Tan Eng Kee ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Greatech Technology ในปีนัง ก้าวสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีคนใหม่ล่าสุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่มูลค่าหุ้นของธุรกิจอะไหล่อุตสาหกรรมปรับตัวมากขึ้นกว่าร้อยละ 330 ในปี 2020 ที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอุปสงค์ในยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
“พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าเป็นกระแสที่มาแรงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้กำไรของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง” Tan ในวัย 50 ปีกล่าว พร้อมเสริมว่า เขาเริ่มก่อตั้งธุรกิจแห่งนี้ในปี 1997 ร่วมกับ
Khor Lean Heng เพื่อนสมัยเรียน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
โดยยอดขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันที่ 30 กันยายน 2020 ได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 17 คิดเป็นมูลค่าราว 44.44 ล้านเหรียญ ขณะที่ผลกำไรเติบโตมากถึงร้อยละ 64 หรือ 14.27 ล้านเหรียญ
Greatech ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอะไหล่อุตสาหกรรมให้แก่บริษัทผู้ผลิตอื่นๆ จำนวนมาก ตั้งแต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกว่าร้อยละ 50 ของรายได้มาจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ที่มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Lordstwon Motors ผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าจากรัฐ Ohio และ First Solar บริษัทติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Arizona
ขณะที่ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Greatech ได้แก่ แขนหุ่นยนต์อัตโนมัติและอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับจัดวางแผงโซลาร์ในสายพานการผลิต
และเครื่องมือวัดขนาดชิ้นงานอัตโนมัติสำหรับการผลิตสมาร์ทโฟน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่ทางบริษัทยกระดับการผลิตอะไหล่อุตสาหกรรมจากเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อป้อนตลาด ไปสู่การผลิตอะไหล่ที่จำเป็นต้องใช้ทั้งกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้ได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Panasonic และ First Solar เพิ่มมากขึ้น จนรายได้และผลกำไรต่อปีปรับตัวมากขึ้นกว่า 10 เท่าในปี 2015 แล้วจึงนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ในปี 2019
โดยในเดือนตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการลงทุนภาคเอกชนในกัวลาลัมเปอร์คาดการณ์ว่ารายได้ของ Greatech จะเติบโตอย่างที่อัตราร้อยละ 47.5 ในอีก 3 ปีต่อมา
“Greatech สามารถเจาะกลุ่มตลาดธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากสถิติการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับ First Solar ที่เพิ่มมากขึ้น” Chua Siu Li นักวิเคราะห์ กล่าว
ในทำนองเดียวกัน Tan Eng Kee หรือที่รู้จักกันในชื่อ EK ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีหน้าใหม่
“ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ไม่เคยคาดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตของผมเรียบง่ายมากๆ มาตอนเช้าทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน และก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
Tan เติบโตในปีนังในครอบครัวที่เขาใช้คำว่ามี
“ฐานะยากจน” ด้วยเหตุนี้ การที่เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวจากทั้งหมด 4 คน ทำให้เมื่อผู้เป็นพ่อ ซึ่งประกอบอาชีพคนขับรถแท็กซี่ เสียชีวิตไปขณะที่เขาอายุเพียง 13 ปีต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเด็กวัยเดียว โดยเมื่ออายุ 16 ปี Tan ได้เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ ที่ร้านเบเกอรีแห่งหนึ่งหลังโรงเรียนเลิก
ในปี 1991 เขาได้รับประกาศนียบัตรสาขาวิศวกรรมเครื่องกล และเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมการผลิตให้กับบริษัทเครื่องมืออุตสาหกรรมแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจกู้ยืมเงินจากแม่จำนวน 10,000 ริงกิต เพื่อก่อตั้ง
Greatech (M) Sdn Bhd บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องมือวิศวกรรม แล้วจึงทำการว่าจ้างเพื่อนให้เข้ามาช่วยดูแลด้านการตลาด ต่อจากนั้นในปี 1995 จึงชักชวน Khor Lean Heng ให้เข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วยกัน
ในปี 1997 Tan ได้ต่อยอดสู่การผลิตอุปกรณ์ทั้งกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แล้วจึงขยายสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2002 และ 2010
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์การล็อกดาวน์ในมาเลเซีย เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โรงงานทั้ง 8 แห่งของบริษัทยังคงดำเนินการอย่างเป็นปกติ
“ธุรกิจของเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” Tan กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่าในอนาคตจะต้องเติบโตมากยิ่งไปอีก
ล่าสุดในเดือนธันวาคม 2020 Greatech เพิ่มศักยภาพในการผลิตด้วยการก่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Batu Kawan และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินในย่านอุตสาหกรรมข้างเคียง
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 Greatech ได้เปิดสำนักงานแห่งแรกใน Michigan สหรัฐอเมริกา ขณะที่สำนักงานใน Illinois และ Arizona คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พร้อมกับแผนการในการก่อตั้งสำนักงานในเยอรมัน ก่อนที่จะขยายสู่ยุโรปและอินเดียในเวลาต่อมา
ในที่สุด Tan ปิดท้ายว่า
“บริษัทของเราตระหนักถึงความสำคัญของ ESG หรือแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย E= Environment สิ่งแวดล้อม S = Social สังคม G = Governance ธรรมาภิบาล โดยเรากำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นธุรกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์”
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Malaysia’s Newest Billionaire Automates Factories Around The Globe เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
SCGP ชู Go-Pak รุกสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ