การจัดอันดับ “เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก” ประจำปี 2022 - Forbes Thailand

การจัดอันดับ “เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก” ประจำปี 2022

FORBES THAILAND / ADMIN
04 Jul 2022 | 11:20 AM
READ 11695

Mercer บริษัทผู้นำด้านการให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลก เผยผลการจัดอันดับ “เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ประจำปี 2022” เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อหรือแม้แต่สงครามยูเครน ล้วนส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายที่นายจ้างต้องพิจารณาในการโอนย้ายลูกจ้างไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ

“เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก”

ในบรรดากว่า 400 เมืองทั่วโลก “Hong Kong” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก” สำหรับชาวต่างชาติ จากการเปรียบเทียบราคาสินค้า 200 รายการ อาทิ ที่อยู่อาศัย อาหาร และของใช้ในครัวเรือน เพื่อช่วยให้นายจ้างสามารถออกแบบแพ็คเกจค่าตอบแทนอย่างสมเหตุสมผลที่สุด

ทว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดูเหมือนว่า ขณะนี้บริษัทหลายแห่งได้อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ ฉะนั้นรายงานการจัดอันดับครั้งนี้จึงมีการนำดัชนีวัดค่าความอ่อน-แข็งค่าของแต่ละสกุลเงินมาร่วมพิจารณาด้วย

“เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการระบาดใหญ่ คือ ผู้คนตื่นขึ้นมา และตระหนักว่าคุณสามารถทำงานได้จากทุกที่” Vince Cordova พาร์ตเนอร์จาก Mercer's CareerPractice group กล่าว ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า รายงานฉบับนี้จะช่วยให้ “นายจ้างเข้าใจว่าพนักงานของพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากเงินที่จ่ายได้อย่างไร”

นอกเหนือจากข้อมูลค่าครองชีพแล้ว Mercer ยังชี้ให้เห็นว่า สงครามยูเครน การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราเงินเฟ้อกำลังบั่นทองค่าจ้างและเงินออมของพนักงาน และในบรรดาเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ Cordova กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อราคาในบางพื้นที่มากกว่าที่อื่นๆ

ตัวอย่างเช่น Los Angeles (อันดับ 17) รั้งอันดับที่เหนือกว่า San Francisco (อันดับ 19) เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่สูงเกินจริงในบริเวณ Bay Area พื้นที่ที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ซึ่งอนุญาตให้ทำงานทางไกลได้ เป็นต้น ขณะที่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รายงานจากอะพาร์ตเมนต์ Apartment List ระบุว่า พื้นที่บริเวณ San Francisco-Oakland-Berkeley เป็นเมืองสุดท้ายในสหรัฐฯ ที่มีอัตราค่าเช่าต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด

อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เหล่าพนักงานและนายจ้างต่างตระหนักดีว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในสำนักงานเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว

“ถ้าคุณต้องไปสำนักงานใหญ่เพียงสัปดาห์ละ 2 วันหรือน้อยกว่านั้น คุณสามารถหาที่พักที่ตั้งอยู่ไกลๆ ได้จริงๆ” Matthew Kahn ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่ง University of Southern California ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับลักษณะการทำงานทางไกลในอีก 5 ถึง 10 ปีกล่าว “คุณสามารถหาที่พักในรัศมี 80 ไมล์ 100 ไมล์จากใจกลางเมือง นี่เป็นการเปิดโอกาสที่เป็นไปได้มากมาย”

ขณะที่บริษัทต่างๆ จะต้องเผชิญกับพื้นที่สำนักงานที่ว่างเปล่า แต่การทำงานทางไกลจะยังคงอยู่ตลอดไป “บริษัทที่แสวงหาผลกำไรสูงสุดโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ จะพยายามทดลองให้มีนโยบายทำงานจากบ้าน เพื่อให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจ เนื่องจากพนักงานที่ทำงานดีมักมีทางเลือก มิเช่นนั้นบริษัทจะต้องประสบปัญหาด้านทรัพยากรบุคคลอย่างไม่มีทางเลือก”

ทั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับค่าครองชีพในเมืองต่างๆ แต่ Cordova ยืนยันว่า พนักงานไม่เพียงกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในเมืองที่พวกเขาอยู่ แต่ยังรวมถึงคุณภาพชีวิตของพวกเขาในสถานที่เหล่านั้นด้วย ฉะนั้นบริษัทต่างๆ จึงควรให้ความสนใจกับประเด็นเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากพวกเขาต้องการเพิ่มการจ้างงานในระดับประเทศและในระดับโลก

เพราะอัตราเงินเฟ้อปรับตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ทำให้พนักงานจำนวนมากยินดีที่จะโยกย้ายถิ่นฐาน และยึดติดกับสำนักงานลดน้อยลง

พบกับ “10 เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ประจำปี 2022” โดย Mercer บริษัทผู้นำด้านการให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลก

  1. HongKong เขตปกครองพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน
  2. Zurich สวิตเซอร์แลนด์
  3. Geneva สวิตเซอร์แลนด์
  4. Basel สวิตเซอร์แลนด์
  5. Bern สวิตเซอร์แลนด์
  6. Tel Aviv อิสราเอล
  7. New York City สหรัฐอเมริกา
  8. Singapore สิงคโปร์
  9. Tokyo ญี่ปุ่น
  10. Beijing สาธารณรัฐประชาชนจีน
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ These Global Cities Have The Highest Cost Of Living เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: ทำไม Buffett ไม่กลัวขาดทุนช่วงเงินเฟ้อ?

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine