กว่าครึ่งหนึ่งของ 25 “เอนเตอร์เทนเนอร์” รายได้สูงสุดในโลก ประจำปี 2022 ต่างใช้ประโยชน์จากผลงานที่พวกเขารังสรรค์ขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ลิขสิทธิ์เพลงไปจนถึงสตูดิโอวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์มหากาพย์ชื่อดัง เพื่อกอบโกยรายได้มหาศาลเข้ากระเป๋าในปีที่ผ่านมา
ในเดือนธันวาคม 2021 Bruce Springsteen ตัดสินใจขายสิทธิ์ในการเผยแพร่ผลงานเพลงทั้งหมดของเขา ที่มูลค่าราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับ Sony Music ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของค่ายเพลง Columbia Records ที่เขาเคยสังกัดอยู่ ข้อตกลงดังกล่าวนอกจากจะมอบความมั่งคั่งทางการเงินให้กับศิลปินผู้ชนะรางวัลแกรมมี่ 20 สมัยแล้ว ยังทำให้เขาครองอันดับ 2 ทำเนียบ “เอนเตอร์เทนเนอร์” รายได้สูงสุดแห่งปี เป็นรองเพียง Peter Jackson ผู้กำกับภาพยนตร์ Lord of the Rings ซึ่งกวาดรายได้กว่า 600 ล้านเหรียญ จากการขาย Weta Digital แผนกหนึ่งของสตูดิโอวิชวลเอฟเฟ็กต์ในนิวซีแลนด์ให้กับ Unity บริษัทซอฟต์แวร์วิดีโอเกมที่ราคา 1.6 พันล้านเหรียญในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งข้อตกลงนี้ได้ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีพันล้านทันที ในทำนองเดียวกัน Bob Dylan, Paul Simon และ Neil Young ต่างเดินหน้าขายลิขสิทธิ์เพลงในตำนานให้กับค่ายยักษ์ใหญ่จนมีรายได้รวมกันกว่า 500 ล้านเหรียญก่อนหักภาษี “ทุกคนต่างได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ” Jon Landau ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ Springsteen มาเกือบครึ่งศตวรรษกล่าว ทว่าผลงานเพลงไม่ได้เป็นเพียงคอนเทนต์ที่สามารถสร้างรายได้เท่านั้น เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ได้ใช้เงินราว 3.7 พันล้านเหรียญ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการถ่ายทอด ซีรีส์ซิตคอมชื่อดังอย่าง Friends และ Law & Order ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตทั้ง 2 รายการมีรายชื่อปรากฏในทำเนียบเอนเทอร์เทนเนอร์ประจำปีนี้ ขณะที่ Jay-Z, Dwayne “The Rock” Johnson และ Kanye West ต่างคว้า 1 ใน 5 อันดับแรกด้วยมูลค่ารวมกันกว่า 9 หลัก โดยได้รับอานิสงส์หลักมาจากธุรกิจแชมเปญ เตกีลา และรองเท้าผ้าใบ ปิดท้ายด้วยเอนเตอร์เทนเนอร์หน้าใหม่แห่งปีอย่าง Taylor Swift ซึ่งครองอันดับที่ 25 ด้วยรายได้ 52 ล้านเหรียญ จากการบันทึกเสียงจากอัลบั้มที่เธอออกเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีกครั้งหนึ่ง พบ 10 “เอนเตอร์เทนเนอร์” รายได้สูงสุดในโลก ประจำปี 2022 อันดับ 1 Peter Jackson รายได้: 580 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้กำกับ The Lord of the Rings ปิดดีลขาย Weta Digital แผนกหนึ่งของบริษัทวิชวลเอฟเฟ็กต์ในนิวซีแลนด์ให้กับ Unity บริษัทซอฟต์แวร์วิดีโอเกมที่ราคา 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.2 พันล้านปอนด์) ในเดือนพฤศจิกายน ทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีคนที่ 3 รองจาก Steven Spielberg and George Lucas ที่สร้างรายได้มหาศาลจากการสร้างภาพยนตร์ อันดับ 2 Bruce Springsteen รายได้: 435 ล้านเหรียญสหรัฐฯ Springsteen เจ้าของเพลงฮิตคลาสสิกตลอดกาล เช่น “Born to Run” “Born in the USA” และ “Dancing in the Dark” ตัดสินใจขายสิทธิ์ในการเผยแพร่ผลงานเพลงทั้งชีวิตของเขาให้กับ Sony Music Group ในราคา 500 ล้านเหรียญ อันดับ 3 Jay-Z รายได้: 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แร็ปเปอร์มหาเศรษฐีกวาดรายได้มหาศาลจากการขายหุ้นส่วนใหญ่ใน Tidal ธุรกิจสตรีมมิ่งเพลงให้กับ Square บริการรับชำระเงินของ Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter ที่มูลค่า 297 ล้านเหรียญ ทว่านี่เป็นเพียงส่วนเดียวของพอร์ตฟอลิโอธุรกิจของเขา เพราะในปัจจุบัน Jay-Z ยังคงถือครองหุ้นของ Armand de Brignac แชมเปญขวดละ 300 เหรียญอยู่ราวร้อยละ 50 ทั้งยังมีธุรกิจ D’Usse คอนญัคหรือบรั่นดี ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ขณะที่สตาร์ทอัพสายประกันภัยอย่าง Ethos และเชนร้านสลัด Sweetgreen ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง อ่านเพิ่มเติม: Jay-Z รวยเพิ่มเกือบเท่าตัว หลังปิดดีล 2 กลุ่มธุรกิจ อันดับ 4 Dwayne “The Rock” Johnson รายได้: 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หนึ่งในนักแสดงไม่กี่คนที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในทำเนียบการจัดอันดับในปีนี้ โดยรายได้เพียงประมาณ 1 ใน 4 ของ The Rock มาจากบทบาทในภาพยนตร์อย่าง Jungle Cruise และ Red Notice ขณะที่รายได้ก้อนโตอีกส่วนหนึ่งมาจากแบรนด์เตกีลา Teremana ที่โด่งดังไปทั่วโลก อันดับ 5 Kanye West รายได้: 235 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แร็ปเปอร์มหาเศรษฐีรายนี้ได้รับเงินส่วนใหญ่จากข้อตกลงในการออกแบบรองเท้าผ้าใบ Yeezy สำหรับ Adidas หลังประสบความสำเร็จอย่างท่วมถ้นจากการออกแบบผลิจภัณฑ์ไลน์ Yeezy Gap ในช่วงก่อนหน้า อันดับ 6 Trey Parker และ Matt Stone รายได้: 210 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้สร้างรายการแอนิเมแนวคอเมดี้ซิตคอม “South Park” เซ็นสัญญามูลค่า 900 ล้านเหรียญขยายเวลาออกอากาศทางช่อง Comedy Central ต่อไปจนถึงปี 2027 พร้อมเดินหน้าสร้างภาพยนตร์ที่อ้างอิงเนื้อหาจากตัวซีรีส์จำนวน 14 เรื่องฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Paramount+ จนถึงปี 2027 เช่นกัน อันดับ 7 Paul Simon รายได้: 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นักดนตรีโฟล์คร็อคขายหลายร้อยผลงานเพลง อาทิ “Ms. Robinson,” “59th Street Bridge Song (Feelin' Groovy)” และ “The Sound of Silence” ให้ Sony Music Publishing ในราคา 250 ล้านเหรียญในเดือนมีนาคม อันดับ 8 Tyler Perry รายได้: 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มหาเศรษฐีพันล้านผู้อยู่เบื้องหลังผลงานสร้างสรรค์มากมาย ซึ่งมีทั้งรายการโทรทัศน์กว่า 1,200 ตอนภาพยนตร์ 22 เรื่อง และละครเวทีอย่างน้อย 24 เรื่อง รวมไปถึงสตูดิโอบนพื้นที่ 330 เอเคอร์ที่ชานเมืองฝั่งใต้ของ Atlanta ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ ViacomCBS ซึ่งตกลงจ่ายเงินให้เขา 150 ล้านเหรียญ ต่อปีเพื่อผลิตเนื้อหาใหม่ และให้หุ้นส่วนหนึ่งกับเขาใน BET+ ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิ่งที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน ปี 2019 อ่านเพิ่มเติม: ชีวิตที่มีแต่รุ่งกับรุ่งของ “Tyler Perry” จากจนแบบสุดๆ สู่มหาเศรษฐีพันล้าน อันดับ 9 Ryan Tedder รายได้: 160 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกเหนือจาก 500 บทเพลงที่เขาแต่งให้กับวงดนตรีของเขาแล้ว ฟรอนต์แมนแห่ง OneRepublic ยังเป็นผู้แต่งเพลงให้กับ Beyonce, Adele และ Ed Sheeran เช่นกัน นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม 2021 เขาได้ขายสิทธิ์ในการเผยแพร่เพลงให้กับบริษัทการลงทุน KKR อีกด้วย อันดับ 10 Bob Dylan รายได้: 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ Bob Dylan ขายลิขสิทธิ์เพลงให้กับค่ายยักษ์ใหญ่ Sony Music Entertainment หนึ่งปีหลังขายลิขสิทธิ์บทเพลงในตำนานให้กับ Universal Music Publishing Group สำหรับข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นอันเสร็จสิ้นในเดือนกรกฎาคม 2021 หมายรวมถึง บทเพลงของศิลปินระดับตำนานของโลกในอดีตตั้งแต่ 1962—39 studio albums และ 16 “bootlegs” ตลอดจนสิทธิ์ในการเผยแพร่ผลงานเพลงของเขาใหม่ในอนาคตแปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ The Highest-Paid Entertainers 2022 เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: 10 อันดับ “ยูทูบเบอร์” รายได้สูงสุดในโลก ประจำปี 2021