The One คฤหาสน์ที่เป็นยิ่งกว่าคฤหาสน์หลังนี้ จะขึ้นแท่นบ้านที่แพงที่สุดในสหรัฐอเมริกาหากหนึ่งในเศรษฐีพันล้านจำนวนน้อยนิดบนโลกนี้ตัดสินใจซื้อบ้านสุดโออ่าหลังนี้ภายในเดือนหน้า
คฤหาสน์ 105,000 ตารางฟุต ณ Bel Air ที่ถูกเรียกขานว่า 'The One' อาจกลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกขายไปในราคาที่แพงที่สุดในสหรัฐฯ เมื่อบ้านหลังนี้เข้าสู่ตลาดประมูล
อหังสาฯ ณ เนินเขาครอบคลุมพื้นที่ 3.8 เอเคอร์ถูกนำเข้าตลาดวันที่ 7 มกราคมในราคาถึง 295 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะเข้าสู่ตลาดออนไลน์วันที่ 7 กุมภาพันธ์ผ่าน Concierge Auctions ด้วยทำเลทองของบ้านหลังนี้ ผู้ที่ชนะการประมูลไปจะได้บ้านที่สามารถมองเห็นมหาสมุทรได้แบบ 360 องศา, วิวภูเขา และย่านตัวเมืองของ Los Angeles ได้อีกด้วย
มีอสังหาริมทรัพย์จำนวนน้อยนิดที่มีป้ายราคาสูงกว่าหลังนี้บนโลกใบนี้ โดยทาง Christie's Real Estate กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นประกอบไปด้วย Chateau Louis XIV ในฝรั่งเศส, เพนท์เฮ้าส์ La Belle Epoque ในโมนาโคและบ้านบริเวณ Pollock's Path ในฮ่องกง
ใช้เวลาร่วมศตวรรษกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ The One เป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวที่มีพื้นที่มโหฬารขนาดนี้ในเมือง Los Angeles เนื่องจากระหว่างที่คฤหาสน์หลังนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา กฎเกณฑ์ใหม่ที่จำกัดขนาดของบ้านครอบครัวเดี่ยวก็ผ่านลุย โดยกฎนี้มีไว้เพื่อลดจำนวนมหาคฤหาสน์ทั้งหลายในเมืองแห่งนี้
ป้ายราคาเก้าหลักไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในฝั่ง Westside ของ LA โดยบ้านอีกหลังใน Bel Air ถูกขายไปในราคา 250 ล้านเหรียญเมื่อปี 2017 อีกทั้งยังมี 'Villa Firenze' บ้านขนาดมหึมาใน Beverly Hills ซึ่งถูกนำขึ้นประมูลในราคา 160 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว (ราคาขายไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ)
แต่ 'Gigamansion' อย่าง The One นับว่าเป็นหลังที่โออ่าที่สุดในบรรดาบ้านหลักร้อยล้าน โดย Aaron Kirman นายหน้าอสังหาฯ เจ้าของบริษัทนามตัวเองซึ่งจับมือขายอสังหาริมทรัพย์หลังนี้กับ Williams & Williams เรียกคฤหาสน์หลังนี้ว่า "โมนาลิซ่าแห่งโลกที่อยู่อาศัย" ในบทสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
The One ยังไม่เคยลงตลาด แต่หากถูกขายไปล่ะก็ ผู้ซื้อจะได้สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไนท์คลับ, ซาลอน, สปา, ดาดฟ้ากว้าง 10,000 ตารางฟุต, ลู่วิ่งส่วนตัว, โรงหนัง, ลานโบว์ลิ่ง จนไปถึงห้องเก็บไวน์ความจุ 10,000 ขวด
บ้านหลังนี้มีแม้กระทั่งคูน้ำล้อมรอบอีกต่างหาก โดยคูที่ว่านั้นคือสระไร้ขอบที่โอบกอดสามด้านของบ้านหลังนี้เอาไว้ อีกทั้ง ห้องนอนหลักขนาด 5,500 ตารางฟุตของที่แห่งนี้ก็มีขนาดใหญ่กว่าบ้านทั่วๆ ไปของชาวอเมริกันมากกว่าสองเท่าเลยทีเดียว
บ้านหลังนี้รังสรรค์โดย Paul McClean สถาปนิกผู้ออกแบบบ้านของ Beyoncé และ Jay Z, Avicii จนไปถึง Calvin Klein สุนทรียศาสตร์แบบโมเดิร์นที่นำมาออกแบบทั้งเรียบ ทั้งหรู
สีพื้นและลายเส้นคมเปรียบเสมือนกระดาษเปล่าที่สามารถเติมแต่งรายละเอียดอันสละสลวย เช่น งานศิลปะนับต้นฉบับนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะจัดวางรูปผีเสื้อผลงานของ Stephen Wilson ศิลปินแนว Conceptual และงานปั้นแก้วจากฝีมือช่างกระจกชาวเวนิสอย่าง Simone Cenedese ก็รวมอยู่ในราคาขายนี้ด้วย
Nile Niami นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลังนี้มีเป้าหมายที่จะ "สร้างอสังหาริมทรัพย์ที่วิเศษที่สุดบนโลก" Kirman กล่าว แต่กว่าบ้านหลังนี้จะเข้าสู่ตลาดได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องให้ปวดหัว เมื่อกันยายนปีที่แล้ว ทาง CNN รายงานว่าเดิมทีมูลค่าของบ้านหลังนี้อยู่ที่ 500 ล้านเหรียญ และในหมายศาลยังได้เผยอีกว่าเจ้าของบ้านชำระหนี้และหนี้เงินกู้กว่า 100 ล้านเหรียญไม่ตรงเวลา
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา บ้านหลังนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แทนที่จะยึดไปทั้งหลังอันเพื่อใช้แทนการชำระหนี้ โดยมีเหตุผลเนื่องจากข้อตกลงค้าขายที่ซับซ้อน
Rayni Williams แห่ง Williams & Williams กล่าวว่า ราคา 500 ล้านเหรียญเป็นแค่การคาดการณ์เท่านั้น และราคาตลาดที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 295 ล้านเหรียญต่างหาก โดยเธอกล่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่านี้เป็นราคาที่ "น่าจะขายได้" และเป็น "ตัวเลขที่จับต้องได้" มากกว่า
ในส่วนของเหตุผลว่าทำไมบ้านหลังนี้ถึงไปอยู่ในตลาดประมูลล่ะก็ Kirman อธิบายว่า "บ้านหลังไหนก็ตามที่ราคาสูงกว่า 100 ล้านเหรียญต้องใช้เวลาระหว่าง 1 ถึง 5 ปีกว่าจะขายได้" เขายังได้เสริมอีกว่าการประมูล "เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะย่นเวลา"
และด้วยจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านที่มีน้อยกว่า 2,800 คนบนโลกนี้ เจ้าของบ้านหลังนี้ในอนาคตก็คงมาจากกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ นอกเสียจากว่ากลุ่มเพื่อนเศรษฐีตัวเล็กๆ จะจับมือกันหารซื้อบ้านหลังนี้
"ผู้ที่จะซื้อได้มาจากตลาดที่ค่อนข้างแคบ" Kirman กล่าว "แต่เรารู้ดีว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของเรา"
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ A Los Angeles megamansion could sell for $295 million เผยแพร่บน CNN.com
อ่านเพิ่มเติม: Balmain X Barbie: อนาคตของ NFT ในโลกแฟชั่นและตุ๊กตา
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
