Fashionphile แพลตฟอร์มสำหรับใครก็ตามที่ต้องการหาสินค้าที่ไม่มีขายแล้ว หรือแค่อยากประหยัดเงิน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลาด 'ลักชัวรีมือสอง' กำลังมาแรง ท่ามกลางสินค้าลักชัวรีที่ออกใหม่อยู่ตลอดเวลา
ในส่วนของตลาดลักชัวรี ดูเหมือนแบรนด์หัวแถวในเรื่องของราคาขายต่อจะยังคงเป็นเจ้าเก่าที่คุณคุ้นเคย โดยในรายงานล่าสุดที่ Fashionphile แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้า 'ลักชัวรีมือสอง' ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เป็นผู้รวบรวมระบุว่า สินค้าแนวหน้าเหล่านี้เป็นที่ต้องการมากกว่าเดิม เนื่องด้วยสถานการณ์หลากหลายอย่างที่ตลาดโลกต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมา Sarah Davis ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทีฟผู้ก่อตั้ง Fashionphile ในปี 1999 หลังจากที่เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้ใน eBay ได้แแชร์รายงานดังกล่าวกับ Forbes แบบพิเศษสุดๆ โดยได้จัดสรรดาต้าและระบุเหตุผลที่สินค้าเหล่านี้ยังคงมูลค่าไว้ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแบรนด์ในปี 2022 ด้วย 2021 เป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Fashionphile โดยทางแพลตฟอร์มได้มีคลังสินค้าที่นับว่าใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 1999 และด้วยคลังสินค้าขนาดมหึมานี้ทางแพลตฟอร์มทำรายได้ถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการขายต่อกระเป๋าและเครื่องประดับต่างๆ เลยทีเดียว ทั้งนี้ Davis ยังได้บอกกับเราว่าพวกเขายังคงนำเข้าสินค้าจากกลุ่มเล็กๆ "เราหาของมาเติมคลังสินค้าของเราจากตู้เสื้อผ้าของพวกคุณ เราทำได้ดีในช่วงโควิดไม่ใช่เพียงเพราะเราขายตรงสู่มือลูกค้า แต่เราก็รับตรงจากมือลูกค้าด้วย มีของที่มาจากสตูดิโอของเรา หรืองานขายส่งในคลังสินค้าเราไม่ถึงร้อยละ 10 เลย" เธอกล่าว โดยปัจจุบันมีแบรนด์หนึ่งที่เซ็นสัญญาว่าสินค้าที่เหลือจะถูกนำขายที่แพลตฟอร์มนี้ อย่างไรก็ตาม นั่นก็อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อแบรนด์ต่างๆ กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากลูกค้า และกฎหมายที่สั่งห้ามทำลายสินค้าทิ้ง "เกือบทุกแบรนด์ที่เรามีกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับการขายต่อ และกฎหมายใหม่มากมายที่ห้ามไม่ให้พวกเขาทำลายสินค้า เมื่อมีหลายต่อหลายแบรนด์มากขึ้นที่จริงจังต่อการหยุดทำลายสินค้า พวกเขาเองก็พายามที่จะดันราคาและอุปสงค์ให้เพิ่มขึ้นโดยเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะมีความสัมพันธ์แบบนั้นมากขึ้น" Davis กล่าวเสนอแนะของเก่า ราคาใหม่
นี่น่าจะเป็นจริงยิ่งขึ้นเมื่อ Fashionphile เริ่มสังเกตเห็นอุปสงค์ของกระเป๋าลักชัวรี เครื่องประดับสุดหรู และนาฬิกาบางรุ่นที่ราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น กระเป๋า Hermès รุ่น Birkin ราคาพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 32 เมื่อเทียบราคาระหว่างปี 2018 และ 2021 ในขณะที่กระเป๋า Hermès รุ่น Kelly ราคาพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 47 แบรนด์ลักซัวรีส่งตรงจากกรุงปารีสนี้ก็ตระหนักถึงเทรนด์การขายต่อไม่ใช่น้อย และเริ่มที่จะเขียนต่อท้ายใบเสร็จไว้ว่าอย่างนำไปขายต่อเชียวล่ะ แต่หากพูดกันในทางกฎหมายล่ะก็ พวกเขาไม่สามารถสั่งลูกค้าได้ว่าพวกเขาทำไรกับกระเป๋าใบที่ซื้อไปแล้วนั่นได้หรือไม่ได้ กระเป๋าอื่นๆที่ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่มีตั้งแต่ Saint Laurent, Gucci จนถึง Louis Vuitton และทางกระเป๋า Chanel รุ่น Medium Flap ก็ราคาพุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 64 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว กำไล Cartier รุ่น LOVE และ David Yurman รุ่น Cable Classics รวมถึงสร้อยคอ Ball จาก Tiffany เป็นเครื่องประดับสามรุ่นที่มีผู้คนหมายตามากที่สุดเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยราคาขายของสร้อย Tiffany สามารถสร้างกำไรให้คุณได้ถึงร้อยละ 29 หากคุณขายมันในปีนี้ ทาง Bulgari และ Van Cleef & Arpels ก็ติดอันดับสูงอยู่เช่นกัน โดยราคาขายต่อของ Van Cleef & Arpels เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ในด้านของนาฬิกา Cartier Tank Franchise ยังคงครองอันดับ 1 อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 71 ในส่วนของอันดับที่ 2 นั้น นาฬิกาที่ติดโผกระโดดจากอันดับที่ 19 มาเลยทีเดียว โดยนาฬิกาเรือนนั้นก็คือ Cartier Panthere นั่นเอง นาฬิกาคลาสสิกอื่นๆ ที่ติดโผประกอบไปด้วย แบรนด์ขวัญใจหลายๆ คนอย่าง Rolex (พุ่งขึ้นร้อยละ 15), Omega (พุ่งขึ้นร้อยละ 28.5), Breitling, และ Panerai (พุ่งขึ้นร้อยละ 125)New Normal, New Mindset
รายชื่อแบรนด์และสินค้าๆ ต่างๆ ที่กล่าวมาคงคุ้นหน้าคุ้นตาใครหลายคนเนื่องด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกมัน และราคาที่สูงเฉียดฟ้า แต่ Davis ให้อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น นั่นก็คือผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่ยอมหายไปสักที "Supply Exclusivity นี้เรื่องใหญ่เลย ผลิตปริมาณน้อยๆ ออเดอร์พิเศษ และบางทีก็มีจำกัดจำนวนสินค้าต่อคนด้วย ทั้งหมดตรงนี้ทำให้อุปสงค์พุ่งสูงขึ้นอีก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัญหาด้านซัพพลายเชนและการผลิตก็ส่งผลกระทบกับอุปสงค์เช่นกัน ไหนจะมีข้อกำจัดที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้เราไปช็อปยากขึ้นอีก แถมโลกอี-คอมเมิร์ซที่ยังไม่ได้ไปไกลมากในตอนนั้น ส่งผลให้ทั้งราคาและอุปสงค์สูงขึ้นตามๆ กัน" เธอกล่าว เธอยังได้เสริมอีกด้วยว่า "ด้วย cost-per-wear ที่ดี แบรนด์ต่างๆจึงกำลังโลกแล่นในตลาดแรกและตลาดรอง ผู้คนชอบใส่แบรนด์ที่มีศีลธรรมดีน่ะ" แบรนด์อื่นๆ ก็ได้ลิ้มรสความป็อปเมื่อมีดีไซเนอร์คนใหม่ก้าวเข้ามา เช่น เมื่อตอนที่ Daniel Lee เข้ามาเป็นดีไซเนอร์หลักแห่ง Bottega Veneta เป็นต้น ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของ Fashionphile คือคนที่อายุอยู่ในช่วง 25-34 ปี ในปี 2021 นี้ ทางแพลตฟอร์มก็พบว่ามีลูกค้า Gen Z ที่ช่วงอายุอยู่ที่ 18-24 มีการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2019 และ Gen Z เหล่านี้ยังนับเป็นร้อยละ 26 ของผู้ขายบนทั้งหมดบนแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย Davis กล่าวว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้ ตระหนักถึงความยั่งยืน การแบ่งกันใช้ และจับจ่ายอย่างไม่สิ้นเปลืองอีกด้วย "ก่อนหน้า นักช็อป Gen Z ที่มีหัวคิดยั่งยืนก็จะซื้อกระเป็าถือทำมาจากเข็มขัดนิรภัยราคาระดับบูติคอะไรประมาณนั้น แต่ทุกวันนี้ นักช็อปคนนั้นจะซื้อกระเป๋า Chanel ลายควิลท์ หากพวกเขาซื้อแบบคิดถึงอนาคตของโลก พวกเขารู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเบื่อ(และพวกเขาเบื่อมันแน่) พวกเขาสามารถขายมันได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับตอนที่ซื้อมา และซื้ออย่างอื่นมาใช้ต่อ"บทต่อไปของ Fashionphile
การเติบโตของแพลตฟอร์มขายสินค้า 'ลักชัวรีมือสอง' นี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการระดมทุนได้ทุน 38.5 ล้านเหรียญฯ ในรอบ Series B เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 และการที่ Neiman Marcus Group เข้ามาลงทุน และเป็นผู้ถือหุ้นเล็กน้อยในบริษัทเมื่อปี 2019 ส่งผลให้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 จะมีการขยับขยายไปฝั่ง East Coast โดย Davis วางแผนเปิด Authentication Center ในย่าน Chelsea ที่มหานครนิวยอร์ก "ตึกสูง 60,000 ตารางฟุต และขนาดใหญ่กว่าสำนักงานใหญ่ที่ Carlsbad ถึง 2 เท่านี้จะดูการดำเนินงานในฝั่ง East Coast เราชอบแนวคิดที่จะนำการปฏิบัติการกับเข้าสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง คล้ายๆ กับการผลิตสายแฟชั่นในย่าน Garment District เมื่อสมัยก่อน" เธอกล่าว พื้นที่โชว์รูมจะเป็นที่สำหรับทุกคน เหล่านักช็อปสามารถเอาของตัวเองมาขายได้ รับเงินตรงนั้น และยังสามารถช็อปคลังสินค้าของฝั่ง East Coast จากตู้เชฟของเราอีกด้วย" เธออธิบายต่อ โดยตู้เชฟที่ว่านั้นคือที่เก็บของแบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ 'สวรรค์ของกระเป๋า' นั่นเอง นักซื้อและนักขายทั้งหลายสามารถเข้าถึง Authentication Station แอบส่องตู้เชฟ และสอดส่องช่วงสุดท้ายของการทำการตลาด ซึ่งก็คือชิปปิ้งนั่นเอง! Davis อวดเราว่าลูกค้า Fashionphile โพสต์วิดีโอแกะกล่องกันก่อนที่จะเป็นกระแสซะอีก เธอทำให้แพลตฟอร์มของตัวเองที่ขายเพียงกระเป๋าและเครื่องประดับลักชัวรี เครื่องประดับสุดหรู จนไปถึงนาฬิกานี้แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยจ่ายผู้ขายโดยตรง แถมยังจ่ายหนักอีกต่างหาก ซึ่งทำได้ด้วยการระบุและตีราคาสินค้า ณ ตรงจุดซื้อเลย เป็นการตัดความยุ่งยากในการขนส่ง ที่บางที กว่าจะมาถึงราคาก็อาจจะตกไปแล้ว ทาง Fashionphile ใช้งบไปกับเทคโนโลยีระดับสูงในการพิสูจน์สินค้าอย่างมาก โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลได้ ช่วยในการตีราคา ระบุสินค้า และตรวจสินค้าลีกชัวรีมากมาย ระบนี้ช่วยยกระดับฐานข้อมูลสินค้านับพัน และรูปสินค้าเหล่านั้น รวมถึงสร้างอัลกอริทึมสุดล้ำ และโมเดลเรียนรู้ที่ช่วยให้ตรวจสอบสินค้าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย Davis พลิกโฉมธุรกิจบน eBay เป็นบริษัทอย่างเต็มตัวได้เมื่อค้นพบว่ากระเป๋าและเครื่องประดับลักชัวรีขายได้เร็วกว่า และคงมูลค่าในตลาดรองได้ดีกว่าสินค้าอื่นๆ อีก 22 กว่าปีต่อมา แพลตฟอร์มแห่งนี้ก็สามารถโอ้อวดอัตราการโตแบบ YOY ร้อยละ 100 ได้สำเร็จ เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อตอนเริ่มต้นได้ถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Chanel, Hermes, Cartier And Tiffany Prove Resale Value Again Via Fashionphile Report เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: Cardi B ขึ้นแท่น Creative Director ประจำธุรกิจน้องใหม่จาก Playboyไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine