เรื่องลับลวงพรางของ Sheldon Yellen (ตอน 2) : องค์กรธุรกิจแบบฉบับมาเฟีย? - Forbes Thailand

เรื่องลับลวงพรางของ Sheldon Yellen (ตอน 2) : องค์กรธุรกิจแบบฉบับมาเฟีย?

FORBES THAILAND / ADMIN
20 Aug 2017 | 01:39 PM
READ 2016
ติดตามอ่านเรื่องลับลวงพรางของ Sheldon Yellen (ตอน 1) ได้ที่นี่

การแต่งงานทำให้ Yellen หลุดพ้นออกมาจากชีวิตแบบนั้น ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 26 ปี พี่ชายของภรรยา ได้แก่ Randy และ Mark Fenton ได้ชักชวนให้เขาไปทำงานกับบริษัท Inrecon ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว บริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจจำหน่ายกันสาดและรับงานซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง รายได้เฉลี่ยต่อปีของบริษัทในเวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านเหรียญ

ด้วยความที่อยากมีชีวิตการงานมั่นคง Yellen จึงตอบรับเข้าทำงานที่บริษัท Inrecon ในปี 1984 Yellen ได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจซ่อมแซมทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายซึ่งต้องรองานจากบริษัทประกันภัยมาเรียกใช้บริการ ความที่เป็นเด็กหนุ่มซึ่งไม่มีเส้นสายในแวดวงธุรกิจ การจะมีโอกาสได้เข้าพบตัวแทนของบริษัทประกันสักแห่งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนที่จะเข้าไปทำความรู้จักบริษัทประกันจำนวน 120 แห่ง โดยเขาจะเพียรเข้าไปฝากนามบัตรและทักทายที่บริษัทเดิมจนกว่าจะเป็นคนคุ้ยเคยและได้รับการนึกถึงเป็นคนแรกเมื่อบริษัทประกันมีงานให้ทำ Yellen อวดผลงานว่าเขาสามารถทำรายได้ให้กับบริษัทสูงถึงเกือบ 5 ล้านเหรียญในปีที่สองของการทำงาน ซึ่งเขาคนเดียวสามารถหาเงินได้เท่ากับพนักงานที่เหลือของบริษัท และอีก 4 ปีต่อมา Yellen สามารถทำเงินให้บริษัทได้รวม 52 ล้านเหรียญหลังเหตุการณ์พายุเฮอริเคนฮิวโก้ในรัฐ South Carolina และพายุเฮอริเคนแอนดริวในรัฐ Florida เขาเสี่ยงตายกับงานนี้จนเป็นที่มาถึงการเรียกร้องส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทหรือไม่ก็ขอลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว
เหตุการณ์พายุเฮอริเคนแอนดริวในรัฐ Florida เมื่อปี 1992 (Photo Credit: npr.org)
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายน้องเขยยื่นขอเสนอขายหุ้นบริษัท Inrecon ให้เขาร้อยละ 10 และเสนอจ่ายโบนัสให้เขาก้อนหนึ่งที่มากพอให้ Yellen มีเงินซื้อหุ้นส่วนดังกล่าวได้สบายๆ เขาจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนับแต่นั้น เวลาต่อมา บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ Masco Corp. ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการบริษัท Inrecon เป็นเงินมูลค่า 90 ล้านเหรียญ ในช่วงปี 1997-1999 หลังจากขายหุ้นแล้ว ตัว Yellen และน้องเขยคงมีสถานะเป็นเพียงแค่ลูกจ้างของบริษัท ต่อมาในปี 2001 Masco ได้ขายกิจการบริษัท Inrecon ให้กับบริษัทกอบกู้ภัยพิบัติสัญชาติเยอรมันที่ชื่อ Belfor เป็นเงินจำนวนประมาณ 190 ล้านเหรียญ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้น้องเขยของ Yellen ตัดสินใจลาออกจากบริษัท ในขณะที่ Yellen ยังคงทำงานต่อไป ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ Belfor รีบเข้าไปซ่อมแซมอาคาร World Trade Center หลังเหตุการณ์ปี 2001 ทำให้คนงานกว่า 100 คนได้รับอันตรายจากสารพิษที่ฟุ้งอยู่ในอาคาร คนงานเหล่านั้นร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท Belfor คดีความดังกล่าวมีแนวโน้มไม่สู้ดีว่าบริษัทอาจต้องยอมจ่ายเงินหลายร้อยล้านเหรียญเพื่อระงับข้อพิพาท ตระกูล Haniel ชาวเยอรมันที่ถือหุ้นอยู่ใน Belfor จึงต้องการเลิกทำธุรกิจนี้ เป็นโอกาสให้ Yellen เข้าซื้อหุ้น รวมถึง Yellen ยังชักชวนเพื่อนร่วมงานอีกหลายสิบคนเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ
9/11 การก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา (Photo Credit: The Atlantic)
ปัจจุบันเขามีอำนาจควบคุมสิทธิการออกเสียงของผู้ถือหุ้นถึงร้อยละ 95 แม้ว่าจะถือหุ้นในกิจการแค่ประมาณร้อยละ 30 โดยไม่ปรากฏข้อมูลแน่ชัดว่าใครถือหุ้นส่วนที่เหลือ และบริษัทก็ไม่เคยจัดประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นเลย ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ มันเป็นจังหวะและความโชคดีของ Yellen อย่างมาก เพราะหลังจากที่กลุ่มนักธุรกิจชาวเยอรมันบอกว่าต้องการขายหุ้น ได้เกิด เหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรินา พัดเข้าถล่มบ้านเรือนในรัฐ New Orleans จนกลายเป็นความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา การเจรจาธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป และโชคเข้าข้าง Yellen เป็นหนที่สองเมื่อประธานาธิบดี Obama ได้ลงนามผ่านร่างกฎหมายการจ่ายเงินชดเชยให้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2011 และปี 2015 ซึ่งมีผลทำให้บริษัท Belfor จ่ายค่าทนายความเพียงแค่ 1.5 ล้านเหรียญเท่านั้น Yellen มักจะพูดถึงบริษัท Belfor ว่าเป็น “กลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกัน” และเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” ถ้าหากบริษัทแห่งนี้เป็นเหมือนครอบครัว คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครจะนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ เช่นเดียวกับผู้ปกครองที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด Yellen เรียกร้องให้ทุกคนในองค์กรไว้ใจในตัวเขาขณะที่ตัวเขาเองกลับเก็บซ่อนความลับไว้มากมาย ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งน้องชายของ Yellen ที่ชื่อ Michael ซึ่งมีตำแหน่งเป็นซีโอโอของบริษัทและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับที่สอง แต่ไม่มีสิทธิได้งบการเงินฉบับเต็มจากบริษัท ในขณะที่ผู้ถือหุ้นรายเล็กซึ่งได้รับหุ้นจำนวนหนึ่งจากบริษัทเป็นค่าตอบแทนจะไม่มีสิทธิได้รับข้อมูลใดๆ จากบริษัทเลย เรื่องนี้ถูกระบุเตือนตั้งแต่ทำสัญญาซื้อหุ้น และหากมีผู้ถือหุ้นคนใดคัดค้านเรื่องดังกล่าว Yellen ก็จะพูดชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเลือกว่าจะถือหุ้นต่อหรือขายหุ้นทิ้ง “เราไม่ห้ามที่คุณจะขอข้อมูล แต่เราคงให้ข้อมูลได้แบบจำกัด ซึ่งถ้าคุณไม่พอใจไม่อยากถือหุ้นบริษัทเราต่อ เราก็คงทำอะไรไม่ได้ เรามองว่าการซื้อหุ้นของบริษัทเราเป็นโอกาส แต่ไม่ใช่เวทีที่ใครอยากจะมาแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงมติอะไรกันทั้งนั้น” ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะได้รับค่าจ้างเท่าไหร่ถือเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ ทุกปี Yellen จะประชุมร่วมกับน้องชายทั้งสองคน คือ Michael และ Ciolino เพื่อพิจารณาการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ผู้จัดการอาวุโสจำนวน 350 คน ซึ่ง Yellen และคนใกล้ชิดจะเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจร่วมกันว่าจะจ่ายหรือไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่ใคร อย่างไรก็ตาม Yellen จะเป็นผู้พิจารณาจำนวนเงินโบนัสที่จะจ่ายให้แก่พนักงานดาวเด่นจำนวน 10 คนแรกของบริษัท ซึ่งเงินก้อนใหญ่ดังกล่าวจะจ่ายให้ในคราวเดียวโดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลข แผนการจ่ายเงินรางวัลพิเศษของ Yellen เป็นเรื่องที่ Greg Stejskal อดีตเจ้าหน้าที่เอฟบีไอซึ่งเกษียณอายุแล้วบอกว่า “แผนจ่ายเงินโบนัสของ Yellen ช่างเหมือนกับการจัดโครงสร้างของกลุ่มมาเฟียผู้มีอิทธิพลไม่มีผิด” โดยสิ่งที่เหมือนกันมีตั้งแต่การกำหนดชั้นความลับไปจนถึงการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของผู้นำองค์กร
Sheldon Yellen ผู้นำแห่ง Belfor Holdings (Photo Credit: Brandon Schulman/Forbes)
นอกจากนี้ Yellen ยังดูแลพนักงานแบบเดียวกับที่พ่อดูแลลูก โดยเขามักจะพกเงินสดติดตัวคราวละจำนวนมากและควักออกมาแจกพนักงานแบบไม่เสียเวลาคิด รวมถึงเขาจะเขียนการ์ดอวยพรวันเกิดให้พนักงานทั้งหมด 7,400 คนทุกปี บนข้อมือ Yellen จะมีสายรัดข้อมือประมาณ 6 อันซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับบุตรพนักงานที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขากลับมาแข็งแรงเป็นปกติ Yellen จะบินตรงดิ่งไปเยี่ยมพวกเขาทันทีเพื่อตัดสายรัดมือที่ใส่คู่กันออก Pete Boylan ผู้จัดการฝ่ายภูมิภาคในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาของ Inrecon เล่าว่า “คนพวกนี้จงรักภักดีกับ Yellen เป็นอย่างมาก Yellen เป็นคนประเภทที่พร้อมจะปกป้องและช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่ถ้าคุณเทใจให้เขา” กฎของมาเฟียในย่าน Detroit มีอยู่ว่า หากสมัครใจเข้ามาแล้วห้ามเปลี่ยนใจ ดังนั้นเมื่อคุณก้าวเข้ามาในวงการนี้แล้วคุณจะต้องอยู่ตลอดไป Yellen เล่าว่าเขาเคยมีความคิดที่อยากจะขายหุ้นบริษัททิ้งเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาตัดสินใจขอล้มเลิกข้อตกลงในนาทีสุดท้าย โดยให้เหตุผลว่าเขาทำใจไม่ได้ที่จะทอดทิ้งพนักงาน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีแผนที่จะซื้อกิจการครั้งใหญ่ ซึ่งหากการเจรจาดังกล่าวประสบความสำเร็จจะทำให้บริษัท Belfor สยายปีกไปยังธุรกิจใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกิจการเดิม และจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าของรายได้ปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนบริษัท Belfor ให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจที่มีความหลากหลาย “เราคงต้องทำงานหนักกันอีกเยอะ” ซึ่ง Yellen ทำนายว่า เขาคงจะต้องตายคาโต๊ะทำงานเป็นแน่ แต่ถึงงานจะหนักแค่ไหนก็ตาม เขามองว่าชีวิตที่ทำงานหนักอย่างไรเสียก็ดีกว่าการเป็นเด็กเร่ร่อนข้างถนนแบบที่ผ่านมาเป็นไหนๆ   เรื่อง: Dan Alexander เรียบเรียง: ชนกานต์ อนันตคุณากร
คลิกอ่าน "เรื่องลับลวงพราวของ Sheldon Yellen" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine