<h2>Tan Eng Kee ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Greatech Technology ในปีนัง ก้าวสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีคนใหม่ล่าสุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่มูลค่าหุ้นของธุรกิจอะไหล่อุตสาหกรรมปรับตัวมากขึ้นกว่าร้อยละ 330 ในปี 2020 ที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอุปสงค์ในยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด</h2>
<figure><img class="wp-image-40279" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/img-about-1024x556.jpg" alt="Tan Eng Kee" width="720" height="391" /><figcaption> Greatech Technology</figcaption></figure>

“พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าเป็นกระแสที่มาแรงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้กำไรของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง” Tan ในวัย 50 ปีกล่าว พร้อมเสริมว่า เขาเริ่มก่อตั้งธุรกิจแห่งนี้ในปี 1997 ร่วมกับ Khor Lean Heng เพื่อนสมัยเรียน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ

โดยยอดขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันที่ 30 กันยายน 2020 ได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 17 คิดเป็นมูลค่าราว 44.44 ล้านเหรียญ ขณะที่ผลกำไรเติบโตมากถึงร้อยละ 64 หรือ 14.27 ล้านเหรียญ

<a style="color: #008000;" href="https://greatech-group.com">Greatech</a> ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอะไหล่อุตสาหกรรมให้แก่บริษัทผู้ผลิตอื่นๆ จำนวนมาก ตั้งแต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกว่าร้อยละ 50 ของรายได้มาจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ที่มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Lordstwon Motors ผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าจากรัฐ Ohio และ First Solar บริษัทติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Arizona

ขณะที่ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Greatech ได้แก่ แขนหุ่นยนต์อัตโนมัติและอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับจัดวางแผงโซลาร์ในสายพานการผลิต  และเครื่องมือวัดขนาดชิ้นงานอัตโนมัติสำหรับการผลิตสมาร์ทโฟน

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่ทางบริษัทยกระดับการผลิตอะไหล่อุตสาหกรรมจากเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อป้อนตลาด ไปสู่การผลิตอะไหล่ที่จำเป็นต้องใช้ทั้งกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้ได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Panasonic และ First Solar เพิ่มมากขึ้น จนรายได้และผลกำไรต่อปีปรับตัวมากขึ้นกว่า 10 เท่าในปี 2015 แล้วจึงนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ในปี 2019

โดยในเดือนตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการลงทุนภาคเอกชนในกัวลาลัมเปอร์คาดการณ์ว่ารายได้ของ Greatech จะเติบโตอย่างที่อัตราร้อยละ 47.5 ในอีก 3 ปีต่อมา “Greatech สามารถเจาะกลุ่มตลาดธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากสถิติการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับ First Solar ที่เพิ่มมากขึ้น” Chua Siu Li นักวิเคราะห์ กล่าว

ในทำนองเดียวกัน Tan Eng Kee หรือที่รู้จักกันในชื่อ EK ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีหน้าใหม่ “ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ไม่เคยคาดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตของผมเรียบง่ายมากๆ มาตอนเช้าทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน และก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

Tan เติบโตในปีนังในครอบครัวที่เขาใช้คำว่ามี “ฐานะยากจน” ด้วยเหตุนี้ การที่เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวจากทั้งหมด 4 คน ทำให้เมื่อผู้เป็นพ่อ ซึ่งประกอบอาชีพคนขับรถแท็กซี่ เสียชีวิตไปขณะที่เขาอายุเพียง 13 ปีต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเด็กวัยเดียว โดยเมื่ออายุ 16 ปี Tan ได้เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ ที่ร้านเบเกอรีแห่งหนึ่งหลังโรงเรียนเลิก

<figure><img class="wp-image-40288" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/8762B16A-9BEA-429F-BF3B-870DD632411D.jpg" alt="Tan Eng Kee" width="720" height="480" /><figcaption> Greatech Technology เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ในปี 2019</figcaption></figure>

ในปี 1991 เขาได้รับประกาศนียบัตรสาขาวิศวกรรมเครื่องกล และเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมการผลิตให้กับบริษัทเครื่องมืออุตสาหกรรมแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจกู้ยืมเงินจากแม่จำนวน 10,000 ริงกิต เพื่อก่อตั้ง Greatech (M) Sdn Bhd บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องมือวิศวกรรม แล้วจึงทำการว่าจ้างเพื่อนให้เข้ามาช่วยดูแลด้านการตลาด ต่อจากนั้นในปี 1995 จึงชักชวน Khor Lean Heng ให้เข้ามาร่วมทำธุรกิจด้วยกัน

ในปี 1997 Tan ได้ต่อยอดสู่การผลิตอุปกรณ์ทั้งกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติสำหรับลูกค้าในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แล้วจึงขยายสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2002 และ 2010

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์การล็อกดาวน์ในมาเลเซีย เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โรงงานทั้ง 8 แห่งของบริษัทยังคงดำเนินการอย่างเป็นปกติ “ธุรกิจของเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” Tan กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่าในอนาคตจะต้องเติบโตมากยิ่งไปอีก

ล่าสุดในเดือนธันวาคม 2020 Greatech เพิ่มศักยภาพในการผลิตด้วยการก่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Batu Kawan และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินในย่านอุตสาหกรรมข้างเคียง 

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 Greatech ได้เปิดสำนักงานแห่งแรกใน Michigan สหรัฐอเมริกา ขณะที่สำนักงานใน Illinois และ Arizona คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พร้อมกับแผนการในการก่อตั้งสำนักงานในเยอรมัน ก่อนที่จะขยายสู่ยุโรปและอินเดียในเวลาต่อมา

ในที่สุด Tan ปิดท้ายว่า “บริษัทของเราตระหนักถึงความสำคัญของ ESG หรือแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย E= Environment สิ่งแวดล้อม S = Social สังคม G = Governance ธรรมาภิบาล โดยเรากำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นธุรกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์”

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Malaysia’s Newest Billionaire Automates Factories Around The Globe เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/other/scgp-ชู-go-pak-รุกสหราชอาณาจักร-ยุ.html">SCGP ชู Go-Pak รุกสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ</a>

Tan Eng Kee มหาเศรษฐีชาวมาเลเซีย พาบริษัท Greatech Technology ขยายสู่ระดับโลก

<h2>อดีตดาวรุ่งเครือธุรกิจสัญชาติออสเตรเลียฟื้นคืนชีพหลังจากราคาถ่านหินพุ่งทะยาน พร้อมคว้าโอกาสตีตั๋วออกจากธุรกิจเหมืองถ่านหิน</h2>
เรื่องราวของลูกเป็ดขี้เหร่เติบโตกลายเป็นหงส์สวยงามอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แค่ในโลกแห่งนิยาย นอกเสียจากว่าคุณคือบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมืองถ่านหินคุณภาพสูงที่ใช้สำหรับถลุงเหล็ก และพบว่าราคาสินค้าของคุณพุ่งขึ้นมากกว่า 2 เท่าในเวลา 3 เดือน

ผู้ได้รับอานิสงส์จากการพลิกฟื้นของราคาถ่านหินคือเจ้าของเหมืองถ่านหินแบบดั้งเดิม รวมถึง Wesfarmers เครือบริษัทยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงในวงการค้าปลีกอาหารและสินค้าเกี่ยวกับบ้าน

การที่ธุรกิจถ่านหินของ Wesfarmers พลิกกลับมาทำกำไรเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับบริษัท <a href="http://www.linkpops.net/">www.linkpops.net</a> แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดคำถามด้านการเงินที่น่าขายหน้าเล็กน้อย เช่น บริษัทควรปิดบัญชีสินทรัพย์เหมืองถ่านหิน Curragh ใน Central Queensland ที่บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นมูลค่า 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือควรผลักดันให้ธุรกิจนี้ไปต่อ?

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ee2550518f1a816197a4161f35b3a621.png" alt="" width="680" height="457" /><figcaption> เหมืองถ่านหิน Curragh ใน Central Queensland [เครดิตภาพ: Wolff Group]</figcaption></figure>ารตัดสินใจยังมีเวลาจนถึงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นภาพรวมของธุรกิจถ่านหินน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ ถ่านหินมักถูกพูดถึงว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทั่วโลกโปรดปรานน้อยที่สุด เนื่องมาจากนโยบายภาครัฐและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กดดันให้ลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ทว่า การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของราคาถ่านหินตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาย้ำเตือนให้เห็นว่า ถ่านหินยังคงเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นของหลายๆ อุตสาหกรรม และการลดปริมาณการผลิตผลักดันให้ราคาสินค้าพุ่งพรวด ดังที่ราคาถ่านโค้กคุณภาพสูงทะยานจากตันละ 92 เหรียญสู่ระดับสูงกว่า 200 เหรียญ ขณะที่ราคาถ่านหินประเภทให้ความร้อนปรับตัวสูงขึ้น 20% เป็น 70 เหรียญต่อตัน

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/850c94d06b53d6f59ab595039099b7e3.png" alt="" />

Rob Scott ผู้รับหน้าที่บริหารดูแลธุรกิจถ่านหินของ Wesfarmers กล่าวว่ามีหลายปัจจัยที่หนุนให้ราคาทะยานสูงขึ้น เริ่มจากราคาที่ลดลงมาเหลือเพียง 90 เหรียญต่อตัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้ และสภาพอากาศที่เปียกชื้นในเหมืองถ่านหินหลักของโลกรวมถึงการปรับนโยบายควบคุมอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินของจีน ทำให้การลงทุนและปริมาณถ่านหินสำรองลดลง อุปทานถ่านโค้กคุณภาพสูงจึงตึงตัว

Scott นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมของ Wesfarmers ซึ่งประกอบด้วยหลากหลายหน่วยธุรกิจตั้งแต่เคมีภัณฑ์ พลังงาน ปุ๋ย เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยไปจนถึงถ่านหิน โดยที่ถ่านหินเป็นหน่วยธุรกิจที่มีอาการร่อแร่ที่สุด ด้วยตัวเลขขาดทุน 230 ล้านเหรียญในปีงบประมาณที่ผ่านมา

ยังไม่รวมถึงการตัดมูลค่าทางบัญชีอีก 640 ล้านเหรียญจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ โดยสินทรัพย์ในธุรกิจถ่านหินของบริษัทประกอบด้วยเหมืองถ่านหินโค้ก Curragh กำลังการผลิต 8.5 ล้านตันต่อปีและหุ้นจำนวน 40% ในเหมืองถ่านหินประเภทให้ความร้อน Bengalla ขนาดกำลังการผลิต 8.3 ล้านตันต่อปีซึ่งอยู่ใน New South Wales

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5e35bcd199287318b1fe7e0a1bf3e1e1.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> เหมืองถ่านหิน Bengalla ใน New South Wales [เครดิตภาพ: The Australian]</figcaption></figure>ารขาดทุนของธุรกิจถ่านหินเมื่อปี 2015 ส่งผลให้เครือ Wesfarmers ต้องเผชิญกับปีที่เลวร้าย บริษัทรายงานตัวเลขกำไรที่ร่วงลง 83% เหลือ 305 ล้านเหรียญ ทำให้เงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปีลดลง 7% มาอยู่ที่หุ้นละ 1.40 เหรียญ จากเดิมที่ Wesfarmers เคยติดอันดับ 1 ใน 50 สุดยอดบริษัทในเอเชียหรือ Fab 50 ของนิตยสาร Forbes Asia ที่มีผลงานยอดเยี่ยมเมื่อปี 2011

แต่ Richard Goyder ประธานบริหารของบริษัท คาดว่าผลประกอบการปี 2016 ของ Wesfarmers จะออกมาดีขึ้น เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ภายนอกองค์กรที่เห็นตรงกันซึ่งรวมถึง Morgan Stanley และ Citigroup นักวิเคราะห์จากทั้งสองแห่งประเมินกำไรสุทธิไว้ที่ 2.1 พันล้านเหรียญ โดย Morgan Stanley คาดการณ์ว่าธุรกิจถ่านหินจะทำกำไร 220 ล้านเหรียญ

ถึงแม้ว่าธุรกิจจะสามารถพลิกฟื้นจากขาดทุนเป็นกำไร แต่เป็นไปได้ว่า Wesfarmers อาจตัดสินใจตัดขายธุรกิจถ่านหินออกไปเนื่องด้วยความไม่แน่นอนของการทำกำไรในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับราคาสินค้าที่ผันผวนและการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีน

ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมเหมืองถ่านหิน หลังจากราคาถ่านหินที่ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไฟฟ้าและโรงถลุงเหล็ก ประเด็นนี้สนับสนุนความเชื่อที่ว่าการปรับตัวขึ้นของราคาถ่านหินอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ของ Citi ที่คาดการณ์ว่าถ่านหินจะชะลอตัวลง โดยราคาจะปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 118 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 2 และลงมาอยู่ที่ 91 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 3

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/302b28d6e9c39c2b8816ea75d0aebe5a.png" alt="" width="680" height="518" /><figcaption> Richard Goyder</figcaption></figure>

ตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Wesfarmers ที่จะออกจากธุรกิจถ่านหินหากสามารถหาผู้สนใจซื้อ ขณะที่ Scott ออกมาปฏิเสธคำถามเกี่ยวกับการขายธุรกิจแต่พอจะมีสัญญาณบอกเป็นนัยๆ ว่าหน่วยธุรกิจถ่านหินกำลังเตรียมแผนเพื่อ “สร้างมูลค่าแก่กิจการ”

“เรามองเห็นโอกาสมากมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้นผ่านแผนกลยุทธ์เชิงปฏิบัติการสำหรับเหมือง Curragh” เขากล่าว “เรามุ่งเป้าไปที่ต้นทุนค่าใช้จ่าย และเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งคว้าสิทธิ์ในบริเวณที่สำรวจพบถ่านหินแหล่งถัดไปเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยขยายเวลาในการผลิตถ่านหินที่เหมืองนี้ออกไปพร้อมทั้งสร้างโอกาสที่น่าสนใจในด้านการเติบโต หากมีผู้ที่เล็งเห็นถึงมูลค่าเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจของเรา เราก็ยินดีที่จะพิจารณาข้อเสนอเหล่านั้น”

Wesfarmers อาจจำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการขยายธุรกิจถ่านหินเพื่อสร้างแรงดึงดูดผู้สนใจเข้าซื้อกิจการ สำหรับ Wesfarmers การฟื้นคืนชีพของถ่านหินคือปัจจัยบวกที่หนุนให้ราคาหุ้นของบริษัททะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือนเมื่อกลางเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% จากจุดต่ำสุดที่ 27.5 เหรียญที่ทำไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2015

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events