หลังจากทำข้อตกลงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้กำไรกว่า 500 ล้าน Chew Gek Khim แห่ง Straits Trading ก็เตรียมสร้างผลตอบแทนเพิ่มด้วยการลงทุนอย่างชาญฉลาด
หลังจากเข้าควบคุมบริษัทเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ตั้งแต่เมื่อกว่าทศวรรษมาแล้ว Chew Gek Khim ประธานกรรมการบริหารของ Straits Trading มีแผนคือการปรับปรุงธุรกิจดีบุกและผลประโยชน์ที่กระจัดกระจายของบริษัทให้มีประสิทธิภาพขึ้น แล้วสร้างบริษัทจัดการเงินลงทุนให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยการมุ่งหาผลตอบแทนสูงกว่าเดิมจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการ
เธอปรับโครงสร้างและหาเงินสดมาใช้ทำข้อตกลงใหม่ๆ เช่น การซื้อหุ้นร้อยละ 20 ในบริษัทจัดการกองทุนอสังหาฯ ARA Asset Management ของสิงคโปร์เมื่อปี 2013 ซึ่งกำลังให้ผลตอบแทนในปัจจุบัน เพราะหุ้นของบริษัทเอกชนแห่งนี้ได้ขายไปในราคา 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สร้างกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นให้ Chew ไป 710 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (526.5 ล้านเหรียญ)
“ฉันมีความสุข ดีใจ และคิดถูก” Chew Gek Khim วัย 60 ปี กล่าวจากสำนักงานของเธอในสิงคโปร์ 3 สัปดาห์หลังจากมีการประกาศเรื่องที่ ESR Cayman ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเข้าซื้อ ARA เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ข้อตกลงครั้งนี้มีความเป็น “ที่สุด” ในหลายด้าน นั่นคือ ESR จะกลายเป็นบริษัทจัดการกองทุนอสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดของเอเชียที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) 1.29 แสนล้านเหรียญ มากกว่า 2 เท่าของคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ ESR และกลายเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์อสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก
นอกจากนี้ ESR ยังกลายเป็นบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของภูมิภาคเมื่อวัดจากมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ซึ่งใหญ่กว่าบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เก่าแก่ที่สุดของเอเชียบางแห่งอย่าง Hongkong Land และ Wharf Holdings “เมื่อรวมทั้งสอง [บริษัทเรา] ก็จะสร้างกิจการที่เหมือนเป็น Blackstone แห่งเอเชียได้” Chew กล่าว
งานนี้ยังเป็นลาภลอยก้อนใหญ่สำหรับ Straits Trading ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น รายใหญ่อันดับ 2 ของ ARA ในขณะที่มีการทำข้อตกลงนั้นและได้ทำให้ Chew ซื้อหุ้นตัวนี้มา 294 ล้านเหรียญสิงคโปร์เมื่อ 8 ปีก่อนมีสิทธิ์คุยอวดได้เต็มที่ Chew เล่าว่า “มีคนไม่เห็นด้วยหลายคน” ในตอนนั้น “คนอื่นคงไม่เข้าใจว่าบริษัทจัดการเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คืออะไร คนยังนึกถึงอสังหาฯ ในแบบดั้งเดิมอยู่ คือสร้างตึกแล้วขายไป หรือไม่ก็ซื้อมาเก็บไว้”
ESR จะจ่ายเงินสดให้ Straits Trading 134.8 ล้านเหรียญสิงคโปร์และจ่ายอีกส่วนเป็นหุ้น ESR มูลค่า 915.3 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้บริษัทของ Chew ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้เป็นเจ้าของหุ้นเกือบร้อยละ 5 ในกิจการร่วม (คาดว่าจะทำข้อตกลงเสร็จภายในสิ้นปี 2021 หรือต้นปี 2022 ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล) Chew ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะถือหุ้นตัวนี้ในระยะยาวหรือไม่ แต่กล่าวว่า “ถ้าเราเชื่อมั่นในบริษัทขนาดยักษ์แห่งนี้ การเก็บหุ้นไว้ทั้งหมดก็ถือว่ามีเหตุผล”
สำหรับ Chew ซึ่งเป็นหนึ่งในสตรีผู้รวยที่สุดของสิงคโปร์ด้วยทรัพย์สิน 1.65 พันล้านเหรียญ (ถือร่วมกับครอบครัว) การทำตามความตั้งใจที่จะสร้างมูลค่าให้ Straits Trading ในระยะยาวคือเรื่องสำคัญ บริษัทอายุ 133 ปีแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1887 โดยชาวสกอตและชาวเยอรมันผู้มองเห็นหนทางรวยจากดีบุก และผู้ที่ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นที่รู้จักคือ Tan Chin Tuan คุณตาของเธอซึ่งล่วงลับไปแล้ว นายธนาคารผู้ใจบุญชาวสิงคโปร์คนนี้ผนวก Straits Trading เข้ามาในเครือ OverseaChinese Banking Corp. ในสมัยที่เขาเป็นกรรมการผู้จัดการของธนาคาร หลังจากนั้นเขาก็มาเป็นประธานกรรมการของ Straits Trading อยู่ 27 ปีจนเกษียณเมื่อปี 1992 และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นกลุ่มที่มีธุรกิจหลากหลาย
Chew กับหุ้นส่วนที่ทำธุรกิจด้วยกันมานานคือ John Lim วัย 65 ปี ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานกรรมการของ ARA พร้อมด้วยผู้ถือหุ้น ARA คือ บริษัทไพรเวทอิควิตี้ Warburg Pincus จากสหรัฐฯ และ CK Asset Holdings ของ Li Ka-shing เคยชั่งน้ำหนักดูว่า การเสนอขายหุ้น IPO เป็นวิธีที่ฉลาดสำหรับบริษัทมูลค่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญ (ตามมูลค่าของ AUM) แห่งนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตามข้อตกลงที่พวกเขาเซ็นกับ ESR ช่วยให้กิจการร่วมมีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ามูลค่าประเมิน 5 พันล้านเหรียญที่ ARA ตั้งเป้าว่าน่าจะได้จาก IPO ถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม Lim ปฏิเสธให้ความเห็นกับเรื่องนี้
“เราคิดว่าบริษัทใหญ่ขึ้นก็มีโอกาสดีขึ้นด้วย” Chew กล่าว “ถ้าคุณลองดูบริษัทเทคทุกรายตอนนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่มากไปหมดแล้ว แม้แต่บริษัทมูลค่า 5 พันล้านเหรียญก็ไม่ถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่แล้ว” Jeffrey Perlman ประธานกรรมการของ ESR กล่าวทางอีเมลว่า บริษัทนี้ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีโลจิสติกส์ คลังสินค้า และศูนย์ข้อมูลมูลค่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญในพอร์ตจะดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกที่อยากลงทุนกับผู้จัดการอสังหาฯ แค่ไม่กี่รายก็พอ
และดูเหมือนนักลงทุนจะเห็นด้วยกับเขา เพราะหุ้น Straits Trading ราคาได้ขึ้นอีกเท่าตัวในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (จากปลายปี 2020) และขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ 3.29 เหรียญสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อมีข่าวการขายหุ้น ARA ออกมา หลังจากที่ไม่ขยับไปไหนอยู่แถว 1.50-2.50 เหรียญสิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 2016-2020
หนี้ของบริษัทพุ่งขึ้นร้อยละ 80 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจนเป็น 1.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในปี 2020 ส่วนรายได้ลดลงร้อยละ 40 เหลือ 309 ล้านเหรียญสิงคโปร์ แต่ Chew กล่าวว่า เธอไม่กังวลเพราะระดับหนี้สินสะท้อนถึงการซื้อสินทรัพย์ และอัตราส่วนหนี้ประมาณครึ่งหนึ่งของส่วนของผู้ถือหุ้นก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารได้ เธอกล่าวว่า “เราบริหารเงินทุนอย่างรอบคอบ โดยเผื่อเพดานหนี้ไว้เพียงพอสำหรับการคว้าโอกาสต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว”
รายได้บอกอะไรเกี่ยวกับบริษัทนี้ได้แค่บางส่วน เพราะธุรกิจดีบุกทำให้รายได้ผิดเพี้ยนไปด้วย เธอเสริมว่า “เราเป็นบริษัทจัดการเงินลงทุน เพราะฉะนั้นผลประกอบการของบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเป็นส่วนสำคัญมากที่ต้องพิจารณา” กำไรหลังหักภาษีของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 27 จากปี 2016 จนแตะ 100 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในปี 2019 ก่อนจะลดลงเหลือ 71 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในปีที่แล้วเนื่องจากโรคระบาด
หุ้น Straits Trading ซื้อขายโดยมีอัตราส่วนลดอยู่ที่ร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) 4.03 เหรียญสิงคโปร์ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2021 (UOB-Kay Hian ประเมินว่า NAV ของบริษัทจะโดดขึ้นไปถึง 5.70 เหรียญสิงคโปร์เมื่อการทำข้อตกลงกับ ESR เสร็จสิ้น) เทียบกับอัตราส่วนลดอยู่ที่ร้อยละ 56 ของ Frasers Property และร้อยละ 23 ของ City Developments ในสิงคโปร์ Justin Tang หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของ United First Partners กล่าวผ่านทางการส่งข้อความว่า
เมื่อดูจากโครงสร้างของ Straits Trading แล้ว “บริษัทนี้จะมีปัญหามูลค่าประเมินต่ำกว่ามูลค่ารวมของกิจการทั้งกลุ่มอยู่ตลอดตามประสาบริษัทโฮลดิ้ง”
เรื่องนี้ทำให้ Chew ขุ่นเคือง เธอกล่าวว่า “ฉันรำคาญและหงุดหงิดที่ตลาดไม่เอามูลค่ายุติธรรมของ NAV (ของ Straits Trading) มาคิด” ข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่า ที่จริงแล้ว Straits Real Estate (SRE) ซึ่งเป็นสายธุรกิจลงทุนในอสังหาฯ ของกลุ่มสร้างผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ยร้อยละ 10 ในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา เทียบกับผลตอบแทนร้อยละ 3.7 ของบริษัทพัฒนาอสังหาฯ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
SRE ทำกำไรสุทธิร้อยละ 83 ให้ Strait Trading ในครึ่งปีแรกปี 2021 ซึ่งโดดขึ้นมาเป็น 123 ล้านเหรียญสิงคโปร์จาก 5.5 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในปี 2020 Chew ก่อตั้งบริษัทนี้เมื่อปี 2013 ด้วยคำมั่นเงินลงทุนจำนวน 950 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จากนั้นบริษัทก็ลงทุนเพิ่มเกือบอีกเท่าตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและปัจจุบันมี
การลงทุนในยุโรปด้วยหลังจากซื้อสวนอุตสาหกรรมมูลค่า 77 ล้านปอนด์ (101 ล้านเหรียญ) ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2020 ทั้งนี้ความต้องการพื้นที่คลังสินค้าที่เพิ่มเนื่องจากโรคระบาดช่วยดันให้อี-คอมเมิร์ซเฟื่องฟูในปีที่แล้วทำให้ SRE มีตำแหน่งดีในตลาดด้วยสินทรัพย์โลจิสติกส์มูลค่า 517 ล้านเหรียญสิงคโปร์ในออสเตรเลียและเกาหลีใต้
Chew กล่าวว่า Straits Trading คาดหวังกำไรก้อนใหญ่ขึ้น และเริ่มแปลงสินทรัพย์เหล่านี้บางส่วนเป็นหน่วยลงทุนในทรัสต์ส่วนบุคคลแล้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในภาพกว้างที่จะขายอสังหาฯ ซึ่งอิ่มตัวแล้วเพื่อนำเงินไปลงทุนอย่างอื่น
“การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์คือก้าวต่อไปที่สมเหตุสมผล และผมคิดว่าตลาดก็พร้อม” Hugh Young ประธานกรรมการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Aberdeen Standard Investment ในสิงคโปร์กล่าวทางอีเมล Aberdeen กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ Straits Trading ในปี 2013 หลังจากนำหุ้นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ WBL ที่บริษัทถืออยู่มาแลกหุ้นร้อยละ 6 ใน Straits Trading
แม้ผู้จัดการกองทุนรายนี้จะขายหุ้นไปแล้ว แต่ Young กล่าวว่า เขานับถือ Chew และ “ความสามารถในการแยกแยะสินทรัพย์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมออกมาได้” ของเธออย่างมาก Chew เคยพยายามจะซื้อกิจการ WBL จากเครือ OCBC เมื่อปี 2012 แต่หลังจากที่ตระกูล Lee ผู้ก่อตั้งธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของสิงคโปร์แห่งนี้ดึงราคาประมูลขึ้น 2 หน เธอจึงตัดสินใจขายหุ้น WBL ในปีต่อมาแล้วเดินออกมาพร้อมลาภลอย 400 ล้านเหรียญ
การมองหามูลค่า
นั่นคือบทเรียนที่ Chew เรียนรู้จากคุณตาผู้เสียชีวิตไปเมื่อปี 2005 ด้วยวัย 98 ปี เธอเล่าในการให้สัมภาษณ์กับ Forbes Asia เมื่อปี 2014 ว่า Tan เคยพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอไม่ซื้อเครื่องประดับในการไปเที่ยวช็อปปิ้งครั้งหนึ่งสมัยเธออายุ 20 ต้นๆ ด้วยคำแนะนำอันล้ำลึกว่า “รู้ไหม Khim เพชรน่ะไม่จ่ายเงินปันผล”
หลังจาก Chew จบปริญญาตรีนิติศาสตร์จาก National University of Singapore เมื่อปี 1984 เธอไปทำงานกับสำนักงานกฎหมายมีชื่อในสิงคโปร์ Drew & Napier อยู่ 3 ปีก่อนจะมาทำงานกับบริษัทจัดการเงินลงทุน Tecity ของครอบครัว
เธอทำงานใกล้ชิดกับคุณตา ซึ่งบอกให้เธอซื้อบริษัทที่เขาเคยซื้อกิจการมาให้ OCBC เมื่อสมัยทำงานที่นั่นมาให้ได้อย่างน้อย 1 แห่ง หลังจากเธอมาเป็นประธานกรรมการของ Tecity เธอจึงทำตามความปรารถนาของเขาด้วยการออกแรงงัดข้อเข้าถือหุ้นร้อยละ 89 ใน Straits Trading มาจากตระกูล Lee แห่ง OCBC ได้สำเร็จเมื่อปี 2008 (ปัจจุบัน Tecity ถือหุ้นร้อยละ 74)
ในช่วงที่วิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจโลกพลิกคว่ำ เธอวางรากฐานการทำงานเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และสร้างวินัยการเงินให้เข้มแข็ง เธอปรับโครงสร้างธุรกิจบริการของกลุ่มและจับมือกับพี่น้องเศรษฐีพันล้านชาวสิงคโปร์ Robert และ Philip Ng ตั้งบริษัทร่วมทุน Far East Hospitality Holdings (FEHH) ซึ่ง Straits Trading ถือหุ้นร้อยละ 30 บริษัทนี้บริหารอสังหาฯ 100 รายการ มีห้องพักรวมกว่า 16,500 ห้องใน 8 ประเทศ รวมถึง 1,300 ห้องในเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นมาในปี 2020
แม้ FEHH จะขาดทุนเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรกปี 2021 เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ แต่ Chew ก็มองในแง่ดีว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ภายในปี 2023 เธอกล่าวทางอีเมลว่า “สภาวะการทำธุรกิจยังท้าทาย แต่ (บริษัท) อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะฟื้นกลับมาเติบโตหลังหมดโรคระบาด ด้วยการเดินหน้าโครงการโรงแรมใหม่ๆ”
นอกจากนี้ Chew ยังมุ่งปรับปรุงกิจการเหมืองดีบุกและโรงงานถลุงแร่ที่เป็นบริษัทมรดก โดยถือหุ้นผ่านบริษัท Malaysia Smelting ซึ่งเธอร่วมบริหารงานด้วย โดยกิจการนี้ยังเป็นหัวใจของกลุ่มที่สร้างรายได้ร้อยละ 85 ของรายได้รวม
ทั้งนี้ Bloomberg ประเมินว่า ปี 2021 กิจการดังกล่าวน่าจะมีกำไรสุทธิ 63 ล้านริงกิต (15 ล้านเหรียญ) ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 และแซงหน้ากำไร 16 ล้านริงกิตในปี 2020 ซึ่งถูกผลกระทบจากโรคระบาดได้อย่างสบาย สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการดีบุกที่ใช้ในทุกอย่างพุ่งขึ้นมากจนเกิดภาวะซัพพลายขาดแคลน
“ตลาดดีบุกจะยังตึงตัวต่อไป และมีโอกาสน้อยมากที่สถานการณ์จะเปลี่ยนในระยะอันใกล้” Geordie Wilkes หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Sucden Financial ใน London เขียนไว้ในบทวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2021
ทั้งนี้ราคาดีบุกในตลาดโลหะ London พุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 80 นับตั้งแต่ต้นปี 2021 และแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ตันละ 38,059 เหรียญเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา Wilkes คาดว่าราคาจะสูงต่อไปอย่างแน่วแน่ด้วยราคาเฉลี่ยประมาณตันละ 35,000 เหรียญจนถึงปี 2022 เรื่องนี้เป็นผลดีต่อธุรกิจแปรรูปโลหะของ Straits Trading ซึ่งมีโรงงานถลุงแร่แห่งใหม่ที่วางแผนจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2021 หรือช่วงต้นปี 2022
Malaysia Smelting เพิ่มกำลังการผลิตด้วยการเปลี่ยนโรงงานถลุงตะกั่วโรงเก่าบนเกาะ Pulau Indah ให้เป็นโรงงานถลุงดีบุกที่แปรรูปดีบุกได้สูงสุด 60,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จากโรงงานถลุงแร่โรงเดิมของบริษัทที่เมือง Butterworth รัฐ Penang ซึ่งจะปิดกิจการเพื่อนำที่ดินมาพัฒนาใหม่ในทศวรรษหน้าให้เป็น Straits City โครงการผสมผสานมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ที่มีทั้งโรงแรม ร้านค้าปลีก อาคารพาณิชย์ และที่พักอาศัย เมื่อราคาดีบุกสูงขึ้น Chew จึงคาดว่าจะถอนทุน 80 ล้านริงกิตที่ลงไปกับโรงงานถลุงแร่คืนได้ภายใน 1 ปี
Tang จาก United First Partners ชี้ว่า การขายกิจการดีบุกจะช่วยลดช่องว่างของราคาหุ้นของ Straits Trading ได้แน่ๆ จากที่ซื้อขายกันในราคาที่ถูก ส่วนคนอื่นก็สงสัยว่าธุรกิจนี้ยังเหมาะกับบริษัทอยู่หรือไม่ โดย Young จาก Aberdeen กล่าวว่า “สินทรัพย์ในมาเลเซียพวกนั้นอาจจะสร้างมูลค่าได้มาก แต่กว่าจะเห็นผลกำไรคงยาก [และ] ช้าสุดๆ”
Chew ปฏิเสธทุกข้อเสนอจาก Malaysia Smelting ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ด้วยความผูกพันกับธุรกิจนี้ เพราะเธอกล่าวว่า “ฉันจะขายก็ต่อเมื่อได้มูลค่าตามที่อยากได้ แต่เท่าที่ฉันมองตอนนี้มันยังสร้างมูลค่าได้อีกเยอะ ดังนั้น ฉันยังไม่ปล่อยไป”
อ่านเพิ่มเติม:- Arnaud Bialecki โซเด็กซ์โซ่ (ประเทศไทย) ปรับโมเดลสู้โควิด
- กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ BBGI เดินเกมรุกไบโอเทค
- Sam Bankman-Fried ราชาแห่งคริปโตเคอร์เรนซี
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine