หัวเราะทีหลังของ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank - Forbes Thailand

หัวเราะทีหลังของ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Aug 2020 | 10:28 AM
READ 2867

จากการล่มสลายของ WeWork ถึงการระบาดของไวรัสโคโรนา ตลาดต่างมองว่า Vision Fund มูลค่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ช่างไม่มีประโยชน์อะไรเสียเลย แต่อันที่จริงแล้ว Masayoshi Son แห่ง SoftBank เป็นนักลงทุนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในโลกตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เขายังมีทรัพย์สินอื่นๆ มีผลงาน และแผนการในมือ

ประตูรถ SUV คันดำกระแทกปิดตึงตัง Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามผลุบหายเข้าไปยังมุมส่วนตัวอันเงียบสงบใน Le Bernardin ภัตตาคารอาหารทะเลชั้นนำของสหรัฐฯ มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นดูสะดุดตาในเสื้อดาวน์แจ็กเก็ตสีเทาวาวของ Uniqlo ที่เขาสวมทับเสื้อสูทไว้

ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Masa ในวันเดียวกันนี้เมื่อต้นเดือนมีนาคม เขารวบรวมผู้จัดการทรัพย์สินรายใหญ่ที่สุดในโลกมาไว้ที่ Midtown Manhattan ได้ราว 20 คน Masa ส่งกระเป๋าโท้ตหลากวีที่นำมาใช้แทนกระเป๋าเดินทาง พร้อมเลือกที่นั่งว่างด้านหนึ่งของโต๊ะสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ตรงกลางพอดิบพอดี เมื่อวันก่อนเขาได้คุยกับนักลงทุนกลุ่มใหญ่ แต่เขาเรียกเช้าวันนี้ว่า “ก่อนการประชุมสุดยอดไอพีโอ” ซึ่งดึงดูดผู้ร่วมโต๊ะระดับอภิมหาเศรษฐีทั้งนั้น รวมถึง Larry Fink แห่ง BlackRock ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แม้หลายคนจะมองว่า SoftBank อาจจะกำลังดิ้นรน แต่เรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง” Son กล่าวกับพวกเขา “เลิกคิดถึงอดีตกันได้แล้ว”

พูดนะมันง่ายกว่าทำ สำหรับ Vision Fund ที่มีมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญของ SoftBank นั้น เป็นกองทุนได้รับการตรวจสอบมากที่สุดในโลก แต่กระนั้นก็เป็นเจตนาที่ดี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา Masa กล้าเดิมพันด้วยเงินลงทุนมหาศาลหลายรายการ พูดตรงๆ คือ 88 ราย ด้วยมูลค่าที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปตามแผน เริ่มจาก Uber ซึ่ง Vision Fund เข้ามาให้การสนับสนุนในช่วงหลังนั้น ทำเงินหายไปหลายร้อยล้านเหรียญ ต่อมาคือ WeWork ซึ่ง SoftBank ให้เงินอัดฉีดไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา

WeWork ล้มเหลวอย่างแท้จริงหลังจากที่ต้องยกเลิกแผนขายหุ้นไอพีโอที่ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังการลาออกอย่างไม่แยแสของ Adam Neumann ผู้ก่อตั้งที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และมุ่งหาประโยชน์เข้าตัว Masa ยอมรับต่อหน้าคณะว่าเป็น “ช่วงเวลาลำบาก” เมื่อวันก่อน เขาอธิบายรายละเอียดให้ Forbes ฟังเป็นการส่วนตัวว่า “เราประเมินค่าของ WeWork สูงเกินไป เชื่อมั่นในผู้ประกอบการมากเกินไป แต่สำหรับ WeWork  นั้น ตอนนี้เรามั่นใจว่า เรามีฝ่ายบริหารใหม่ มีแผนการใหม่ จะพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อีกครั้ง”

ความพยายามที่จะพลิกสถานการณ์นั้น Masa นึกย้อนกลับไปเมื่อวันวานในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาที่ทำให้เขารักษางานนี้เอาไว้ได้ และยังเป็นสมบัติล้ำค่าของ SoftBank ด้วยนั่นคือ เช็คมูลค่า 20 ล้านเหรียญที่เขาเซ็นให้กับตลาดออนไลน์สัญชาติจีนอย่าง Alibaba ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านเหรียญแล้ว “ในช่วง 10 ปีแรก รายได้ของ Alibaba แทบจะเป็นศูนย์” Son บอกกับคณะ “แต่พอเริ่มมีรายได้แล้วก็หยุดไม่อยู่เลยทีเดียว”

แม้จะมีข่าวเรื่องการเดินหน้าปิด Vision Fund แต่การลงทุนครั้งใหม่ของ Vision Fund กองที่ 2 ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่นั้น จะเป็นไปด้วยความระมัดระวังมากขึ้น “เราเข้าใจดีว่าจะต้องทำอะไรในสถานการณ์แบบนั้น” Yoshimitsu Goto กล่าว เขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ SoftBank ซึ่งเป็นคนสนิทของ Son มานาน หากเจ้านายของเขาชอบหลบหน้าสื่อแล้ว Goto ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนน้อยกว่าเสียอีก “ผมเชื่อว่า Masa เองก็เข้าใจตลาดเหมือนกัน”

Vision Fund ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการลงทุนที่สุดเหวี่ยงมากที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันยังเป็นกองทุนที่มีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ด้วยความฉับไวเช่นกัน การเข้าทำสัญญาอย่างบ้าคลั่งทำให้คนลืมกันไปเลยว่า SoftBank มีสินทรัพย์ระดับบลูชิปอยู่เป็นจำนวนมาก Vision Fund ไม่ค่อยแสดงตนมากนักเนื่องจากเงินราว 70% มาจากนักลงทุนระดับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติคือ จากประเทศซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงยักษ์ใหญ่แห่ง Silicon Valley อย่าง Apple และ Qualcomm

นอกจากนี้ SoftBank ยังเป็นเจ้าของ Arm บริษัทผลิตชิปจากสหราชอาณาจักร และ Sprint ผู้ให้บริการระบบไร้สายที่เตรียมควบรวมกิจการกับ T-Mobile ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และยังถือหุ้นขนาดใหญ่ใน Alibaba กับ SoftBank Corp. ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการจากญี่ปุ่นที่ SoftBank พาจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2018 รวมถึงบริษัทอื่นๆ “ในทางชั้นเชิงแล้วผมก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ในทางกลยุทธ์แล้วผมยังเหมือนเดิม วิสัยทัศน์ก็ยังคงเดิม”

Masa Son ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่มีที่พักใน Silicon Valley ซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูขนาด 9,000 ตารางฟุต ตั้งอยู่ใน Woodside ด้านขวาของถนนจาก Larry Ellison เขาซื้อบ้านพักแห่งนี้เมื่อปี 2012 ว่ากันว่ามีสนนราคา 118 ล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็นบ้านราคาแพงที่สุดในสหรัฐฯ ในขณะนั้น

หลังชีวิตพลิกผันที่ New York เขาเชิญบริษัทต่างๆ ที่มีอยู่ในรายชื่อรวมถึง 2 น้องใหม่อย่าง Karius ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการตรวจเลือดที่ระดมทุนได้ 165 ล้านเหรียญในรอบการระดมทุนที่นำโดย SoftBank เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และ Alto Pharmacy ร้านขายยาออนไลน์ใน San Francisco ที่ SoftBank เพิ่งควักกระเป๋าลงทุนไป 200 ล้านเหรียญ

“เวลาผมได้ข่าวจาก Masa ผมจะแบบว่า เดี๋ยวนะ อะไรนะ ฟังดูไม่เข้าท่า” Mattieu Gamache-Asselin ซีอีโอ Alto กล่าว “และก็จะได้ยินข่าวคราวอีกครั้งและกลายเป็นว่า เดี๋ยวนะ เรามองเรื่องนี้ผิดไปและไม่ใช่อย่างนี้เลย จะเปลี่ยนมุมมองอย่างไรนี่ เขามีวิธีที่ทำให้คุณมองโลกในอีกแบบหนึ่ง”

การได้พบกับ Son วัย 62 ปี ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอันยาวนานในหมู่ผู้ประกอบการสายเทคโนโลยีผู้ทะเยอะทะยาน เมื่อครั้งที่ Steve Jobs แนะนำให้โลกได้รู้จักกับ iPhone ก็เป็น Son นี่แหละที่กล่อมให้เขาเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น จนสามารถคว้าสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยอดนิยมนี้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปี

Son เกิดในประเทศญี่ปุ่น แต่สายเลือดเกาหลีทำให้เขาโดนล้อเลียนจนเป็นที่รู้กันทั่ว Son ย้ายมา California ตามหลักสูตรศึกษาต่อต่างประเทศ แม้ว่าในตอนแรกเขาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ก็สอบผ่านระดับเตรียมวิทยาลัย และได้รับการส่งตัวต่อไปยัง University of California ที่ Berkeley ในที่สุด จนกระทั่งจบการศึกษาในปี 1980 เขาขายธุรกิจเครื่องแปลภาษาอิเล็กทรอนิกส์ให้ Sharp และยังทำเงินได้กว่า 1 ล้านเหรียญจากการนำเข้าตู้เกมปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ยังไม่ทันกลับประเทศญี่ปุ่นหลังจากนั้น 1 ปี เพื่อเริ่มธุรกิจที่วางไว้ให้เป็น “ธนาคารซอฟต์แวร์” หรือ SoftBank นั่นเอง

 

ไม่ใช่แค่ Son ที่สูญเสียมูลค่าทรัพย์สินมหาศาล แต่มีผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากที่ทุ่มทุนลงไปกับหุ้นของ SoftBank ก็เจ็บหนักเหมือนกับสิ่งที่ Vision Fund ทำอยู่ในเวลานี้ “เรานั่งล้อมโต๊ะอยู่กับเขาและบอกว่า ทีนี้เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ” Ron Fisher กล่าวในเวลานั้นเขาทำหน้าที่บริหารการลงทุนในสหรัฐฯ ให้กับ SoftBank และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ Fisher บอกว่าผู้บริหารเกือบทุกคนยังคงอยู่ร่วมที่จะฟันฝ่า “ช่วงเวลา 2 ปีแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริง” กับเจ้านาย “Masa มีความสามารถพิเศษในการเชื่อมใจคน เขาสามารถทิ้งตัวตนได้อย่างน่าทึ่ง และเป็นคนถ่อมตัวในเรื่องของความเข้าใจจุดบกพร่องของตนเอง”

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้ง SoftBank และแม้กระทั่ง Vision Fund ล้วนมี Masa เป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุม ในเวลานี้เขาคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด จึงมีอำนาจควบคุม SoftBank อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 3 คณะกรรมการการลงทุนของ Vision Fund ที่มีอำนาจสั่งการเหนือสัญญา สิ่งนี้คือเกมที่จะต้องมีแพ้ มีชนะ และประวัติศาสตร์จะเป็นผู้ตัดสินว่า เขาจะเป็นสุดยอดนักมายากลที่กำลังจะขึ้นแสดงกลหลบหนีในฉากสุดท้าย หรือเป็นนักล่าฟองสบู่ที่คู่ควรกับการถูกตลาดลดราคา

เมื่อไม่นานมานี้ Son หลงใหลการนำเสนอผู้คนผ่านภาพหยดหมึก เพื่อให้เห็นความคิดชัดเจน เขาบอกว่า “ลองดูเงาสักเงาแค่ 24 ชั่วโมง เงาของคนเรายังเปลี่ยนไปตั้งเยอะ ทั้งที่ความสูงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย หลายคนมองเห็นส่วนสูงของเงาแล้วก็รู้สึกกลัว หรือไม่ก็มั่นใจเกินไป” ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า Son จะได้รู้แล้วว่า พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือตกกันแน่

อ่านเพิ่มเติม: “แบคทีเรียในลำไส้” เพื่อนแท้ของมนุษย์


คลิกอ่านฉบับเต็มได้ที่ "หัวเราะทีหลังของ Masa" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine