ความเป็นบริษัทชั้นนำในที่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้หรือกำไร แต่หมายถึงธุรกิจที่คำนึงถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านมากที่สุด
การจัดอันดับบริษัทชั้นนำของอเมริกาซึ่ง FORBES จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก FORBES ได้ร่วมมือกับ
Just Capital ทำการสำรวจคนอเมริกัน 72,000 คนเพื่อดูว่าพวกเขาคาดหวังสิ่งใดจากภาคธุรกิจบ้าง จากนั้นก็ทำการจัดอันดับจากบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุด 877 บริษัท โดยใช้ตัววัดถ่วงน้ำหนัก 7 อย่าง ออกมาเป็นตารางการจัดอันดับ
The Just 100
ทั้งนี้ การคำนวณจะใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ คู่ค้าบุคคลที่ 3 และคลังข้อมูลที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานออนไลน์ จากนั้นทีมนักสถิติและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะเป็นผู้วิเคราะห์
การจัดอันดับจะมีการถ่วงน้ำหนักโดยใช้สิ่งที่คนอเมริกันเห็นว่าเป็นพฤติกรรมของภาคธุรกิจที่มีความสำคัญมากที่สุด 7 อันดับเป็นเกณฑ์ ได้แก่
- การปฏิบัติต่อพนักงาน (ค่าถ่วงน้ำหนัก 23%)
- การปฏิบัติต่อลูกค้า (19%)
- คุณภาพของผลิตภัณฑ์ (17%)
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (13%)
- การให้การสนับสนุนชุมชนในสหรัฐฯ และสิทธิมนุษยชนทั่วโลก (11%)
- จำนวนตำแหน่งงานในสหรัฐฯ (10%)
- การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้น (6%)
หมายเหตุ: อ่านตัวอย่างการปฏิบัติต่อพนักงานของบริษัทชั้นนำด้านล่างตาราง
ตัวอย่างกรณีศึกษา การปฏิบัติต่อพนักงานของบริษัทชั้นนำใน The Just 100
Intel (อันดับ 1)
Brian Krzanich ซีอีโอ
Intel ริเริ่มโครงการสงวนรักษาพนักงานคุณภาพเป็นหนึ่งในความพยายามเพิ่มความหลากหลายในองค์กรของ Intel ในปี 2015 Krzanich ทุ่มเงินประมาณ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีเพื่อให้การสนับสนุนพนักงานชนกลุ่มน้อยใน Intel โดยต่อยอดงานวิจัยของ
Ed Zabasajja วิศวกรชาวยูกันดาจาก Auburn University
โครงการดังกล่าวคือโครงการ
WarmLine ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลมาประมวลผลเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมพนักงานจึงตัดสินใจลาออกก่อนที่พนักงานจะลาออกจริงๆ และพัฒนาสู่ขั้นต่อไปคือการหาหนทางแก้ปัญหาป้องกันการลาออก เช่น การหาเพื่อนให้กับพนักงานผู้โดดเดี่ยว การไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งในการบริหารงาน การจัดการเรื่องการโอนย้ายพนักงาน รวมถึงการขอขึ้นค่าจ้าง
Nvidia (อันดับ 3)
นอกจาก
Nvidia จะติดอันดับ 3 ในภาพรวมแล้ว ยังติดอันดับ 1 ในหมวดบริษัทที่ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างดีที่สุด เพราะ Nvidia ต้องแข่งขันกับ
Apple, Google, Facebook และบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley ทั้งหมดในการเป็นสุดยอดบริษัทด้านเทคโนโลยี หมายความว่าบริษัทจ่ายค่าจ้างอย่างงาม แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานที่ได้รับการกระตุ้นด้วยเงินเดือนเพียงอย่างเดียวมีแนวโน้มที่จะลาออก
ดังนั้น เพื่อดึงดูดพนักงานที่เป็นดาวเด่น Nvidia จึงปฏิบัติกับพนักงานเหมือนกับพวกเขาเป็นดาว โดยการให้สวัสดิการเพิ่มเติมอย่างครอบจักรวาลกับพนักงานชนิดที่แม้แต่สหภาพแรงงานก็เรียกร้องให้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิมารดาที่คลอดบุตรใหม่ลาหยุดได้ 22 สัปดาห์โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน หรือพนักงานจะได้รับเงินที่ชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนจากบริษัท 6,000 เหรียญทุกปี รวมแล้วไม่เกิน 30,000 เหรียญ
Nvidia ยังเริ่มเสนอที่จะชำระค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว และการรับบุตรบุญธรรมให้กับพนักงาน และอีกไม่นานจะรวมถึงค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ด้วย Nvidia กล่าวว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการลาออกของพนักงานอยู่ที่ 5% ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันครึ่งหนึ่ง
Accenture (อันดับ 6)
Accenture ประกาศแผนเชิงรุกระยะ 4 ปีที่ใช้งบประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญในการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทที่ปรึกษาแห่งนี้ได้ปรับเปลี่ยนมาเน้นการให้บริการคลาวด์และบริการด้านความปลอดภัย ในตลาดแรงงานประเภทนี้ซึ่งเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีอันล้ำสมัยไม่ใช่วิธีการบริหารงานบุคคลที่ใช้ได้ผลดีอีกต่อไป การเติบโตอย่างต่อเนื่องต้องสร้างความผูกพันกับพนักงานที่มีค่าควรรักษาไว้และคู่ควรการได้เลื่อนตำแหน่ง
Procter & Gamble (อันดับที่ 15)
P&G มีพนักงาน 95,000 คนทั่วโลก พนักงานทุกคนจะได้รับการจัดสรรสวัสดิการที่พนักงานแต่ละคนมีสิทธิเลือกเองในมูลค่าเท่ากับ 1-2% ของเงินเดือนของตน ไม่ว่าจะเป็นประกันการทุพพลภาพ การวางแผนการเงิน ไปจนถึงวันหยุดพักผ่อนพิเศษ
คลิกอ่าน 100 อันดับแรกในตารางบริษัทชั้นนำแห่งสหรัฐอเมริกาจาก " The Just 100" ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine