เมื่อ Thomas Gayner อยากเป็นอย่าง 'Warren Buffett' - Forbes Thailand

เมื่อ Thomas Gayner อยากเป็นอย่าง 'Warren Buffett'

FORBES THAILAND / ADMIN
18 Nov 2024 | 09:00 AM
READ 393

Thomas Gayner ไต่เต้าจากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นจนขึ้นมานั่งแท่นเบอร์ 1 ของ Merkel Group กิจการประกันเฉพาะทางมูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน Virgina ซึ่งถนัดด้านการลงทุนในหุ้นและกิจการนอกตลาด และนี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพพยากรณ์แห่ง Omaha (ฉายานามของ Warren Buffett)


    Thomas Gayner เป็นคนช่างเล่า เขาเล่าถึงตอนที่เรียนจบจาก University of Virginia เมื่อปี 1983 และมีแผนจะกลับบ้านที่ Salem ใน New Jersey เพื่อรับช่วงกิจการบริษัทบัญชีต่อจาก Jack พ่อของเขา  แต่ปรากฏว่าพ่อของเขาเสียชีวิตกะทันหันเขาจึงเบนเข็มไปทำงานที่ Davenport & Co. ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหุ้นใน Richmond แทน หลังจากเข้าไปทำงานได้ไม่นาน Gayner ได้อ่านบทความเกี่ยวกับนักลงทุนจาก Omaha ซึ่งทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างมากจนต้องเก็บเอาไปเล่าให้หัวหน้าของเขาฟัง “นี่แน่ะ Joe” Gayner เรียกหัวหน้าของเขา “คุณเคยได้ยินชื่อชายคนนี้ไหม Warren Buf-fay?” “เขาชื่อ Buffett ต่างหากเจ้าโง่” Joe ตอบและไล่ Gayner ให้ออกไปจากห้องทำงานของเขา

    40 ปีผ่านไป Gayner ในวัย 62 ปี ไต่เต้าขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างน่าประทับใจโดยมี Buffett เป็นบุคคลต้นแบบที่เขาเลื่อมใสศรัทธา ถึงแม้ Gayner จะมองว่าตัวเองโง่ที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อปี 1984 ตอนที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 1,275 เหรียญ (ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 612,500 เหรียญ) แต่จากการศึกษาเรื่องราวของ Buffett ทำให้เมื่อปี 1986 Gayner ได้เข้าไปลงทุนใน Markel บริษัทประกันวินาศภัย และ อสังหาริมทรัพย์เอกชนซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่แทบไม่มีใครรู้จัก Gayner วาดฝันไว้ว่า Markel จะสร้างชื่อเสียงให้กับ Richmond เป็นเหมือนกับที่ Berkshire สร้างชื่อให้กับ Omaha 

    ทั้งนี้ Davenport ทำหน้าที่รับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ Merkel Group มูลค่า 30 ล้านเหรียญเมื่อปี 1986 ซึ่งงานนั้นทำให้ Gayner กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับ Steve Markel หลานของผู้ก่อตั้งบริษัท และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริษัทซึ่งมีวิธีคิดแหวกแนวด้วยการนำกำไรของบริษัทไปลงทุนในหุ้น ทั้งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดและของบริษัทนอกตลาดซึ่งแตกต่างจากบริษัทประกันส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งมักจะเน้นลงทุนแบบไม่เสี่ยงและหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแน่นอนอย่างเช่นพันธบัตร

    ในปี 1990 Gayner ลาออกจาก Davenport เพื่อมาดูแลพอร์ตการลงทุนของ Markel โดยหุ้นตัวแรกที่เขาซื้อคือ Berkshire Hathaway ที่ราคา 5,750 เหรียญ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไป 34 ปี Gayner ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มอีกเป็นจำนวนมากทำให้เครือ Markel มีกำไรที่ยังไม่รับรู้จากมูลค่าหุ้นของ Berkshire Hathaway เพียงตัวเดียวถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญจากกำไรที่ยังไม่รับรู้ทั้งหมด 7 พันล้านเหรียญในพอร์ตหุ้นของ Markel ทั้งนี้ในปี 2023 มูลค่าสินทรัพย์ของ Markel อยู่ที่ 5.7 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่รายได้อยู่ที่ 1.58 หมื่นล้านเหรียญ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมหาศาลจากแค่ 60 ล้านเหรียญตอนที่ Gayner เพิ่งเข้ามาทำงานเต็มเวลาที่บริษัทแห่งนี้

    ราคาหุ้น Markel พุ่งทะยานในปี 2005 เมื่อ Gayner ได้ทำดีลซื้อกิจการบริษัท AMF Systems ซึ่งเป็นบริษัทใน Richmond ที่ผลิตอุปกรณ์เบเกอรี่ หลังจากที่ Gayner ทำงานที่ Markel มาได้ 15 ปี “โดยมีโมเดลของ Berkshire อยู่ในใจตลอดเวลา” และ Ken Newsome ซึ่งเป็นซีอีโอของ AMF และเป็นเพื่อนที่ไปโบสถ์เดียวกันเข้ามาคุยกับเขาเพราะผู้ถือหุ้นนอกตลาดของ AMF อยากจะขายหุ้นออกแล้ว

    Newsome บอกว่า “(คนที่ลงทุนใน) หุ้นนอกตลาดไม่สนใจแก่นแท้ของธุรกิจหรอก” Gayner ได้ทำการศึกษาบัญชีของบริษัทและได้ข้อสรุปว่ามันเป็น “บริษัทที่ดีแต่เสียที่งบดุลแย่” ดังนั้น Markel จึงได้เข้าไปซื้อหุ้น AMF โดยในช่วงแรกเข้าไปซื้อหุ้น 80% ที่ราคาประมาณ 14 ล้านเหรียญ พร้อมทั้งช่วยชำระหนี้ให้บางส่วน และให้สัญญาว่าจะเก็บบริษัทแห่งนี้เอาไว้ “ตลอดไป” Newsome บอกว่า นับจากนั้นเป็นต้นมารายได้ของ AMF ก็เพิ่มขึ้นมาถึง 8 เท่า

    Gayner บอกว่า Markel Group ในวันนี้มี “เครื่องยนต์ 3 ตัว” ซึ่งได้แก่ การรับประกันภัย การลงทุนในหุ้น และการเข้าซื้อบริษัทนอกตลาดในระดับที่มีอำนาจควบคุมกิจการได้ โดยดำเนินการผ่าน Markel Ventures นอกจากนี้ Markel ยังทำตามอย่าง Warren ด้วยการจัดพิมพ์และส่งจดหมายถึงผู้ถือหุ้นแบบตรงไปตรงมาและไม่เป็นทางการเป็นประจำทุกปีด้วย หลังจากที่ผลประกอบการบริษัทออกมาดีเมื่อปี 2021 จดหมายถึงผู้ถือหุ้นในปีนั้นเขียนออกมาในท่วงทำนองเดียวกับเนื้อเพลง “Something So Right” ของ Paul Simon ทั้งนี้ผลตอบแทนรายปีสะสมของ Berkshire Hathaway ในช่วง 58 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่19.8% ในขณะที่ผลตอบแทนรายปีของ Markel ในช่วง 38 ปีที่บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนแล้วอยู่ที่ 15%

    กระแสเงินสดซึ่งรวมถึงเม็ดเงิน 3 หมื่นล้านเหรียญจากเครื่องยนต์ของ Markel ทำให้ Gayner สามารถบริหารสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นเงินทุนถาวรได้ “ผมเล่นเกมที่ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในโลกการลงทุน” เขาบอก “การที่สามารถลงทุนยาวๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพคล่องรายวันถือเป็นความได้เปรียบ”  

    AMF ตอบโจทย์ครบตามเกณฑ์การลงทุนทั้ง 4 ข้อของ Markel ซึ่งได้แก่ การมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและซื่อสัตย์, มีทางเลือกให้นำกำไรกลับไปลงทุนต่อได้, มีผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ไม่ได้มาจากการก่อหนี้ และราคาสมเหตุสมผล “อย่าไปเอาเปรียบใครถึงแม้คุณจะมีโอกาสทำได้ก็ตาม” Gayner บอก “มันถือเป็นการทำกรรมดีและยังเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ได้รับการแนะนำต่อในทางที่ดีในอนาคตอีกด้วย” 

    ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา Markel Ventures ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 3.7 พันล้านเหรียญในการซื้อกิจการต่างๆ  โดยในปีที่แล้วรายได้เพิ่มขึ้น 5% เป็น 5 พันล้านเหรียญ และกระแสเงินสด (Ebitda) เพิ่มขึ้น 24% เป็น 628 ล้านเหรียญ Markel Ventures ถือหุ้นในธุรกิจ 19 แห่ง เช่น Brahmin ดีไซเนอร์กระเป๋าถือแบรนด์หรูจาก Boston, Buckner Heavy Lift Cranes ในรัฐ North Carolina และ Costa Farms ซึ่งเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงไม้ประดับ กิจการล่าสุดที่ Gayner ซื้อเข้ามาเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2024 ที่ราคา 274 ล้านเหรียญคือหุ้น 51% ของ Metromont ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปที่ใช้สร้างโรงจอดรถและอาคารประเภทอื่นๆ ทั้งนี้กิจการทุกแห่งที่บริษัทเข้าไปซื้อล้วนแต่แข็งแกร่งแบบที่ Warren น่าจะเห็นชอบด้วย (อันที่จริงเมื่อไม่นานมานี้ Berkshire ก็เข้ามาถือหุ้น Markel ด้วย)

    Gayner บ่นว่า นักลงทุนตีมูลค่ากิจการของ Markel ต่ำเกินไปเพราะแนวทางการดำเนินงานแตกต่างไปจากบริษัทประกันภัยแบบดั้งเดิม โดยในปัจจุบันธุรกิจประกันภัยเป็นเครื่องยนต์ที่อ่อนแอที่สุดของบริษัท Brett Horn นักวิเคราะห์จาก Morning Star บอกว่า Markel ไม่ได้รุกหนักพอ แต่ก็ชื่นชมการคัดหุ้นของ Gayner ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตปรับตัวดีกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากหุ้น Berkshire แล้วในพอร์ตของ Markel ยังมีหุ้นใหญ่ๆ อีก เช่น Alphabet, Amazon และ Deere & Co. โดยมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นของ Markel ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ย 11% ต่อปี

    อีกเรื่องที่ Gayner เป็นเหมือนกับเทพพยากรณ์แห่ง Omaha นั่นก็คือ เขาชอบซื้อหุ้นคืน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Markel ใช้เงินไป 700 ล้านเหรียญเพื่อซื้อหุ้นคืน และอนุมัติงบสำหรับซื้อหุ้นคืนในปี 2024 อีก 750 ล้านเหรียญ

    “ถ้าเราเดินหน้าซื้อหุ้นคืนในอัตราเท่านี้ไปเรื่อยๆ ในอีก 15 ปี เราจะซื้อหุ้นคืนได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่มีอยู่และภายใน 30 ปี เราจะซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด” Gayner กล่าว โดยในปัจจุบัน หุ้น Markel ที่เขาถืออยู่คิดเป็นมูลค่า 89 ล้านเหรียญ “และในอีก 30 ปีข้างหน้าผมจะยังหนุ่มกว่า Buffett ตอนนี้เสียอีก”  


เรื่อง: Bob Ivry เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Terry Ragon เศรษฐีพันล้านกับยาปราบ HIV ในฝัน

คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine