<h2>Indian Creek ดินแดนสุดแสนพิเศษ ซึ่งเป็นที่พำนักส่วนใหญ่ของมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยแบบสุดๆ และบุคคลในสนามแข่ง Super Bowl และเป็นที่พักใจใหม่ใน Florida ของคู่รัก “Javanka”</h2>
<figure><img class="wp-image-50005 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/ที่พักใจใหม่ใน-Florida-ของ-“Javanka”-03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> คู่รัก “Javanka”</figcaption></figure>

Jared Kushner และ Ivanka Trump โบกมืออำลาจาก Washington, D.C. ในเดือนมกราคม หากแต่ทั้งคู่กำลังจะลงหลักปักฐานในชุมชนที่มีระดับมากกว่านั้น ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาสามีภรรยาคู่นี้ปิดข้อตกลงเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ Indian Creek ชุมชนที่พักอาศัยบนเกาะสำหรับผู้มีฐานะใน Miami-Dade County รัฐ Florida ด้วยสนนราคา 32.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จำนวนประชากรบนเกาะตามที่มีการบันทึกไว้ครั้งล่าสุดอยู่ที่ 86 คน และมีอย่างน้อย 5 คนเป็นเศรษฐีพันล้าน

ครอบครัว Kushner ซื้ออสังหาริมทรัพย์รายการนี้ต่อมาจากนักร้องชาวสเปนอย่าง Julio Iglesias แหล่งข่าวที่มีความคุ้นเคยกับชุมชนบนเกาะให้สัมภาษณ์กับ Forbes ว่า Iglesias ยังคงเป็นเจ้าของที่ดินอีกหลายผืนบนเกาะ ดูเหมือนว่าเงินตราจะมีอำนาจเหนือการเมืองในปี 2015 Iglesias ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 77 ปี เคยเรียกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 45 คนนี้ว่า “ตัวตลก” เนื่องจาก Trump มักชอบแสดงความคิดเห็นในเชิงต่อต้านผู้อพยพ

แฟนพันธุ์แท้หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์อาจคาดหวังที่จะเห็นทั้งคู่ได้รับการต้อนรับอันแสนเย็นชาจากเพื่อนบ้านผู้มั่งคั่งรายอื่นๆ ที่ Indian Creek ตามข้อมูลจาก New York Post คู่รัก Javanka “ไม่จำเป็นต้องยื่นใบสมัคร” เข้าสโมสรส่วนตัวบนเกาะ ความจริงแล้วบางทีทั้ง Jared และ Ivanka อาจจะเข้ากับบรรดาเพื่อนบ้านใหม่ผู้มีฐานะและมีชื่อเสียงได้เป็นอย่างดี มีรายงานว่าราว 79% ของคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งบนเกาะทั้งหมด 53 รายลงคะแนนให้ Trump

<figure><img class="wp-image-49983 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Indian-Creek-01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> เกาะ Indian Creek</figcaption></figure>

เจ้าของใหม่อีกรายเป็นชายที่บิดาของ Ivanka ชอบพอมาช้านาน Tom Brady และสุดยอดนางแบบอย่าง Gisele Bündchen ผู้เป็นภรรยาได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคา 17 ล้านเหรียญที่ Indian Creek เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

เพื่อนบ้านใหม่ของ Jared และ Ivanka ยังมีใครอีกบ้าง เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมอันเข้มข้นระหว่างความมั่งคั่งกับความมีอิทธิพล นับจากนักลงทุนผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่าง Carl Icahn ไปจนถึงเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์

&nbsp;
<h2 style="text-align: center;">-เรามาทำความรู้จักกับบรรดามหาเศรษฐีพันล้านเพื่อนบ้านใหม่บางส่วนของคู่รัก “Javanka” บนเกาะ Indian Creek สุดแสนพิเศษแห่งนี้กัน-</h2>
&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-49989" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Sheikh-Tamim-bin-Hamad-Al-Thani.jpg" alt="" width="400" height="400" />

Sheikh Tamim bin Hamad Al Thani

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณ: 49.9 ล้านเหรียญ

เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์พระชนมายุ 40 พรรษาทรงซื้อแมนชั่นที่ Indian Creek ด้วยสนนราคา 49.9 ล้านเหรียญในปี 2019 แหล่งข่าวรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า เคยพบเห็นพระองค์บนเกาะหลายครั้ง

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-49990" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Edward-Lampert.jpg" alt="" width="400" height="400" />

Edward Lampert

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณ: 41.1 ล้านเหรียญ

Lampert ซึ่งมีทรัพย์สินอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญโดยประมาณ เขารับตำแหน่งซีอีโอของ Sears Holdings (Sears, Kmart, Kenmore) ในปี 2013 การล่มสลายของบริษัทก่อให้เกิดกระแสต่อต้านวิธีการบริหารงานของเขา และเกิดการตั้งคำถามว่า เขาได้รับผลประโยชน์จากการตกต่ำของบริษัทใช่หรือไม่ (ผู้บริหารบริษัทของ Lampert กล่าวว่า พวกตนทำทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้อง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-49992" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Robert-Diener.jpg" alt="" width="400" height="400" />

Robert Diener

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณ: 33.1 ล้านเหรียญ

Diener ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Hotels.com ได้ขายหุ้นในบริษัทไปในปี 2003 ผู้หลงใหลการเล่นไคต์เซิร์ฟ สโนว์บอร์ด และไตรกีฬาอย่าง Diener น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับการแข่งขันกีฬาอย่างจริงจังเมื่อ Tom Brady ย้ายมาพำนักบนเกาะแห่งนี้

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-49995" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Carl-Icahn.jpg" alt="" width="400" height="400" />

Carl Icahn

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณ: 25.4 ล้านเหรียญ

หนึ่งในนักเจรจาต่อรองที่ประสบความสำาเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wall Street อย่าง Icahn มีความเกี่ยวพันกับ Donald Trump หลายต่อหลายครั้ง ในปี 2014 เขาช่วยนำกาสิโน Taj Mahal ใน Atlantic City ของอดีตประธานาธิบดีพ้นจากภาวะล้มละลาย และขายต่อให้กับ Hard Rock International ในอีก 3 ปีต่อมาในราคาที่มีรายงานว่า ขาดทุนถึง 100 ล้านเหรียญ

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-49996" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Jaime-Gilinski-Bacal.jpg" alt="" width="400" height="400" />

Jaime Gilinski Bacal

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์โดยประมาณ: 24.9 ล้านเหรียญ

เศรษฐีพันล้านซึ่งพำนักอยู่ใน London และเป็นผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในลาตินอเมริกา มีบ้านหลังที่ 2 บนเกาะ Indian Creek แห่งนี้ ปัจจุบัน Bacal กำลังพัฒนาที่ดินซึ่งเคยเป็นฐานทัพของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่อยู่ติดกับ Panama Canal โดยครั้งหนึ่ง Forbes เคยนิยามโครงการนี้ว่าเป็น “โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บ้าบิ่นที่สุดในโลก”

&nbsp;

เรื่อง: MEET THE NEIGHBORS โดย: NOAH KIRSCH เรียบเรียง: ริศา
ภาพ: ANDREW HARNIK/AP. FEDERICO WINER (ภาพเกาะ หน้า 16-17)

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/hyatt-hotels-corporation-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%95.html">HYATT HOTELS CORPORATION ผู้ให้บริการรีสอร์ตหรูแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/people/moreloop-%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81-%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%b4.html">MORELOOP สตาร์ทอัพรักษ์โลก บทพิสูจน์ธุรกิจผ้า “ส่วนเกิน” บนแนวทาง CIRCULAR ECONOMY</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8b%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8cbambam.html">นักร้องซูเปอร์สตาร์เกาหลี “กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” กับเส้นทางศิลปินเดี่ยว BAMBAM X ABYSS และ GOT7FOREVER</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/2Tv7p0e">คลิกอ่าน "ที่พักใจใหม่ใน Florida ของคู่รัก Javanka" ฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-47783 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

เจาะลึก “Indian Creek” ดินแดนสุดแสนพิเศษ ที่พักใจใหม่ใน Florida ของคู่รัก “Javanka”

<h2>การทำงานร่วมกันของพ่อตา-ลูกเขย Donald Trump และ Jared Kushner มีความแตกต่างในลักษณะนิสัย แต่กลับจับคู่ได้ลงตัวเพราะประวัติชีวิตที่คล้ายคลึงกัน</h2>
สไตล์ของ Jared คือ ทุกอย่างต้องควบคุมได้ รักษาภาพลักษณ์ และใจเย็น ซึ่งต่างจากพ่อตาของเขาอย่างสิ้นเชิงยกตัวอย่างเช่น การส่งข้อความผ่าน Twitter ที่ Trump มักจะโพสต์ข้อความแบบห่ามๆ บ่อยครั้ง ขณะที่ Kushner มีบัญชี Twitter มาตั้งแต่ปี 2009 แต่ไม่เคยโพสต์ข้อความอะไรเลย

ออฟฟิศของ Trump โอ่อ่าและเต็มไปด้วยเครื่องประดับแสดงความสำเร็จ แต่ออฟฟิศที่ Kushner Companies กลับดูเรียบง่ายและขรึม บนผนังของห้องประชุมมีภาพประดับอยู่เพียงภาพเดียวคือภาพปู่ย่าของเขา ซึ่งเป็นชาวยิวที่หนีรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ และอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d819f1c17b5e9fb27174d6a7f1651e09.png" alt="" width="340" height="425" /><figcaption> นอกจากจะรักหญิงสาวคนเดียวกันแล้ว Kushner และ Trump พ่อตา-ลูกเขย ยังกลมเกลียวกันด้วยความสนใจเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์</figcaption></figure>

เราพบว่าออฟฟิศของ Kushner กับ Trump มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่สองอย่าง คือ คอลัมน์ข่าวความสำเร็จของพวกเขาในการทำดีลอสังหาริมทรัพย์ และรูปภาพของ Ivanka Trump ที่ใส่กรอบประดับไว้ ถ้าคุณจะมองหาอะไรสักอย่างที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่มั่นคงของ Kushner หรือ Trump ก็คงจะสรุปได้คำเดียวสั้นๆ ว่า ครอบครัว

“การที่ Jared กับพ่อของฉันเข้ากันได้อย่างดีในช่วงแรกๆ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉัน กับอีกส่วนก็คือ อะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันระหว่าง Jared ในฐานะที่เป็นนักพัฒนาอสังหาฯ และพ่อของฉันในช่วงต้นๆ ของชีวิตการทำงาน” Ivanka กล่าว

ทั้ง Kushner และ Trump ต่างก็โตขึ้นมานอกเขต Manhattan โดย Kushner โตมาจาก New Jersey ในขณะที่ Trump โตมาในย่าน Queens และต่างก็เป็นทายาทบริษัทอสังหาฯที่ยิ่งใหญ่

Jared โตมากับพี่น้องสามคนในครอบครัวชาวยิวที่เคร่งศาสนาในแถบ Livingston ของรัฐ New Jersey เขาเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาที่ Harvard และต่อจากนั้นก็ไปต่อหลักสูตร Joint J.D. และ MBA ที่ New York University

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/320be7fad4e76d6dcb9502ce3fb84528.png" alt="" width="680" height="382" /><figcaption> (จากซ้ายไปขวา) Jared ลูกชายคนโตของตระกูล, Josh ลูกชายคนรอง และ Charles Kushner บิดาผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ Kushner Companies (Photo Credit: Forbes)</figcaption></figure>

Charles Kushner พ่อของ Jared เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรคเดโมแครท เขาเคยบริจาคเงินให้เดโมแครท รวมถึง 1.09 ล้านเหรียญ ซึ่ง Jared ก็เดินตามรอยเท้าด้วยการบริจาคเงินให้พรรคเดโมแครทรวม 71,000 เหรียญ

แต่ชีวิตของ Jared กลับตาลปัตรในช่วงเรียนปริญญาโท เมื่อ Charles ให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดในข้อหาหลบเลี่ยงภาษี ให้เงินสนับสนุนการหาเสียงโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ร้ายพยาน ซึ่งกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัว

ในฐานะลูกชายคนหัวปี Jared ซึ่งตอนนั้นเพิ่งอายุ 24 ปีเท่านั้นต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อ เขาไปหาแม่เกือบทุกวันและบินไป Alabama เพื่อเยี่ยมพ่อของเขาในคุกเกือบทุกวันหยุดสุดสัปดาห์

“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นสอนผมให้รู้จักปลงและไม่ไปมัวห่วงกังวลอยู่กับสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้” Kushner บอก “ผมจะพุ่งความสนใจไปที่การทำส่วนของผมให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ผมอยากเห็น ผมก็จะใช้ความพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไป”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e64b14748c5b1a37a71d22f9cd79d8f6.png" alt="" width="340" height="411" /><figcaption> Jared กับหนังสือพิมพ์ New York Observer ธุรกิจสื่อในมือของเขา (Photo Credit: Vanity Fair)</figcaption></figure>

เขาใช้หลักคิดนี้ในการบริหารธุรกิจด้วยเช่นกัน เพื่อเริ่มต้นใหม่เขามุ่งเข็มไปที่ Manhattan เหมือนกับที่ Trump ทำเมื่อ 40 ปีก่อน เขาเลือกเข้าตลาดอสังหาฯ ที่มีการแข่งขันรุนแรงที่สุดในอเมริกาโดยทำดีลใหญ่ดีลแรกในฐานะซีอีโอของ Kushner Companies ด้วยการเข้าซื้อตึก 666 Fifth Avenue ในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.8 พันล้านเหรียญ เมื่อปลายปี 2007 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ซึ่งพอเกิดวิกฤตขึ้น ค่าเช่าก็ตก คนเช่าก็หาย เงินทุนก็หด เพื่อให้ธุรกิจยังยืนอยู่ได้ เขาจำเป็นต้องขายพื้นที่ของอาคารไปถึง 49% ให้กับ Carlyle Group และนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ในราคา 525 ล้านเหรียญ และต้องขอปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ทุกก้อนเพื่อแลกกับการต่อลมหายใจทางการเงินจนสามารถประคองตัวผ่านไปได้ ส่วนนี้ Jared ต่างกับ Trump ซึ่งใช้วิธีล้มละลายธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1990

<iframe id="instagram-embed-0" class="instagram-media instagram-media-rendered" src="https://www.instagram.com/p/BT_hkIVFqxZ/embed/?cr=1&amp;v=7&amp;wp=437&amp;rd=http%3A%2F%2Fwww.forbesthailand.com&amp;rp=%2Fworld-detail.php%3Fdid%3D1608#%7B%22ci%22%3A0%2C%22os%22%3A2038.0500000028405%7D" height="554" frameborder="0" scrolling="no" allowfullscreen="allowfullscreen" data-instgrm-payload-id="instagram-media-payload-0" data-mce-fragment="1"></iframe>

นอกเหนือจากการที่อยู่ดีๆ คนที่แทบไม่เคยออกสื่อเลยอย่างเขากลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลสูงในการเมืองสหรัฐฯแล้ว เหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ Jared Kushner เป็นที่สนใจก็คือความย้อนแย้งของตัวตนและสิ่งที่แสดงออก

Jared นำธรรมเนียมการทำธุรกิจอย่างเปิดเผยแบบ Silicon Valley มาใช้กับแคมเปญหาเสียงที่จะสัญญาจะปิดพรมแดนและกีดกันศาสนา เขายังเป็นลูกหลานชาวยิวอพยพหนีสงครามที่สนับสนุนพรรคเดโมแครท แต่กลับเป็นแกนนำหาเสียงให้ตัวแทนพรรครีพับลิกันที่เสนอนโยบายกีดกันผู้อพยพ มีความใกล้ชิดกับกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดและกลุ่ม KKK นอกจากนี้ Jared ยังเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อแต่กลับทำแคมเปญแบบสร้างกระแสใส่สีตีข่าว

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f45342d22511bc8fe952297bea12c553.png" alt="" width="680" height="513" /><figcaption> Kushner เข้าหาพ่อตา Donald Trump หลังจากแคมเปญหาเสียงประสบความสำเร็จ สามารถดึงดูดฝูงชนจำนวนมหาศาลให้มารับฟังและสนับสนุน</figcaption></figure>

Kushner ตอบคำถามเกี่ยวกับความย้อนแย้งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นด้วยคำตอบเดียว คือความศรัทธาอย่างมั่นคงที่เขามีต่อ Trump ซึ่งเขาบอกว่ามาจาก “ข้อมูล” ที่เขาได้รู้เห็นมาเกี่ยวกับตัวตนของ Trump และระยะเวลากว่าสิบปีที่เกี่ยวดองกัน

เขาพูดถึงมุมมองของ Trump ที่มีต่อโลกว่า “ผมไม่เห็นว่ามันน่าจะเป็นประเด็นรุนแรงตรงไหน กับการที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะบอกว่าจุดยืนของเขาคือ ผลประโยชน์ของอเมริกาต้องมาก่อนและเขาเลือกยืนข้างแนวคิดชาตินิยมแทนที่จะเป็นสากลนิยม”

Jared ยังแก้ต่างให้ Trump ด้วยว่าเรื่องที่ Trump ถูกโจมตีหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกขยายความหรือไม่เป็นความจริง โดยก่อนหน้านี้ Dana Schwartz ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ Observer ที่ Kushner เป็นเจ้าของ ได้เขียนบทความเรียกร้องให้นายของเธอแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับความเชื่อทางศาสนาและครอบครัว หลัง Trump โพสต์รูปอื้อฉาวพาดพิงชาวยิว

แต่ Kushner ก็ยังคงปกป้อง Trump ด้วยเหตุผลว่าเขารู้จัก Trump ดี และกล่าวปฏิเสธว่า Trump ไม่สนับสนุนกลุ่มชาตินิยมผิวขาวขวาจัด KKK ตามที่เป็นข่าว โดยได้ปฏิเสธไปแล้วถึง 25 ครั้ง ทั้งยังยกคำพูดของ Ronald Reagan ขึ้นมาอ้างว่า “เพียงเพราะพวกเขาสนับสนุนผม ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนเขาด้วยหรอกนะ”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/8c83af5fb3a88332dbbdc1559811b7f9.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (Photo Credit: The Washington Post)</figcaption></figure>

ดูๆ ไปแล้ว Kushner ไม่น่าจะรับตำแหน่งที่เป็นทางการในทำเนียบขาวภายใต้การบริหารราชการของ Trump ได้ เนื่องจากมีการตรากฎหมายป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวก

มีรายงานข่าวว่าทางรัฐบาลกำลังหาแง่มุมทางกฎหมายที่อาจเปิดช่องให้ Kushner เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล แต่ทั้งหมดนี้ก็อาจจะไม่ได้มีความหมายที่สลักสำคัญอะไรนัก เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีขอคำปรึกษาจากใครก็ตามที่เขาอยากจะปรึกษาด้วยแม้ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นทางการ

“ผมเชื่อว่าเขา (Kushner) จะมีบทบาทสำคัญอยู่ในทำเนียบขาวไปจนจบเทอมการเป็นประธานาธิบดี (ของ Trump) เลยล่ะ” Rupert Murdoch มหาเศรษฐีเจ้าพ่อสื่อใหญ่อย่าง News Corp กล่าว และเสริมว่า “สำหรับในอีกสี่ หรือ แปดปีข้างหน้า เขาจะเป็นคนที่เสียงดังมาก บางทีอาจจะเสียงดังที่สุดถัดจากรองประธานาธิบดีเลยทีเดียว”
<ul>
 	<li>อ่านบทความก่อนหน้า <a href="https://forbesthailand.com/world/america/jared-kushner-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88.html">Jared Kushner ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ ตอน 1 : อาวุธลับเบื้องหลัง Trump</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://goo.gl/5Vjh6s">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/5Vjh6s"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/600d1842ba62b7ea65c2ad33b3022a0c.png" alt="" /></a>

Jared Kushner ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ (2) : กะเทาะเปลือกชายเบื้องหลัง Trump

<h2>นี่คือเบื้องหลังของอาวุธลับในแคมเปญหาเสียงของ Donald Trump ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเขาขึ้นสู่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ แบบหักปากกาเซียน Jared Kushner ลูกเขยคนเก่งคืออาวุธลับนั้นผู้อาศัยประสบการณ์จากโลกธุรกิจสตาร์ทอัพผสานกับโซเชียลมีเดียมาช่วยพ่อตาหาเสียง</h2>
หลังการเลือกตั้งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ กองทัพนักข่าว กลุ่มผู้ชุมนุม หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวก็ยังคลาคล่ำกันอยู่รอบ Trump Tower อาคารสูง 58 ชั้นบนถนน Fifth Avenue กลางมหานคร New York ในขณะที่สูงขึ้นไปบนชั้น 26 ว่าที่ประธานาธิบดีกำลังเลือกเฟ้นคนที่จะมาร่วมคณะรัฐมนตรีของเขา

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/346572a12ab980e93335a47e0d3d6513.png" alt="" width="340" height="595" /><figcaption> อาคาร Trump Tower ใน New York (Photo Credit: Fast Company)</figcaption></figure>

บุคคลที่เชื่อกันว่าอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้ทำงานอยู่ที่ Trump Tower แต่อยู่ที่ตึกระฟ้า 666 Fifth Avenue ของ Jared Kushner ซึ่งเขาใช้เป็นสำนักงาน Kushner Companies ลูกเขย Trump วัย 35 ปีคนนี้แทบไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อที่ไหนเลย การที่เขาให้สัมภาษณ์กับ Forbes ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดปากพูดกับสื่อเกี่ยวกับบทบาทของเขาในแคมเปญหาเสียงของ Trump

จากการที่เราได้สัมภาษณ์เจ้าตัวและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า เศรษฐีหนุ่มที่เงียบขรึมและลึกลับผู้นี้คือผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ Trump สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสหรัฐฯ สำเร็จ ทั้งที่ก่อนหน้านี้สถานะของเขาถูกมองว่าเป็นแค่สามีของ Ivanka Trump

แม้ว่าเขาจะไม่มีทรัพยากรอะไรเลยในตอนเริ่มทำแคมเปญ และงบก็น้อยมากๆ แต่การที่ Kushner เลือกบริหารแคมเปญการหาเสียงของ Trump ในแบบเดียวกับการบริหารกิจการสตาร์ทอัพใน Silicon Valley ก็ทำให้เขาสามารถดึงคะแนนเสียงของรัฐสำคัญๆ ที่เป็นตัวพลิกเกมเลือกตั้งได้สำเร็จ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a8ce9f3c56201b28537d6015b203ab3.png" alt="" width="680" height="409" /><figcaption> อาคาร 666 Fifth Avenue เมือง New York (Photo Credit: Kushner Companies)</figcaption></figure>

ถึงแม้ว่าประธานาธิบดี Obama อาจจะประสบความสำเร็จในการจัดระบบจูงใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง แต่บริบททางสังคมและการเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งนานถึงแปดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของ โซเชียลมีเดีย

ในขณะที่ Clinton หยิบยืมสูตรสำเร็จบางด้านของ Obama มาใช้ แต่แคมเปญของเธอก็ยังยึดโยงอยู่กับสื่อรูปแบบดั้งเดิม แต่แคมเปญของ Trump มุ่งเน้นไปที่การจัดทำข้อความแบบเจาะจงที่คาดว่าจะโดนใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงแต่ละกลุ่ม การปลุกปั่นกระแส รวมถึงการนำเทคโนโลยี machine learning มาใช้

เมื่อถึงตอนนี้ต้องถือว่ายุคของการหาเสียงแบบดั้งเดิมได้ผ่านพ้นไปแล้ว และ Kushner คือบุคคลที่มีบทบาทสำคัญรองจาก Trump ในการเปลี่ยนรูปแบบและหน้าตาของการหาเสียงสำหรับปัจจุบันและอนาคต

การตัดสินใจเข้ามาช่วย Trump หาเสียงของ Kushner นั้น แทบจะเรียกได้ว่าต้องนับหนึ่งใหม่ ก่อนหน้านั้นออฟฟิศสำหรับทำแคมเปญของ Trump ไม่มีอุปกรณ์อะไรแม้แต่โต๊ะเก้าอี้ และมีคนทำงานแค่ 2 คน คือ Corey Lewandowski ผู้จัดการแคมเปญ และ Hope Hicks โฆษกของ Trump โดยดำเนินกลยุทธ์แบบง่ายๆ คือหาวิธีออกแถลงการณ์ของ Trump ให้เป็นพาดหัวข่าวในสื่อให้มากที่สุด เสริมด้วยการลงพื้นที่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งและหาเสียงในแบบดั้งเดิม

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3bff383e863aa71ba2e1bd9e33616d1d.png" alt="" width="680" height="352" /><figcaption> (ซ้าย) Corey Lewandowski ผู้จัดการแคมเปญหาเสียง และ (ขวา) Hope Hicks โฆษกของ Donald Trump</figcaption></figure>

Kushner ได้เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานให้จริงจังมากขึ้น โดยนอกจากจะเป็นผู้รวบรวมทีมร่างปาฐกถาและนโยบายแล้วเขายังดูแลกำหนดการของ Trump และบริหารจัดการด้านการเงินในการหาเสียงให้คุ้มค่าเหมือนกับการทำธุรกิจ เขาและ Trump ยังเห็นตรงกันด้วยว่า แคมเปญการหาเสียงที่ผ่านมาใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียน้อยเกินไป ดังนั้น Trump จึงขอให้ Kushner ช่วยดูแลบัญชี Facebook ให้เขา

ในแวดวงคนใกล้ตัวของ Trump ต้องถือว่า Kushner เหมาะที่สุดแล้วที่จะมารับหน้าที่ทำแคมเปญที่ทันสมัย เพราะนอกจากเขาจะมีภูมิหลังเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับ Trump แล้ว เขายังกระจายการลงทุนออกไปยังธุรกิจอื่นๆ ด้วย

สิ่งนี้ก่อให้เกิดคุณสมบัติสำคัญนั่นคือ เขารู้จักผู้คนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ในภารกิจนี้ เช่น Peter Thiel มหาเศรษฐีอเมริกัน Jack Ma แห่ง Alibaba รวมถึง Josh Kushner น้องชายของเขา ซึ่งเป็นนักลงทุนประเภท venture capital ชื่อดัง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7908f78e99235690fb61b4c0f5d3407d.png" alt="" width="680" height="293" /><figcaption> (ซ้าย) Peter Thiel มหาเศรษฐีอเมริกัน หุ้นส่วนของ Founder Funds (กลาง) Jack Ma แห่ง Alibaba และ (ขวา) Josh Kushner น้องชายของ Jared นักลงทุน Venture Capital และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทประกัน Oscar Health</figcaption></figure>

Jared สามารถต่อสายหาพรรคพวกใน Silicon Valley เพื่อขอคำแนะนำและสายสัมพันธ์จากนักการตลาดดิจิทัลแถวหน้าของโลก เพื่อเจาะให้ถึงเป้าหมายระดับไมโครใน Facebook ในที่สุดความพยายามของเขาบวกกับการส่งข้อความแบบขวานผ่าซากของ Trump ก็ประสบความสำเร็จ ทีมหาเสียงเริ่มมีรายได้มากขึ้น และจำนวนคนชูป้ายหาเสียงก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขามาถูกทาง

ภายในเวลาแค่สามสัปดาห์ Kushner ได้แปลงอาคารหลังหนึ่งนอกเมือง San Antonio ให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่มีเจ้าหน้าที่ทำงานมากถึง 100 คน เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับรวมศูนย์การกำหนดกิจกรรมระดมทุน การออกแบบข้อความ และกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

Kushner จัดรูปแบบการดำเนินงานโดยมุ่งที่จะสร้างผลตอบแทนจากเงินทุกเหรียญที่ใช้ไปให้ได้มากที่สุด “เราทำเหมือนเราอยู่ในโลกธุรกิจ เราถามตัวเองว่ารัฐไหนที่จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงที่สุดในการเลือกตั้งขั้น electoral vote” Kushner กล่าว “คำถามของผมก็คือ เราจะสื่อข้อความจาก Trump ไปถึงผู้บริโภคคนนั้นๆ โดยใช้ต้นทุนต่ำที่สุดได้อย่างไร” ซึ่งปรากฏว่าในข้อมูลรายงานต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (FEC Filing) พบว่า จนถึงกลางเดือนตุลาคม 2016 Trump มีการใช้งบหาเสียงไปแค่ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ Clinton ใช้

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7133bec2376d8df5686c978db9e41b61.png" alt="" width="680" height="473" /><figcaption> การหาเสียงของ Donald Trump ที่เมือง Springfield รัฐ Illinois ซึ่งดึงดูดผู้ฟังได้นับหมื่นคน (Photo Credit: ผู้ใช้ Twitter บัญชี @TrumpedAmerica)</figcaption></figure>

การที่ Kushner ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการหาเสียงแบบเดิมๆ มาก่อนเลยกลับกลายมาเป็นข้อได้เปรียบเพราะมันทำให้เขาสามารถมองการเมืองในมุมใหม่

ทั้งสื่อโทรทัศน์และการโฆษณาบนสื่อออนไลน์ต่างก็มีบทบาทลดลง ขณะที่ Twitter และ Facebook กลายมาเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนแคมเปญของ Trump มันช่วยกำหนดเป้าหมายกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมาเป็นผู้สนับสนุน ตรวจสอบข้อมูลฐานเสียง และวัดการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมได้แบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม Kushner ก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ไปเสียทั้งหมด เพราะพรรครีพับลิกันมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว สิ่งที่เขาทำคือการนำเครื่องมือใหม่มาใช้ เช่น Deep Root ช่วยให้ทีมสามารถระบุได้ว่าควรยกนโนบายไหนมาโฆษณาในรายการโทรทัศน์ใดที่จะตรงใจกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น เขาเลือกลงโฆษณาในซีรีส์ NCIS สำหรับกลุ่มที่ต่อต้านนโยบาย ObamaCare หรือโฆษณาในซีรีส์ The Walking Dead สำหรับกลุ่มที่เป็นห่วงเรื่องผู้อพยพ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/426f484858dfc2cc50f4edc09ef103fa.png" alt="" width="680" height="367" /><figcaption> หน้าเพจ Facebook อย่างเป็นทางการของ Donald Trump ปัจจุบันมีผู้ติดตามเกือบ 22 ล้านคน</figcaption></figure>

สำหรับการระดมทุนนั้น พวกเขาหันมาใช้เทคนิค machine learning โดยให้บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการตลาดออนไลน์แข่งขันกันสร้างผลงาน โฆษณาชิ้นไหนที่ไม่มีประสิทธิภาพก็จะถูกถอนออก ขณะที่อันไหนใช้การได้ดีก็จะถูกนำไปใช้เพิ่มและมีการปรับรูปแบบให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงมากถึงวันละกว่า 100,000 ชิ้น ซึ่งทำให้ Trump สามารถระดมทุนได้ถึงกว่า 250 ล้านเหรียญภายในระยะเวลาแค่สี่เดือน และเม็ดเงินส่วนใหญ่ก็มาจากผู้บริจาครายเล็กๆ ทั้งนั้น

เมื่อถึงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ปรากฏว่าระบบที่ Kushner พัฒนาขึ้นมาทำให้ทราบข้อมูลแบบนาทีต่อนาที ช่วยให้แคมเปญหาเสียงของ Trump มีข้อมูลเชิงลึกว่าควรจะเทงบหาเสียงไปที่ไหนได้อย่างทันท่วงที

หากใครยังไม่เข้าใจว่า Hillary Clinton ซึ่งชนะในขั้น popular vote กลับมาพ่ายแพ้ในขั้น electoral vote ได้อย่างไร เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะเห็นภาพที่ชัดขึ้น นั่นคือภาพใหญ่ของแคมเปญหาเสียงคือสภาวะของความกลัวและความโกรธ ปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะก็คือ ข้อมูลและการบริหารในแบบของเจ้าของธุรกิจ
<ul>
 	<li>อ่านต่อบทความ <a href="https://forbesthailand.com/world/america/jared-kushner-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%8C.html">Jared Kushner ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ ตอน 2</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://goo.gl/5Vjh6s">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560</a>
<a href="https://goo.gl/5Vjh6s"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/600d1842ba62b7ea65c2ad33b3022a0c.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events