Jim Breyer อภิมหาเศรษฐีแห่งธุรกิจร่วมลงทุน
Jim Breyer อภิมหาเศรษฐีในธุรกิจร่วมลงทุนได้ทบทวนกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองใหม่ทั้งหมด โดยปัจจุบันเน้นลงทุนในปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทำไมจึงเลือกลงทุนใน AI เพียงอย่างเดียว
ผมลงทุนในแผนธุรกิจด้าน AI ซึ่งมีระยะเวลา 10 ปีมาได้ 2 ปีแล้วและมันน่าทึ่งมาก แนวคิดที่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่น่าสนใจที่สุดมาจากศูนย์กลางทางวิชาการซึ่งมีการผสมผสานระหว่างวิทยาการคอมพิวเตอร์ ความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ อย่างเช่นการให้บริการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ รวมถึงจิตวิญญาณของผู้ประกอบการซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในธุรกิจสตาร์ทอัพ
AI ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ MIT ในช่วงทศวรรษ 1950 ทำไมจึงดังระเบิดในตอนนี้เราเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในราวปี 2010 ข้อมูลในระบบคลาวด์เปิดโอกาสให้สามารถทำการวิเคราะห์ชุดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในทันที เรามีความก้าวหน้ามากในด้านวิชวลคอมพิวติ้ง ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากมายให้กับบริษัท AI ด้านการแพทย์อย่าง Paige.AI ซึ่งเป็นบริษัทที่ผมร่วมลงทุน
ผมอ่านพบว่าข้อมูลด้านการแพทย์เพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัวในทุกๆ 60 วัน
ใช่เลย และการใช้ supercomputing ในระบบคลาวด์ก็ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวได้ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเราไม่สามารถเขียนอัลกอริทึมให้จัดการกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่มากได้
ลองยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยได้ไหม
ที่ Memorial Sloan Kettering เรามีชุดข้อมูลด้านพยาธิวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกชุดหนึ่ง การผสมผสานระหว่างคลาวด์ วิชวล คอมพิวติ้ง และเซลฟ์-เลิร์นนิ่ง อัลกอริทึมช่วยให้แพทย์สามารถหาข้อสรุปที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับคนไข้ของตนได้อย่างรวดเร็ว
การก่อตั้งบริษัท AI แตกต่างจากการตั้งบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ หรือไม่
แตกต่างแน่นอน ทักษะเชิงสหวิทยาการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนับตั้งแต่วันแรกเลย
ลองขยายความให้ฟังหน่อยได้ไหม
ในบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ คุณเริ่มต้นด้วยนักวิทยาการคอมพิวเตอร์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์มากความสามารถ 20 คน จากนั้นคุณก็สรรหานักการตลาดและพนักงานขายและจัดตั้งบริษัทขึ้น แต่สำหรับบริษัท AI ใหม่ๆ คุณจำเป็นต้องมีนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ฝีมือดีและผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกในสาขาต่างๆ เช่น การวิจัยโรคมะเร็ง นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทเลย
แวดวง AI ทั้งหมดจะพัฒนาไปอย่างไร Amazon, Microsoft, Facebook และ Google จะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างหรือไม่
บริษัทเหล่านี้รวมทั้ง Alibaba และ Tencent ของจีนน่าจะเป็นผู้ควบคุมแพลตฟอร์มคลาวด์
ธุรกิจสตาร์ทอัพทุกวันนี้ควรให้ความสำคัญกับตลาดแนวดิ่ง ตลาดแนวดิ่งบางตลาดนั้นใหญ่โตมาก
ใช่ เป็นที่แน่นอนว่าตลาดบริการสาธารณสุขนั้นใหญ่มาก มีหลายส่วนซึ่ง AI มีบทบาทสำคัญในการช่วยวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคโดยทำงานร่วมกับมนุษย์ และสามารถสร้างมาร์เก็ตแคปมูลค่าหลายแสนล้านเหรียญได้ บริการทางการเงินก็เช่นเดียวกัน
บริษัท AI ดูเหมือนจะนิยมพนักงานที่ประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลายช่วงวัย ซึ่งไม่เหมือนกับบริษัทสตาร์ทอัพอื่นๆ ซึ่งเน้นคนรุ่นใหม่
ที่ Paige.AI และบริษัทพันธมิตรอย่าง Memorial Sloan Kettering ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกมีอายุอยู่ในช่วง 50 ตอนกลางถึงตอนปลาย พวกเขาทำงานร่วมกับบรรดานักวิจัยหลังปริญญาเอก (postdoc) อายุ 20 ปลายๆ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอัลกอริทึมขั้นสูง ผมมองเห็นบริษัท AI หลายต่อหลายแห่งที่มีการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ ความชำนาญ และคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวแบบนี้
คุณใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน ธุรกิจ AI ทั่วโลกที่มีเดิมพันสูง คุณคิดว่าประเทศใดเป็นผู้นำของการแข่งขัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีสุดยอดของสุดยอดบุคคลอัจฉริยะและฉลาดหลักแหลมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ อย่างเช่น Stanford, Harvard และ MIT แต่นักเทคโนโลยีชาวจีนในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดา และมีความสามารถเป็นเลิศในด้านนวัตกรรม ผมมองว่าทั้งอเมริกาและจีนจะเป็นแหล่งสำหรับการลงทุนในธุรกิจ AI ที่เฟื่องฟูไปอีกหลายทศวรรษ