงที่เจาะกลุ่มผู้ชมวงกว้าง
ตอนที่ Howard Stern เซ็นสัญญามูลค่า 500 ล้านเหรียญกับ สถานีวิทยุ SiriusXM เมื่อ 10 ปีก่อนเท่ากับเป็นการทำนายยุคสตรีมมิ่งไว้เป็นนัยๆ แต่ทุกวันนี้ผู้ชมมากขึ้น เม็ดเงินก็มากขึ้นด้วย อย่าง Netflix มีงบประมาณให้ Sandler เรื่องละ 60 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา Netflix ทำรายได้ 8.8 พันล้านเหรียญ แต่ปิดจำนวนผู้ชมไว้เป็นความลับ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Netflix บอกว่า นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 สมาชิก Netflix ชมภาพยนตร์ของ Sandler รวมกันกว่า 500 ล้านชั่วโมง หรือเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 5 ชั่วโมง ต่อสมาชิก 1 คน
ในบรรดานักแสดงตลกที่ติดโผการจัดอันดับของเรานั้น Jerry Seinfeld มีรายได้มากกว่าใคร (อันดับ 18 ที่ 69 ล้านเหรียญ) ส่วนใหญ่มาจากผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง 2 ราย คือ Hulu ซึ่งจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพื่อให้ได้สิทธิ์ออกอากาศรายการซิทคอม “Seinfeld” อีกรายคือ Netflix ซึ่งวงในบอกว่า Netflix จ่ายค่าเดี่ยวไมโครโฟนรอบพิเศษ 2 ครั้งตกครั้งละ 20 ล้านเหรียญ และยังซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์ออนไลน์ Comedians in Cars Getting Coffee อีกด้วย เรียกได้ว่านี่คือรายการพิเศษของ HBO แห่งศตวรรษที่ 21 ต่างกันที่ Netflix จ่ายหนักกว่าหลายเท่า
ขณะเดียวกัน Dave Chappelle (อันดับ 43 ที่ 47 ล้านเหรียญ) กลับเข้ามาติดโผการจัดอันดับ Celebrity 100 หลังจากหายหน้าหายตาไปถึง 11 ปี โดยเขาทำเงินจากเดี่ยวไมโครโฟน 3 รอบพิเศษได้ชั่วโมงละ 20 ล้านเหรียญ ขณะที่ Chris Rock (อันดับ 30 ที่ 57 ล้านเหรียญ) ขึ้นโชว์รอบพิเศษ 2 รอบ รับค่าตัวรอบละ 20 ล้านเหรียญ มากกว่าครั้งสุดท้ายที่เคยพูดให้กับ HBO ในรายการ Kill the Messenger ถึง 4 เท่าตัว
Paul Verna หัวหน้านักวิเคราะห์สื่อวิดีโอจาก eMarketer กล่าวถึงรายการทอล์คโชว์ตลกเอาไว้ว่า “ถ้ารายการพวกนี้ทำให้สมาชิกจานดาวเทียมเพิ่มขึ้นได้ ในธุรกิจสตรีมมิ่งก็ไม่ต่างกัน”
บริการสตรีมมิ่งยังเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาด DVD และสื่อบันเทิงในครอบครัวที่หมดยุคลงไปแล้ว หลังจากที่เคยทำรายได้เกือบ 2 เท่าตัวจากการฉายบันทึกเทปภาพยนตร์ โดยในยุคฝืดเคืองนั้นรายได้ของค่ายหนังอย่าง Paramount (ไม่ต้องพูดถึง Blockbuster ที่ปิดตัวลงไปแล้ว) ตลอดจนนักแสดงอย่าง Sandler ทรุดตัวอย่างหนัก
แต่สำหรับ Sandler กับเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นยังนับว่ามีความหวัง แม้ว่ายอดเงินจากการฉายภาพยนตร์ในสหรัฐฯ จะยังคงน่าผิดหวัง เช่น That’s My Boy (2012) ทำยอดขายคืนมาได้เพียง 36.9 ล้านเหรียญในสหรัฐฯ จากต้นทุน 70 ล้านเหรียญ ส่วน Blended (2014) ทำเงินในสหรัฐฯได้ 46.3 ล้านเหรียญ ขณะที่ลงทุนไป 40 ล้านเหรียญ ในทางกลับกัน Sandler กลับดึงดูดผู้ชมที่ดูหนังอยู่กับบ้านได้เป็นจำนวนมาก เช่น เรื่อง Blended สามารถขายแผ่น DVD และ Blu-Ray ได้รวม 18.5 ล้านเหรียญ หรือมากกว่า Horrible Bosses 2 ที่ไม่มี Sandler แสดงถึงกว่า 2 เท่าตัวทั้งที่ยอดขายในโรงภาพยนตร์ไม่ต่างกัน
“ที่ใดที่ยังมีการซื้อขายหรือเช่า DVD กันอยู่ก็แสดงว่ามีอาณาจักร Sandler อยู่ที่นั่น แม้เจ้าตัวอาจจะรู้สึกดีใจแปลกๆ ก็เหอะ” Paul Dergarabedian นักวิเคราะห์สื่อรุ่นใหญ่ จาก ComScore กล่าว
Sandler เข้าร่วมงานกับ Netflix โดยในปี 2014 เขาเซ็นสัญญาเหมามูลค่า 250 ล้านเหรียญเพื่อผลิตภาพยนตร์ภาคพิเศษ 4 เรื่องภายใต้คอนเซปต์ยิ่งเพี้ยนยิ่งดี เขาเคยป่าวประกาศไว้ว่า “ถึงเวลาของสตรีมมิ่งแล้วครับ!” ในงานแถลงข่าวครั้งหนึ่ง
แฟนคลับของ Sandler ยังคงติดตามต่อไปโดยไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Ridiculous Six (2015) โดนตราหน้าจากนักวิจารณ์ว่า “เปิดกี่ทีก็ทนดูไม่ไหว” ขณะที่เว็บไซต์ Rotten Tomatoes ให้คะแนน 0% แต่ Netflix บอกว่านี่คือภาพยนตร์ที่มีการเข้าชมสูงที่สุดในเดือนแรกที่ออกอากาศเลยทีเดียว
ทุกวันนี้ แม้กระทั่งลูกรักนักวิจารณ์อย่าง Brad Pitt ก็ยังหันมาหากินกับสตรีมมิ่งด้วย ว่ากันว่าเขารับเงิน 20 ล้านเหรียญจากบทบาทภาพยนตร์เสียดสีสงคราม War Machine ที่เพิ่งฉายทาง Netflix ขณะที่ขาใหญ่แห่งฮอลลีวูดคนอื่นๆ ยังคงโกยรายได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน อาทิ Netflix ทุ่มทุน 90 ล้านเหรียญเพื่อสร้างหนังเรื่อง Bright ที่มี Will Smith เป็นตัวชูโรง แหล่งข่าวบอกว่า Smith จะได้รับเหนาะๆ 30 ล้านเหรียญ
ส่วนนักแสดงตลกในโผ Celebrity 100 ก็น่าจะยังได้รับเงินเข้ากระเป๋าอยู่ได้เรื่อยๆ โดยหลังจากที่ Rock รับเงินก้อนโตไปแล้ว ก็ถึงคิวของ Louis C.K. (อันดับ 34 ที่ 52 ล้านเหรียญ) และ Amy Schumer(อันดับ 69 ที่ 37.5 ล้านเหรียญ)ที่โกยเงินอีกหลักสิบล้านจากบันทึกการแสดงของพวกเขา
ขณะเดียวกัน Netflix หันมาทุ่มทุนกับ Sandler ในภาพยนตร์ใหม่อีก 4 เรื่องที่มีต้นทุนพอๆ กัน แต่ยังนับว่าเป็นเงินเพียงน้อยนิดจากแผนงบประมาณ 6 พันล้านเหรียญที่เตรียมทุ่มให้กับงานบันเทิงในปีนี้ ซึ่งส่วนมากใช้ลงทุนซื้อลิขสิทธิ์นำเนื้อหาของผู้อื่นมาเผยแพร่ แม้บรรดานักวิเคราะห์จะกังขาว่า Netflix จะมีเงินจ่ายขนาดนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน แต่หุ้นของ Netflix ก็ทะยานไปแล้ว 65% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดสูงถึง 7.11 หมื่นล้านเหรียญ มากกว่าที่ Blockbuster เคยทำไว้ในยุครุ่งเรืองถึง 13 เท่าตัว
ป่านนี้ Sandler กับพวกพ้องคงได้หัวเราะฉลองที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดูทางบ้านจนได้ดิบได้ดีกันเลยทีเดียว!
เรื่อง: Natalie Robehmed
เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม
ติดตาม 10 อันดับแรกของการจัดอันดับ CELEB100 คนดังที่ทำรายได้สูงสุดในโลกประจำปี 2017 ที่นี่