'บุคคลแห่งปี' ตำแหน่งสูงสุดในชีวิตของบางคนเมื่อนิตยสาร TIME เลือกให้คุณเป็นสุดยอดมนุษย์ในปีนั้น ตำแหน่งที่สำคัญนี้ตกเป็นของ Elon Musk ในปี 2021 และนี้กำลังชี้ให้เห็นอะไรเกี่ยวกับสังคมเรา
หลังจากที่เราได้เห็นนักวิทยาศาสตร์หัวใสทั้งหลายพัฒนาวัคซีนช่วยเหลือคนจำนวนมาก และบุคคลากรด่านหน้าที่รักษาผู้คนนับล้านที่ป่วยจากโควิด-19 ประดุจฮีโร่
นิตยสาร TIME ก็ได้เลือกเศรษฐีพันล้านด้านเทคโนโลยีนามว่า
Elon Musk เป็น
'บุคคลแห่งปี 2021' การตัดสินใจครั้งนี้บอกอะไรหลายๆ อย่างกับเราว่าเราเห็นอะไรสำคัญกันแน่ในวัฒนธรรมปัจจุบัน และชี้ให้เห็นว่าพวกเราความสนใจกับเรื่องความมั่งคั่งมากแค่ไหน แม้ว่าการกระทำเหล่านั้นจะเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบ
(Photo Credits: AP News)
Musk ใช่แล้วล่ะ เป็นผู้นั่งเก้าอี้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่ง SpaceX และ Tesla สองบริษัทผู้นำด้านนวัตกรรม (ไหนจะมีประเด็นที่โต้เถียงกันอยู่อีก: Tesla กำลังเผชิญกับ
การสืบสวนด้านความปลอดภัยของระบบ Autopilot จากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ทาง Tesla เองก็ได้ออกมา
โต้ตอบ และรัฐบาลกลางก็กำลังตรวจสอบข้อกล่าวหาจากพนักงานไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ และ
การล่วงละเมิดทางเพศอีกด้วย ซึ่ง ณ ตอนนี้ ทางบริษัทยังไม่ได้ออกมาให้การอะไรทั้งนั้น)
แม้ว่า TIME จะไม่ได้ตั้งใจให้ผู้ที่ครองตำแหน่งบุคคลแห่งปีได้รับการสรรเสริญ แต่แค่เป็นการ
ให้ตำแหน่งกับบุคคลที่สร้างอิมแพคมากกว่า แต่ถึงจะคำนวณว่าใครจะได้ครองตำแหน่งด้วยสูตรนี้ ก็ถือว่าพลาดอยู่ดี
และถึงแม้จะมี
ทรัพยากรที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นไททันแห่งวงการเทคโนโลยีของ Musk ส่วนมากแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่ใช้อิทธิพลที่เขากำลังดื่มดำอยู่นั้น ในการใช้เงินและชื่อเสียงของเขาช่วย
ทำให้โลกนี้ดีขึ้นบ้างเลย ตำแหน่งบุคคลแห่งปีนี้อาจจะไม่ได้ถือเป็นการให้เกียรติก็เป็นได้ ใน 94 ปีที่ผ่านมาของตำแหน่งนี้ บางคนที่ขึ้นนั่งแท่นก็ไม่ได้มีศีลธรรมดีงามนัก แต่ที่ได้ไปแน่ๆ คือไฟสปอตไลท์ดวงโตฉายตรงไปยังบุคคลนั้นๆ
บุคคลแห่งปีที่ผ่านๆ มาของนิตยสาร TIME (Photo Credits: TIME)
ในการประกาศเลือก Musk เป็นบุคคลแห่งปี 2021 TIME เริ่มโดยการอธิบายถึงชายคนนี้ว่าเป็น
"ชายที่รวยที่สุดในโลก" หากมองในมุมนี้ การให้ตำแหน่งครั้งนี้ก็เหมาะดี เมื่อชาวอเมริกันส่วนใหญ่เองก็เชิดชูความมั่งคั่งใช่เล่น แต่โชคร้ายที่ TIME เลือกยอมรับบางคนที่โปรยเงินเล่น แต่
โปรยเงินให้การกุศลน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับสินทรัพย์มหาศาลของเขา
ดังที่ The New York Times ได้อธิบายไว้ "ก่อนจะเข้าปีนี้ มีการคาดการณ์การหนึ่งบอกไว้ว่าเขาให้เงินไปกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือว่ามากทีเดียวไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม ยังเว้นสำหรับเศรษฐีพันล้านทั้งหลายอย่าง Mr. Musk"
โชคร้ายยิ่งกว่าที่ Musk เหมือนกับเศรษฐีพันล้านแนวหน้าคนอื่นๆ รวมถึง Jeff Besoz และ Richard Branson ด้วยนั้น
ทุ่มเงินและหยาดเหงื่อไม่น้อยในการพยายามพามนุษย์ออกไปนอกโลก ในขณะที่บนโลกใบนี้ก็ต้องการสองสิ่งนั้นมากเหลือเกิน เช่น ชาวอัฟกันล้านกว่าคนกำลังต้องอดอยากขาดอาหารอยู่ และในฤดูหนาวนี้ คนเกินครึ่งในอัฟกานิสถาน (
ราวๆ 22.8 ล้านคน) จะเสี่ยงตายจะการขาดอาหาร
ที่แย่ไปกว่านั้น Musk เคย
ขัดขวางคนอื่นๆ ที่มีทรัพย์สินเช่นกันไม่ให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่นในยามต้องการอีกด้วย อีกทั้ง เขาได้เป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่นักวิจัยเรียกกันว่า
'troll philanthropy' โดยตั้งคำถามว่าการช่วยเหลือจากเขาและคนอื่นๆ จะมีค่าต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติแค่ไหนกันเชียว

เมื่อเร็วๆ นี้ Musk ได้
ท้าทายความน่าเชื่อถือของ World Food Programme โดยกล่าวว่าท้าให้อธิบายว่าพวกเขาจะรักษาความหิวโหยของโลกนี้ได้อย่างไร แถมยังเสนอขายหุ้นของเขาด้วย ทาง UN ได้ตอบกลับเศรษฐีหนุ่มด้วย
แผนการอย่างละเอียด แต่ทาง Musk เองกลับเงียบเฉยไป
นอกจากนั้น Musk ยังได้
ทำแบบสำรวจถามผู้คนว่าเขาควรจะจ่ายภาษีหรือไม่ พูดกันตรงๆ นะ Mr. Musk
ทุกคนควรจ่ายภาษีตามที่ควรต้องจ่ายเพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างสาธารณะประโยชน์อย่างการศึกษา ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีได้ ซึ่งพวกเราทุกคนก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
นอกจากนั้น Musk ยังแสดงให้เห็นถึงความไร้ความรับผิดชอบอย่างมากในความคิดเห็นของเขาต่อสถานการณ์โรคระบาด ดังที่ตนเคย
เขียนไว้แล้ว การเรียกร้องให้อเมริกาเปิดประเทศของเขาในช่วงเวลาที่การเว้นระยะห่างทางสังคมคือสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตได้ จะเรียกว่าอย่างอื่นนอกจากเห็นแก่ตัวไม่ได้เลย นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้คน
ตั้งข้อสงสัยกับวัคซีนในตอนแรกๆ โดยการ
ตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและบอกว่า
เขาจะไม่ฉีดวัคซีน บุคคลสาธารณะที่มีความรับผิดชอบจะทำสิ่งที่ตรงข้ามกัน และใช้ชื่อเสียงของตนเองในการผลักดันให้คนจำนวนมากที่สุดเข้ารับวัคซีนเท่าที่จะทำได้
แม้ว่าในภายหลัง เขาจะกล่าวว่าตัวเองได้เข้ารับวัคซีน และสนับสนุนการฉีดวัคซีน แต่คอมเมนต์แรกของเขาก็มาในช่วงเวลาคอขาดบาดตายที่ผู้คนยังไม่ได้ลงหลักปักใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในวัคซีนดี Musk เอง
ควรจะเข้าใจถึงอิทธิพลของตัวเองมากกว่านี้
และก็ชัดเจนอีกด้วยว่า Musk ไม่ใช่ชายที่ต้องการความสนใจไปมากกว่านี้แล้ว นักธุรกิจคนนี้คิดว่าตัวเขานั้นน่าสนใจมากจนถึงกับเป็นที่รู้กันว่าเขามักจะทวีตบอกโลกออนไลน์เมื่อไรก็ตามที่ไปเข้าห้องน้ำ
จากที่ TIME ได้บอกไว้นะ
แม้ว่าไม่ต้องคิดให้หนักว่าทำไมเขาถึงหลงตัวเองได้ขนาดนี้ การเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งอนาคตธุรกิจยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และเที่ยวบินท่องเที่ยวสู่อวกาศนั่นมันก็น่าทึ่งอยู่ แต่ต้องคิดหนักเลยว่าทำไมเราถึงเป็นวัฒนธรรมที่ใจจดใจจ่อกับชายคนหนึ่งที่การตัดสินใจส่วนบุคคลของเขานั้นไม่น่าเป็นที่นึกถึงนักขนาดนี้

ลองนึกดูว่าสิ่งที่ TIME ต้องการจะสื่อจะต่างไปขนาดไหนหากพวกเขาเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ และบุคคลากรด่านหน้าที่ทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่นในช่วงเวลาที่เลวร้ายของมนุษยชาตินี้ เราสามารถสนใจในการพัฒนาแห่งโลกอนาคตได้โดยไม่ต้องบูชาเด็กในร่างผู้ใหญ่อย่าง Musk ที่นิสัยไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีอะไรนัก และแม้ธุรกิจต่างๆ ของเขานั้นควรค่าแก่การหารือกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องสร้างลัทธิบูชาบุคคลเพื่อชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นบุคคลตัวอย่างหนักเลย
Note: บทความนี้เป็นบทความความคิดเห็น เขียนโดย Kara Alaimo รองศาสตราจารย์ ณ Lawrence Herbert School of Communication, Hofstra University และอดีตโฆษกฝ่ายการต่างประเทศแห่งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดี Obama และนับเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ What Elon Musk as 'Person of the Year' says about us เผยแพร่บน CNN.com
อ่านเพิ่มเติม:
'10 สตรีทรงอิทธิพลที่สุดในโลก' ประจำปี 2021
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine