จากเด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแทนแห่งสื่อสังคมออนไลน์ ปีนี้ Mark Zuckerberg กำลังจะก้าวเข้าสู่วัย 40 ปี เขาชวนให้นึกถึงยุคของ Bill Gates ทั้งความละมุนเล็กๆ ความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย จับบริษัทของตัวเองกลับหัวกลับหางด้วยความมั่นใจจนน่าตกใจ นับเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่สำหรับชีวิตประจำวันของพวกเราในอนาคต รวมถึงมรดกตกทอดของตัวเขาเอง
ในห้องประชุมผนังเป็นกระจกที่มีชื่อเรียกว่า The Aquarium นั้น Mark Zuckerberg กำลังวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียในเรื่องที่ทำให้เขาตกเป็นข่าวดังในปีนี้คือศิลปะการต่อสู้แบบผสม ณ วันนี้เขาสนใจการโจมตีที่ศีรษะเมื่อเปรียบเทียบกับการโจมตีลำตัว “โดนเข้าที่หน้าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น” เขากล่าวหน้าตาเฉย “แค่ทำให้สมองเสียหาย”
เห็นๆ กันอยู่ว่าศึกมวยกรงกับ Elon Musk จะไม่มีวันเกิดขึ้น (“ผมเดาว่าเขาไม่เอาด้วย”) แต่ก็ดึง Zuckerberg กลับเข้าสู่ห้วงความคิดได้อย่างโง่เขลาที่สุด พร้อมกับตอบสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
“ตัวชี้ชะตากรรมของคุณไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นการทำงานของคุณเอง” เป็นคำกล่าวถูกที่ถูกเวลา Zuckerberg จะมีอายุครบ 40 ปีในเดือนพฤษภาคม ปี 2024 พร้อมกับทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 1.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับ 8 ในทำเนียบ Forbes 400) หน่วยงานการกุศลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับผลลัพธ์สูงสุดและความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงบริษัทที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเขามีอำนาจควบคุมเกือบทั้งหมด
Zuckerberg กำลังมีช่วงเวลาที่เหมือนกับ Bill Gates ในหลายๆ ด้าน กล่าวคือ Gates ลาออกจาก Harvard เพื่อสร้างบริษัทเทคโนโลยีที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับ Zuckerberg ครั้งหนึ่ง Gates เคยเป็นเด็กเนิร์ดอัจฉริยะประจำสาขา ซึ่งก็เหมือนกับ Zuckerberg
ตลอดเส้นทางสู่ความสำเร็จในระดับสูงสุดอย่างมุทะลุและไม่หยุดยั้งนั้น Gates มีทั้งคนรักและคนชัง และยังเป็นผู้ก่อความวิตกกังวลเรื่องการผูกขาดเช่นเดียวกับ Zuckerberg อีกเช่นกัน
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 40 ปี Gates เขียนเรื่องราวบทใหม่ เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ผูกขาดที่ไม่สนถูกผิดมาเป็นคนใจบุญระดับโลก ทำให้ชัยชนะตกเป็นของทั้งบริษัทและมรดกตกทอดของเขา แต่สำหรับ Zuckerberg เล่าจะเป็นอย่างไร?
Daniel Ek เพื่อนของเขาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Spotify กล่าวว่า “เขาแสดงตัวตนที่แท้จริงต่อสาธารณชนมากขึ้นเยอะ เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตอนนี้ไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเข้าใจแล้วว่าจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยความรับผิดชอบ เพราะแพลตฟอร์มที่มีอยู่นั้นใหญ่โตมหึมา แต่ความเป็น Mark คนเดิมก็ยังอยู่ เขายังคงเดิมพันในสิ่งที่ทุกๆ คนบอกว่าเป็นไปไม่ได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่าจะเป็นการลงทุน 1 แสนล้านเหรียญในโลกเสมือนจริงอันแสนมหัศจรรย์ (แม้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์) ที่เรียกว่า “เมตาเวิร์ส” ซึ่งอาจจะยังไม่สร้างผลตอบแทนในอีก 7 ปีข้างหน้านี้หากจะสร้างผลตอบแทนได้จริง
Zuckerberg สามารถทำอะไรได้มากมายอย่างน่าเหลือเชื่อขณะที่เขากำลังก่อสร้างร่างใหม่ ในเรื่องของการทำงานนั้นไม่มีใครสามารถบอกให้เขาทำอะไรได้ Facebook มีโครงสร้างหุ้น 2 ระดับ ทำให้เขาสามารถครองอำนาจควบคุมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ตามทฤษฎีแล้ว แม้ผู้นำจะเป็นเผด็จการ แต่หากเป็นคนดีนั้นย่อมสร้างความยิ่งใหญ่ได้ “ในโลกนี้มีบริษัทไม่กี่แห่งหรอกที่จะสามารถเดิมพันระยะยาวแบบเราได้” Zuckerberg กล่าวไว้ไม่ผิด แต่หากขาดการตระหนักรู้ตนเอง ความดีนั้นอาจดูเหมือน “ด้านมืด” ของ Mark อย่างที่ Ek กล่าวไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากซีอีโอสามารถดำรงตำแหน่งได้เกินครึ่งศตวรรษ
Zuckerberg บอกว่า “ผมคิดว่าจะบริหาร Meta ไปอีกนาน” การจะบอกว่าใครสักคนมีความเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การวิเคราะห์ Zuckerberg กับร่างที่ 3 ของเขากลับยากยิ่งกว่าการวิเคราะห์เดือนกันยายน ปี 2021 เสียอีก
หุ้นของ Facebook ทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในเวลานั้นบริษัทมีมูลค่าเกือบ 1.1 ล้านล้านเหรียญ และขณะที่ Zuckerberg เองมีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1.36 แสนล้านเหรียญ
การผลักดันเข้าสู่เมตาเวิร์สดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพียงเดือนถัดมา เขาประกาศการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ Facebook เป็น Meta Platforms โดยวางเดิมพันว่าเมตาเวิร์สจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์แห่งอนาคต การเดิมพันครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยผู้ก่อตั้งเป็นอย่างนี้เอง
จากนั้นก็เข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ในช่วงระยะเวลา 14 เดือนต่อมา หุ้นของ Meta ร่วงหนักถึง 75% จากรายได้ต่อปีที่ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2022 ลดลง 41% มูลค่าทรัพย์สินของ Zuckerberg ลดลงเหลือ 3.3 หมื่นล้านเหรียญ
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ Apple มีการปรับปรุงนโยบายรักษาความเป็นส่วนตัวในระบบปฏิบัติการ iOS เมื่อปี 2021 ทำให้บริษัทเทคโนโลยีติดตามการใช้งานข้ามแอปพลิเคชันได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันจาก TikTok เป็นผู้ร้ายรายใหม่
ในปีที่ผ่านมา Zuckerberg ตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ไม่มีคำว่าดันทุรัง ไม่มีคำขอโทษแบบไร้ใจที่มาเมื่อสายอีกต่อไป เขาเปลี่ยนไป จากที่เคยขยายจำนวนพนักงานจาก 33,600 คนเป็น 87,000 คนในระยะเวลาเพียง 4 ปี
แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว (ปี 2022) Zuckerberg ปลดพนักงานกว่า 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของทั้งบริษัท และอีก 10,000 คนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “ปีที่แล้วเราต้องตัดสินใจในเรื่องที่ยากมากๆ” เขากล่าวเรียบๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่อยากทำเลย”
“เราพยายามสร้างกรอบการดำเนินงานของบริษัทเพื่อเป้าหมาย 2 ประการ” เขากล่าวต่อ “1. คือ เตรียมความพร้อมตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกเป้าหมายหนึ่งคือ ทำให้แน่ใจว่าเรามีช่องทางทางการเงินเพียงพอสำหรับรองรับแรงกระแทกใดก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เพื่อที่เราจะสามารถลงทุนให้กับวิสัยทัศน์ระยะยาวต่อไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการลงทุนสำคัญๆ 2 ด้านที่เรากำลังดำเนินการอยู่คือ AI และเมตาเวิร์ส”
สำหรับเขาแล้วเมตาเวิร์สเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ระยะไกล ซึ่งไม่ได้มีเพียง VR และ AR เท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ด้วย เช่นเดียวกับ Gates (ในการให้สัมภาษณ์กับ Forbes เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Gates บอกว่า การพัฒนา AI ล่าสุด “มีความสำคัญเท่ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอินเทอร์เน็ตทุกกระเบียดนิ้ว”)
Zuckerberg มองว่า การพัฒนา AI จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และรู้ดีว่า AI เป็นการเดิมพันราคาแพงสำหรับโลกอนาคต แต่จะว่าไปเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญเพียงรายเดียวของ Meta อยู่ดี และก็มีความอดทนสูงเสียด้วย
หาก Mark ใน 2 ร่างแรกคือมุมมองของคนทั่วไป แสดงว่า Mark ในร่างที่ 3 ย่อมต้องเข้าใจเป็นอย่างดีว่า Gates มีวิธีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเองผ่านการทำงานเพื่อสาธารณะอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาเพิ่งจะมาให้ความสำคัญในวัย 40 ปี ขณะที่ Zuckerberg ซึ่งในเวลานั้นมีอายุเพียง 26 ปี เป็นคนแรกๆ ที่ลงชื่อเข้าร่วมโครงการ Giving Pledge ที่นำโดย Gates และ Warren Buffett โครงการดังกล่าวจะเชิญชวนมหาเศรษฐีให้บริจาคทรัพย์สินของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อการกุศล
“Bill เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า หากต้องการทำบุญทำกุศลให้เป็นนิสัย หากต้องการทำบุญให้เก่งก่อนที่จะเข้าวัยชราเป็นเรื่องที่ต้องฝึก” Zuckerberg กล่าว
ในปี 2015 ก่อนให้กำเนิดลูกสาว Zuckerberg กับ Priscilla Chan ภรรยา เขียนจดหมายสัญญาว่าจะบริจาคหุ้น Facebook ในส่วนของตนถึง 99% ให้เป็นการกุศล ต่อมาโครงการดังกล่าวเรียกว่า Chan Zuckerberg Initiative (CZI)
ปัจจุบันหุ้นดังกล่าวมีมูลค่าราว 1.03 แสนล้านเหรียญ (พวกกับอีก 4.2 พันล้านเหรียญที่เคยบริจาคมาก่อนหน้านี้) หากโครงการดังกล่าวยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าจะหยุด) CZI จะกลายเป็นโครงการเพื่อการกุศลขนาดใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในโลก เป็นรองเพียงโครงการของ Gates และ Melinda French Gates อดีตภรรยา หรือวันหนึ่งอาจจะเติบโตยิ่งกว่า ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานในอนาคตของ Meta
Chan บอกว่า CZI เป็น “โอกาสที่บ้าบอ” ไม่เพียงแต่จะจัดตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัทจำกัดความรับผิด ฉีกธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ แล้ว ยังมีการเข้าร่วมลงทุนในบริษัทที่ดำเนินกิจการโดยแสวงผลกำไรที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ CZI นอกเหนือไปจากการบริจาคเงิน รวมถึงให้เงินทุนสนับสนุนการทำงานเบื้องหลัง
การจัดตั้ง CZI ในรูปแบบบริษัทจำกัดความรับผิดทำให้ Zuckerberg และ Chan จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในทันที และไม่ต้องเปิดเผยกิจกรรมที่ดำเนินการเช่นกัน แต่เมื่อมีการโอนสินทรัพย์จาก CZI ในรูปแบบบริษัทไปยังมูลนิธิเพื่อการกุศลของ CZI (ซึ่งจากข้อมูลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามีมูลค่าสินทรัพย์ 7 พันล้านเหรียญ) สองสามีภรรยาจึงจะสามารถนำมาหักภาษีได้ และต้องรายงานกิจกรรมต่างๆ
CZI มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้วิทยาศาสตร์สามารถรักษา จัดการ และป้องกันโรคทั้งหมดได้ภายในศตวรรษนี้ แม้จะเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ระดับคะแนนเต็ม แต่ในความเป็นจริงแล้วการรักษาโรคมีความซับซ้อน แต่ Chan ไม่ได้สะทกสะท้าน “การได้ทำงานเกี่ยวกับปัญหาที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้คือรางวัลชีวิต”
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 10 อันดับ “มหาเศรษฐีรวยเพิ่มขึ้น” มากสุดแห่งปี 2023