การทำงานร่วมกันของพ่อตา-ลูกเขย Donald Trump และ Jared Kushner มีความแตกต่างในลักษณะนิสัย แต่กลับจับคู่ได้ลงตัวเพราะประวัติชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
สไตล์ของ Jared คือ ทุกอย่างต้องควบคุมได้ รักษาภาพลักษณ์ และใจเย็น ซึ่งต่างจากพ่อตาของเขาอย่างสิ้นเชิงยกตัวอย่างเช่น การส่งข้อความผ่าน Twitter ที่ Trump มักจะโพสต์ข้อความแบบห่ามๆ บ่อยครั้ง ขณะที่ Kushner มีบัญชี Twitter มาตั้งแต่ปี 2009 แต่ไม่เคยโพสต์ข้อความอะไรเลย ออฟฟิศของ Trump โอ่อ่าและเต็มไปด้วยเครื่องประดับแสดงความสำเร็จ แต่ออฟฟิศที่ Kushner Companies กลับดูเรียบง่ายและขรึม บนผนังของห้องประชุมมีภาพประดับอยู่เพียงภาพเดียวคือภาพปู่ย่าของเขา ซึ่งเป็นชาวยิวที่หนีรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ และอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา เราพบว่าออฟฟิศของ Kushner กับ Trump มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่สองอย่าง คือ คอลัมน์ข่าวความสำเร็จของพวกเขาในการทำดีลอสังหาริมทรัพย์ และรูปภาพของ Ivanka Trump ที่ใส่กรอบประดับไว้ ถ้าคุณจะมองหาอะไรสักอย่างที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่มั่นคงของ Kushner หรือ Trump ก็คงจะสรุปได้คำเดียวสั้นๆ ว่า ครอบครัว “การที่ Jared กับพ่อของฉันเข้ากันได้อย่างดีในช่วงแรกๆ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉัน กับอีกส่วนก็คือ อะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันระหว่าง Jared ในฐานะที่เป็นนักพัฒนาอสังหาฯ และพ่อของฉันในช่วงต้นๆ ของชีวิตการทำงาน” Ivanka กล่าว ทั้ง Kushner และ Trump ต่างก็โตขึ้นมานอกเขต Manhattan โดย Kushner โตมาจาก New Jersey ในขณะที่ Trump โตมาในย่าน Queens และต่างก็เป็นทายาทบริษัทอสังหาฯที่ยิ่งใหญ่ Jared โตมากับพี่น้องสามคนในครอบครัวชาวยิวที่เคร่งศาสนาในแถบ Livingston ของรัฐ New Jersey เขาเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาที่ Harvard และต่อจากนั้นก็ไปต่อหลักสูตร Joint J.D. และ MBA ที่ New York University Charles Kushner พ่อของ Jared เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรคเดโมแครท เขาเคยบริจาคเงินให้เดโมแครท รวมถึง 1.09 ล้านเหรียญ ซึ่ง Jared ก็เดินตามรอยเท้าด้วยการบริจาคเงินให้พรรคเดโมแครทรวม 71,000 เหรียญ แต่ชีวิตของ Jared กลับตาลปัตรในช่วงเรียนปริญญาโท เมื่อ Charles ให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดในข้อหาหลบเลี่ยงภาษี ให้เงินสนับสนุนการหาเสียงโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ร้ายพยาน ซึ่งกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัว ในฐานะลูกชายคนหัวปี Jared ซึ่งตอนนั้นเพิ่งอายุ 24 ปีเท่านั้นต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อ เขาไปหาแม่เกือบทุกวันและบินไป Alabama เพื่อเยี่ยมพ่อของเขาในคุกเกือบทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นสอนผมให้รู้จักปลงและไม่ไปมัวห่วงกังวลอยู่กับสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้” Kushner บอก “ผมจะพุ่งความสนใจไปที่การทำส่วนของผมให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ผมอยากเห็น ผมก็จะใช้ความพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไป” เขาใช้หลักคิดนี้ในการบริหารธุรกิจด้วยเช่นกัน เพื่อเริ่มต้นใหม่เขามุ่งเข็มไปที่ Manhattan เหมือนกับที่ Trump ทำเมื่อ 40 ปีก่อน เขาเลือกเข้าตลาดอสังหาฯ ที่มีการแข่งขันรุนแรงที่สุดในอเมริกาโดยทำดีลใหญ่ดีลแรกในฐานะซีอีโอของ Kushner Companies ด้วยการเข้าซื้อตึก 666 Fifth Avenue ในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.8 พันล้านเหรียญ เมื่อปลายปี 2007 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินเพียงนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งพอเกิดวิกฤตขึ้น ค่าเช่าก็ตก คนเช่าก็หาย เงินทุนก็หด เพื่อให้ธุรกิจยังยืนอยู่ได้ เขาจำเป็นต้องขายพื้นที่ของอาคารไปถึง 49% ให้กับ Carlyle Group และนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ในราคา 525 ล้านเหรียญ และต้องขอปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ทุกก้อนเพื่อแลกกับการต่อลมหายใจทางการเงินจนสามารถประคองตัวผ่านไปได้ ส่วนนี้ Jared ต่างกับ Trump ซึ่งใช้วิธีล้มละลายธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1990 นอกเหนือจากการที่อยู่ดีๆ คนที่แทบไม่เคยออกสื่อเลยอย่างเขากลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลสูงในการเมืองสหรัฐฯแล้ว เหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ Jared Kushner เป็นที่สนใจก็คือความย้อนแย้งของตัวตนและสิ่งที่แสดงออก Jared นำธรรมเนียมการทำธุรกิจอย่างเปิดเผยแบบ Silicon Valley มาใช้กับแคมเปญหาเสียงที่จะสัญญาจะปิดพรมแดนและกีดกันศาสนา เขายังเป็นลูกหลานชาวยิวอพยพหนีสงครามที่สนับสนุนพรรคเดโมแครท แต่กลับเป็นแกนนำหาเสียงให้ตัวแทนพรรครีพับลิกันที่เสนอนโยบายกีดกันผู้อพยพ มีความใกล้ชิดกับกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดและกลุ่ม KKK นอกจากนี้ Jared ยังเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อแต่กลับทำแคมเปญแบบสร้างกระแสใส่สีตีข่าว Kushner ตอบคำถามเกี่ยวกับความย้อนแย้งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นด้วยคำตอบเดียว คือความศรัทธาอย่างมั่นคงที่เขามีต่อ Trump ซึ่งเขาบอกว่ามาจาก “ข้อมูล” ที่เขาได้รู้เห็นมาเกี่ยวกับตัวตนของ Trump และระยะเวลากว่าสิบปีที่เกี่ยวดองกัน เขาพูดถึงมุมมองของ Trump ที่มีต่อโลกว่า “ผมไม่เห็นว่ามันน่าจะเป็นประเด็นรุนแรงตรงไหน กับการที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะบอกว่าจุดยืนของเขาคือ ผลประโยชน์ของอเมริกาต้องมาก่อนและเขาเลือกยืนข้างแนวคิดชาตินิยมแทนที่จะเป็นสากลนิยม” Jared ยังแก้ต่างให้ Trump ด้วยว่าเรื่องที่ Trump ถูกโจมตีหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกขยายความหรือไม่เป็นความจริง โดยก่อนหน้านี้ Dana Schwartz ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Observer ที่ Kushner เป็นเจ้าของ ได้เขียนบทความเรียกร้องให้นายของเธอแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับความเชื่อทางศาสนาและครอบครัว หลัง Trump โพสต์รูปอื้อฉาวพาดพิงชาวยิว แต่ Kushner ก็ยังคงปกป้อง Trump ด้วยเหตุผลว่าเขารู้จัก Trump ดี และกล่าวปฏิเสธว่า Trump ไม่สนับสนุนกลุ่มชาตินิยมผิวขาวขวาจัด KKK ตามที่เป็นข่าว โดยได้ปฏิเสธไปแล้วถึง 25 ครั้ง ทั้งยังยกคำพูดของ Ronald Reagan ขึ้นมาอ้างว่า “เพียงเพราะพวกเขาสนับสนุนผม ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนเขาด้วยหรอกนะ” ดูๆ ไปแล้ว Kushner ไม่น่าจะรับตำแหน่งที่เป็นทางการในทำเนียบขาวภายใต้การบริหารราชการของ Trump ได้ เนื่องจากมีการตรากฎหมายป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวก มีรายงานข่าวว่าทางรัฐบาลกำลังหาแง่มุมทางกฎหมายที่อาจเปิดช่องให้ Kushner เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล แต่ทั้งหมดนี้ก็อาจจะไม่ได้มีความหมายที่สลักสำคัญอะไรนัก เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีขอคำปรึกษาจากใครก็ตามที่เขาอยากจะปรึกษาด้วยแม้ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นทางการ “ผมเชื่อว่าเขา (Kushner) จะมีบทบาทสำคัญอยู่ในทำเนียบขาวไปจนจบเทอมการเป็นประธานาธิบดี (ของ Trump) เลยล่ะ” Rupert Murdoch มหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อใหญ่อย่าง News Corp กล่าว และเสริมว่า “สำหรับในอีกสี่ หรือ แปดปีข้างหน้า เขาจะเป็นคนที่เสียงดังมาก บางทีอาจจะเสียงดังที่สุดถัดจากรองประธานาธิบดีเลยทีเดียว”- อ่านบทความก่อนหน้า Jared Kushner ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ ตอน 1 : อาวุธลับเบื้องหลัง Trump
คลิกอ่านฉบับเต็ม "ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560