เมื่อวันอังคารนี้ เหล่าผู้บริหารแห่ง YouTube TikTok และ Snapchat ล้วนถูกตั้งคำถามโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐว่า พวกเขาจะลงมือทำอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้เยาวชนมั่นใจในความปลอดภัยเวลาใช้งานแต่ละแอปพลิเคชัน
โซเชียลมีเดียอย่าง Youtube Tiktok และ Snapchat ทำให้เยาวชนทั้งหลายสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพอนาจาร และเนื้อหาที่สนับสนุนการใช้สิ่งเสพติด รวมไปถึงยังทำให้ผู้ใช้งานบางส่วนรู้สึกซึมเศร้า และมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ "ปัญหามันชัดเจน พวกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่มีวัยรุ่นและเด็กๆ เป็นเหยื่อที่ช่วยพวกเขาทำเงิน" Edward Markey วุฒิสมาชิกศาลแขวงแห่งสหรัฐอเมริกาประจำเขตแมสซาชูเซตส์ กล่าวระหว่างการรับฟังพยานหลักฐานของทางอนุกรรมการ Senate Commerce ในประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภค คณะอนุกรรมการได้นำคำให้การจากอดีต Data Scientist ของทาง Facebook โดยคำให้การแสดงถึง Internal Data ของบริษัท ที่ทำให้เห็นว่า Instagram บริการแชร์รูปภาพของทางบริษัทนั้น ส่งผลเสียต่อทีมงานบางคน ทางคณะอนุกรรมการยังได้ขยายความสนใจไปที่โซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่แข่งกันแย่งความสนใจเหล่าเยาวชนนี้อีกด้วย สมาชิกสภานิติบัญญัติเสนอว่านี้อาจจะเป็น ‘big tobacco moment’ ของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ โดยอ้างถึงการที่ผู้บริหารบริษัทบุหรี่ทั้งหลายที่รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาผลิตอันตราย แต่ยังคงเน้นโฆษณาไปที่กลุ่มเยาวชน ทาง NPR ได้แถลงข่าวไว้ว่า วุฒิสมาชิก Markey ได้ถามสามผู้บริหาร ซึ่งประกอบไปด้วย Michael Beckerman รองประธานกรรมการ และหัวหน้าด้านนโยบายสาธารณะของโซนอเมริกาประจำ TikTok Leslie Miller รองประธานกรรมการประสานงานและนโยบายสาธารณะแห่งบริษัทแม่ของ YouTube อย่าง Google และ Jennifer Stout รองประธานกรรมการนโยบายสาธารณะระดับมหภาคของ Snapchat บริษัทในเครือ Snap Inc. ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของทั้งสองพรรคที่จะมอบสิทธิความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ให้เด็กๆ มากขึ้น แบนการยิงโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม และหยุดการเล่นวิดีโออัตโนมัติสำหรับเด็กๆ หรือไม่ เหล่าผู้บริหารต่างก็หลีกเลี่ยงที่จะสนับสนุนตรงๆ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนหยัดว่าแอปฯ ของพวกเขาทำตามข้อจำกัดที่สัญญาไว้อยู่แล้ว คำถามที่ว่านั่นมันจะดีพอสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือไม่นั้น ดูเหมือนคำตอบจะเป็นไม่ "นักการเมืองทั้งหลายปาคำวิจารณ์มากมายมาทางบริษัทเทคโนโลยี แต่ไม่เคยปาทางออกมาบ้างเลย" Paul Bischoff Privacy Advocate ของ Comparitech กล่าว "บริษัทเทคโนโลยีติดอยู่ในสถานการณ์ที่ขยับไปไหนได้ ติดอยู่ระหว่างความต้องการของผู้บริโภคและผู้ตั้งกฎ กับสถานการณ์บนแอปฯ ที่พวกเขาสร้างขึ้น" Bischoff ยกตัวอย่างมาเล็กน้อยทางอีเมล และยังบอกอีกว่าการยืนยันอายุนั้นมันยากที่จะทำหากไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด ซึ่งก็เสี่ยงต่อการสร้างปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว "เด็กๆ ก็จะโกงอายุ การที่จะยืนยันอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้ปกครองต้องให้ข้อมูลยืนยันตัวที่สามารถรับรองว่าถูกต้องได้ให้กับบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น สำเนาบัตรประชาชน หรือเลขบัตรประชาชน" Bischoff อธิบายผ่านทางอีเมล "มันก็เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว และเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงที่บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย รวมถึงผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่ามันไม่คุ้มกันเลย" อีกอย่างหนึ่ง เขายังได้บอกกับเราอีกด้วยว่า ปริมาณคอนเทนต์ที่ถูกอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดียเหล่านี้ก็มหาศาลเกินที่จะตรวจสอบเบื้องต้นโดยคนได้ทั้งหมด "ระบบอัตโนมัตินั้นมันก็จำเป็น แต่ก็ไม่ได้สามารถกรองได้ทุกอย่าง" Bischoff กล่าว "ดังนั้นบริษัททั้งหลายเลยต้องพึ่งให้ผู้ใช้งานร้องเรียนเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และเด็กๆ ที่ดูโดยไม่มีผู้ปกครองนั้นก็มักจะไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้อย่างรอบคอบ" อีกหนึ่งปัญหาคือความไม่พอใจของสมาชิกสภานิติบัญญัติในปัจจุบันเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนความกังวลของผู้ปกครองสมัยก่อน แต่กับสื่อรูปแบบใหม่ "เช่นเดียวกับโซเชียลมีเดีย วิดีโอเกม ทีวี หนัง และหนังสือก็มักจะกลายเป็นแพะรับบาปของพวกผู้ปกครองในอดีต" Bischoff กล่าว "เราจำเป็นต้องแยกแยะว่าอะไรคืออิทธิพลที่ไม่ดี และอะไรที่ก่อให้เกิดอันตรายโดยตรงและจัดการพวกนั้นก่อน" เมื่อพูดถึงประเด็น Cyberbully Bishchoff อธิบายว่ามันยังคงเป็นปัญหาที่มีอยู่ และซีเรียสมากๆ เพราะมันตามเด็กๆ ไปถึงที่บ้าน แม้กระทั่งจะกลับจากโรงเรียนแล้วก็ตาม แต่เขาก็กล่าวต่อว่า การที่บริษัทเทคโนโลยีจะคอยจับตาดูความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและลงมือทำอะไรบางอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว "โซเชียลมีเดียบางเจ้าจึงลบการสนทนาส่วนตัวออกสำหรับเด็กๆ เพราะเหตุนี้" Bischoff กล่าว ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เราไม่อาจคาดหวังให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ดูแลความปลอดภัยของเด็กๆ ได้จนสำเร็จ "ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถการันตีได้ว่าเด็กๆ ทุกคนจะปลอดภัยบนโลกออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา" Bischoff ยอมรับ "ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะนิยามคำว่าสำเร็จอย่างไร แต่ก็ต้องให้เครดิตพวกเขานะ บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่สามารถหยุดอาชญากรรมดิจิทัล และการใช้ความรุนแรงต่อเด็กได้ แต่พวกเขาช่วยไปได้เท่าไรมันก็ยากที่จะพูด" แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ YouTube, TikTok And Snapchat Face Demands Of Consumers And Regulators Over Child Safety เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: Hui Ka Yan เสนอแผนนำ Evergrande รุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ท่ามกลางข้อกังขาจากนักวิเคราะห์ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine