Cheng Wei วางหมากพา Didi Chuxing พิชิตตลาดจนคู่แข่งต่างถอยทัพและควบรวมกิจการ อีกทั้งยังดึงดูดพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจและการเงิน พร้อมปูทางสู่การเติบโตในอนาคต
ครั้งแรกที่เห็น Cheng Wei ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก Travis Kalanick ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ CEO สุดห้าวของ Uber Technologies โดยที่ Cheng ผู้ก่อตั้ง Didi Chuxing บริษัทสัญชาติจีนผู้ให้บริการเรียกรถรับส่งเหมือนกับ Uber ใส่แว่นตาและดูไร้เล่ห์เหลี่ยม และมีท่าทางการวางตัวที่นอบน้อมถ่อมตน ทว่า เมื่อกลางปีที่ผ่านมา Cheng โด่งดังไปทั่วโลก เนื่องด้วยเป็นผู้ประกอบการเพียงคนเดียวที่สามารถกำราบ Uber ที่ก้าวหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา Kalanick ตัดสินใจขายกิจการในประเทศจีนให้กับ Didi ในราคา 1 พันล้านเหรียญพร้อมรับสิทธิ์ในการถือหุ้น 18% ของบริษัทใหม่หลังควบรวมซึ่งมีมูลค่าประเมินราว 3.5 หมื่นล้านเหรียญ Cheng และ Kalanick นั่งเก้าอี้คณะกรรมการของแต่ละบริษัทแต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนน ชัยชนะครั้งนี้คือการก้าวสู่ความสำเร็จด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Didi ภายใต้การนำทัพของ Cheng บริษัทสามารถดึงดูดผู้ใช้บริการกว่า 300 ล้านคนใน 400 เมืองของจีนในช่วงเวลาเพียง 4 ปี บริการนี้อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเรียกและชำระเงินค่ารถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนตัว รถลีมูซีนหรือรถตู้วิ่งทางไกลและครองส่วนแบ่งตลาด 85% ของธุรกิจบริการรถยนต์ร่วมโดยสารพร้อมคนขับในจีน ซึ่ง Analysys International บริษัทวิจัยใน Beijing ประเมินว่า มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.22 แสนล้านหยวน (1.77 หมื่นล้านเหรียญ) ในปี 2016 และจะแตะ 2.86 แสนล้านหยวนในปี 2018 (Uber ครองส่วนแบ่ง 10% ก่อนขายกิจการ)กองทัพเบื้องหลัง Didi Chuxing
บทบาทของ Cheng ในฐานะผู้สร้างปรากฏการณ์ทางธุรกิจและควบรวมกิจการครั้งนี้ ทำให้เขาขึ้นแท่นสุดยอดนักธุรกิจแห่งปี 2016 ของ Forbes Asia “มันคือการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ เรามีคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่” Cheng กล่าว ณ ตึกสำนักงานใหญ่ของ Didi ซึ่งตั้งอยู่ในย่านชานเมืองของ Beijing ที่สามารถมองเห็นวิวของสวน Fragrance Hills ฝั่งตะวันตก
ผู้จัดการ "ร้านนวด" สู่สตาร์ทอัพหมื่นล้าน
Didi สามารถดึงดูดบรรดาผู้มากความสามารถและนักลงทุนในท้องถิ่นได้ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและการเปิดใจรับฟังคำเสนอแนะ บนผนังห้องทำงานของ Cheng มีภาพเขียนพู่กันจีนคำว่า xuxin แขวนอยู่ซึ่งมีความหมายว่า “การถ่อมเนื้อถ่อมตัว” “สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนรู้หลังจากก่อตั้ง Didi ก็คือคุณห้ามทำตัวหยิ่งลำพอง” เขากล่าว “คุณต้องสุภาพอ่อนน้อมและใจกว้างเปิดรับความคิดจากภายนอกเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ”
Cheng เกิดในเมืองเล็กๆ ไม่ติดทะเลในเขตมณฑล Jiangxi เขาได้คะแนนไม่ดีนักในการสอบครั้งสำคัญเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศจีน ในท้ายที่สุดเขาผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนที่คณะบริหารธุรกิจที่ Beijing University of Chemical Technology ซึ่งถือว่าอยู่ในลำดับรองจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอย่าง Peking และ Tsinghua University
หลังจบการศึกษา Cheng ผ่านการทำงานกับบริษัทนับสิบแห่ง ตั้งแต่งานผู้จัดการเครือธุรกิจร้านนวดฝ่าเท้าไปจนถึงธุรกิจจัดจำหน่ายชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เขาแม้กระทั่งเคยสมัครงานเป็นไกด์นำเที่ยว โอกาสเปลี่ยนชีวิตเดินทางมาถึงในปี 2005 เขามีความสนใจที่จะมุ่งเดินบนเส้นทางอาชีพในภาคธุรกิจอินเทอร์เน็ตที่กำลังเฟื่องฟูและตัดสินใจยื่นใบสมัครงานที่สำนักงานใน Shanghai ของ Alibaba ในช่วงเวลาการทำงานที่ Alibaba ทำให้เขาได้พบกับ Wang อดีตหัวหน้าซึ่งต่อมาได้จับมือร่วมกันก่อตั้งบริษัท หลังจากหลายเดือนที่พวกเขาระดมสมองคิดหาธุรกิจ คำตอบมาสรุปที่บริการเรียกรถแท็กซี่ เนื่องจากคนจำนวนมากบ่นอุบเรื่องหารถแท็กซี่ใน Beijing ไม่ได้ พวกเขาดำเนินการจ้างบริษัทสร้างแอพพลิเคชั่นบนมือถือเวอร์ชั่นแรกขึ้นในปี 2012 พร้อมทั้งจ้าง “ผู้โดยสารมืออาชีพ” ซึ่งมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ ตระเวนนั่งรถแท็กซี่ไปตามท้องถนนอันวุ่นวายใน Beijing โดยใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเพื่อแสดงให้คนขับแท็กซี่เห็นว่ามีผู้ใช้บริการและใช้งานได้จริง บริการเรียกรถได้รับกระแสตอบรับมากขึ้นอย่างทันตาหลังเกิดพายุหิมะในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันหลังจากคนจำนวนมากหารถเพื่อเดินทางไม่ได้และหันมาพึ่งบริการของ Didiสงครามที่ใช้ "เงิน" เป็นอาวุธ
หลังจากนั้นไม่นาน Cheng ได้รับเงินทุนจากแหล่งภายนอกครั้งแรกโดย GSR Ventures ควักกระเป๋า 3 ล้านเหรียญเข้าลงทุนในบริษัท เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจจาก Tencent ในปี 2013 ซึ่งประเมินมูลค่ากิจการ Didi ที่ 60 ล้านเหรียญในขณะนั้น เป็นตัวเลขที่สูงกว่านักลงทุนรายอื่นๆ ถึง 50% หลังจากใช้เวลาเจรจาอยู่นานซึ่งรวมถึงการประชุมพูดคุยกับ Pony Ma มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทในช่วงปลายปี Cheng ก็ตัดสินใจตอบตกลง ในปี 2014 Tencent ควักเงินลงทุน 15 ล้านเหรียญ (หลังจากนั้นบริษัทได้ลงทุนใน Didi เพิ่มเติมรวมมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญจากการประเมินของ Peng) เมื่อเงินทุนพร้อม Didi แสดงศักยภาพในการเขี่ยคู่แข่งหลายรายออกจากตลาดซึ่งรวมถึง Yaoyao Zhaoche ผู้ให้บริการรถแท็กซี่และรถลีมูซีนที่หนุนหลังโดย SequoiaCapital คู่แข่งร่วมชาติเหลือเพียงรายเดียวคือ Kuaidi ซึ่งมี Alibaba เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เมื่อ Uber มุ่งหน้าบุกตลาดจีนในช่วงปลายปี 2014 สองคู่แข่งจึงหันมาควบรวมธุรกิจเพื่อช่วยกันต่อกรคู่แข่งจากต่างชาติ สงครามระหว่าง Uber เป็นเรื่องที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเจ็บตัวสูญเงินมหาศาล Wang กล่าวว่าในช่วงที่มีการใช้กลยุทธ์อัดฉีดเงินชดเชยเพื่อช่วงชิงตลาดคุกรุ่นถึงขีดสุด Didi ต้องควักเงินถึงวันละกว่า 40 ล้านหยวน (5.8 ล้านเหรียญ) เขายังกล่าวต่อว่าบริษัทยังเตรียมพร้อมที่จะดำเนินแผนจ่ายเงินอุดหนุนไปอีก 2-3 ปีหาก Uber ไม่ได้ยื่นข้อเสนอสงบศึก

ติดตามอ่านเรื่องราวฉบับเต็มของ "Didi Chuxing" ได้ในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2560 หรือคลิกอ่านในรูปแบบ e-Magazine ที่นี่
