อินเดียหลังการแพร่ระบาดได้รวบรวมสรรพกำลังฟื้นคืนเศรษฐกิจชาติ ก้าวขึ้นสู่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจลำดับที่ 5 ของโลกแซงหน้าสหราชอาณาจักรได้สำเร็จ แต่ด้านอัตราการทำกำไรของตลาดหลักทรัพย์อินเดียกลับลดลงจากปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากสกุลเงินรูปีที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดอันดับมหาเศรษฐีอินเดียที่ร่ำรวยที่สุดเมื่อปีที่ผ่านมา เงินสกุลรูปีอ่อนค่าลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การจัดอันดับ 100 มหาเศรษฐีอินเดีย ประจำปี 2022 มูลค่าทรัพย์สินของมหาเศรษฐีทั้ง 100 คนรวมกันเพิ่มขึ้น 2.5 หมื่นล้านเหรียญ เกือบแตะ 8 แสนล้านเหรียญ
10 อันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดในอินเดีย ประจำปี 2022 มีดังนี้
อันดับ 1
Gautam Adani และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 60 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์และโครงสร้างพื้นฐาน
ในปี 2022 Adani เข้าซื้อหุ้นบริษัทสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ Holcim ในมูลค่า 1.05 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้เขาได้กลายเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของอินเดีย นอกจากนี้ เขายังคุม Mundra Port ท่าเรือซึ่งอยู่ในรัฐ Gujarat บ้านเกิดของเขา และเป็นผู้ให้บริการสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย
ด้วยความต้องการขึ้นมาเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดรายใหญ่ที่สุดของโลก มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอินเดียคนนี้กล่าวว่า เขาได้ทำการลงทุนเงินกับโปรเจ็กต์พลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นจำนวนเงินถึง 7 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับ 2
Mukesh Ambani
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 8.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 65 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจหลากหลาย
Mukesh Ambani เป็นประธานกรรมการและผู้บริหารบริษัท Reliance Industries ซึ่งสร้างรายได้ที่ 1.04 แสนล้านเหรียญจากการประกอบธุรกิจปิโตรเคมี, น้ำมันและก๊าซ, โทรคมนาคมและค้าปลีก
Reliance ซึ่งแรกเริ่มเป็นบริษัทผู้ผลิตผ้าทอรายเล็กถูกก่อตั้งในปี 1996 โดย Dhirubhai Ambani หลังจากปี 2002 ที่ Dhirubhai เสียชีวิตลง Mukesh ซึ่งเป็นลูกชายคนโตได้สืบทอดกิจการโดยแบ่งสัดส่วนกับน้องชาย Anil Ambani บริหารธุรกิจ
ปัจจุบัน บริษัท Reliance กำลังเตรียมพร้อมเปิดให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ 5 G และมีผู้ใช้บริการมากกว่า 420 ล้านคน นอกจากนี้ Ambani ได้วางแผนเปลี่ยนให้บริษัท Reliance หันมาสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด โดยจะเริ่มลงทุนเงินจำนวน 8 หมื่นล้านเหรียญแก่พลังงานหมุนเวียนและการสร้างฐานการผลิตอันใหม่ข้างโรงกลั่นปัจจุบัน ภายในระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า
อันดับ 3
Radhakishan Damani และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.76 หมื่นล้านเหรียญ
อายุ: 67 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจค้าปลีกและการลงทุน
สุดยอดนักลงทุนของอินเดีย Radhakishan Damani ได้กลายเป็นราชาแห่งการค้าปลีกแห่งอินเดีย หลังจากที่เขาได้นำธุรกิจแฟรนไชส์ซูเปอร์มาร์เก็ต Avenue Supermart ของเขาเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมีนาคมของปี 2017
Damani เข้าทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2002 โดยเริ่มจากร้านค้าเพียงร้านเดียวในย่านของเมืองของกรุง Mumbai ปัจจุบัน DMart ร้านสะดวกซื้อของเขาได้ขยายสาขาถึง 294 แห่งทั่วประเทศอินเดีย นอกจากนี้ Damani ยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ตั้งแต่ VST Industries บริษัทยาสูบ จนถึงผู้ผลิตปูนซีเมนต์อย่าง India Cements
อันดับ 4
Cyrus Poonawalla
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 81 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจอุตสหากรรมยา
Cyrus Poonawalla ลูกชายของผู้เชี่ยวชาญด้านการผสมพันธุ์ม้า ได้ก่อตั้งบริษัท Serum Institute of India ในปี 1966 และกลายเป็นผู้ผลิตวัคซีนโดสใหญ่ที่สุดของโลก โดยวัคซีนยาจำนวนกว่า 1.5 พันล้านโดสที่บริษัท Serum ได้ทำการผลิตนั้นครอบคลุมโรคหัด, โปลิโอ และไข้หวัดใหญ่
นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ผลิต Covishield วัคซีนที่พัฒนาโดย AstraZeneca และมหาวิทยาลัย Oxford University รวมถึงได้ลงทุนเงินจำนวน 800 ล้านเหรียญไปกับการสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อผลิตวัคซีนโควิด-19
อันดับ 5
Shiv Nadar
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 77 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจให้บริการด้านซอฟต์แวร์
ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย Shiv Nadar ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท HCL ภายในโรงรถเมื่อปี 1976 เพื่อผลิตเครื่องคิดเลขและไมโครโปรเซสเซอร์
ปัจจุบัน บริษัท HCL Technologies ซึ่งมีรายได้ถึง 1.15 หมื่นล้านเหรียญได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย บริษัทมีลูกจ้างกว่า 211,000 คน และมีสาขาทำการใน 52 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัทยังได้ทำการจ้างเด็กนักเรียนมัธยมปลายเพื่อฝึกงานกับบริษัท
Nadar นับเป็นหนึ่งในเศรษฐีใจบุญแนวหน้าของอินเดีย เขาได้บริจาคเงินจำนวน 662 ล้านเหรียญให้แก่มูลนิธิ Shiv Nadar Foundation ซึ่งช่วยเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา
อันดับ 6
Savitri Jindal และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.64 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 72 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็ก
หลังจากที่ Om Prakash Jindal ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท Jindal Group ได้เสียชีวิตลงในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อปี 2005 ภรรยาของเขา Savitri Jindal ได้ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัท Jindal ในขณะที่ลูกๆ ทั้ง 4 คนได้แบ่งกันบริหารบริษัทในเครือ
กลุ่มบริษัท Jindal ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหล็ก, ปูนซีเมนต์, และโครงสร้างพื้นฐาน โดยทรัพย์สินที่มีสัดส่วนมากที่สุดของบริษัทอยู่ภายใต้การจัดการของ Sajjan Jindal ซึ่งเป็นผู้บริหารธุรกิจเหล็กในเครืออย่างบริษัท JSW Steel
อันดับ 7
Dilip Shanghvi และครอบครัว
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.55 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 67 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจอุตสาหกรรมยา
ตอนก่อตั้งบริษัท Sun Pharmaceutical Industries ในปี 1983 Dilip Shanghvi ได้ขอยืมเงินทุนจากบิดาจำนวน 200 เหรียญเพื่อนำมาสร้างธุรกิจผลิตยารักษาโรคจิตเภช ปัจจุบัน Sun Pharmaceutical ได้กลายเป็นบริษัทผลิตยาที่มีมูลค่ามากที่สุดของอินเดีย โดยมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญ
อันดับ 8
พี่น้องตระกูล Hinduja
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.52 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: - ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจหลากหลาย
สี่พี่น้องจากตระกูล Srichand, Gopichand (ในรูป), Prakash และ Ashok เป็นผู้บริหารกลุ่มบริษัทข้ามชาติ Hinduja Group กิจการที่บริษัทได้ประกอบนั้นมีหลากประเภท ได้แก่ รถบรรทุก, น้ำมันหล่อลื่น, ธนาคาร, รวมถึงโทรทัศน์เคเบิล
เมื่อเดือนมิถุนายนของปี 2020 ที่ผ่านมา เกิดการฟ้องร้องคดีระหว่างพี่คนโตสุดและน้องชายอีกสามคนซึ่งเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของในธนาคาร Geneva
อันดับ 9
Kumar Birla
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: 55 ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์
Kumar Birla เป็นมหาเศรษฐีผู้บริหารรุ่นที่สี่ของกลุ่มบริษัท Aditya Birla Group ซึ่งมีรายได้มูลค่า 4.5 หมื่นล้านเหรียญ กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจหลายประเภท อันได้แก่ ปูนซีเมนต์, เหล็กอะลูมิเนียม, โทรคมนาคมและการเงิน Birla สืบทอดอาณาจักรธุรกิจจากครอบครัวเมื่ออายุได้ 28 ปี หลังจากที่บิดาของเขา Aditya Birla เสียชีวิตในปี 1995
อันดับ 10
ตระกูล Bajaj
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ:1.46 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
อายุ: - ปี
แหล่งที่มารายได้: ธุรกิจหลากหลาย
ตระกูล Bajaj เป็นผู้บริหารกลุ่มบริษัท Bajaj Group ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 96 ปี และเป็นที่รู้จักในฐานะของบริษัทผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ Bajaj Auto และบริษัทให้บริการด้านการเงิน Bajaj Finserv
Rahul Bajaj (ในรูป) เคยนั่งเป็นประธานบริหารกลุ่มบริษัท Bajaj ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อปี 2022 ด้วยอายุ 83 ปี ในส่วนของบริษัท Bajaj Finserv ซึ่งมีสัดส่วนทรัพย์สินมากที่สุดของตระกูลอยู่ภายใต้การบริหารของ Rajul Bajaj ลูกชายคนเล็ก
แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ India 100 Richest 2022 เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine