Google ขายซอฟต์แวร์คลาวด์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
 Sundar Pichai ซีอีโอ Alphabet และ Google
 Sundar Pichai ซีอีโอ Alphabet และ Google
ข้อตกลงมูลค่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการเปิดเผยรายละเอียดตาม
กฎหมายเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร (FOIA) แสดงให้เห็นว่า Google ร่วมกับ Carahsoft ส่งมอบเครื่องมือระบบคลาวด์และ AI ของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีให้กับ United States Northern Command (USNORTHCOM) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบัญชาการและควบคุมส่วนกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของชาติและการทหารของกระทรวงกลาโหม (DOD)
 
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวมีกำหนดการเริ่มงานในเดือนพฤษภาคม 2020 และคงอยู่เป็นระยะเวลา 1 ปี และขณะนี้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ สัญญายังระบุถึงวิธีใช้ซอฟต์แวร์ของ Google ในการรวบรวมข้อมูลของกระทรวงกลาโหม “เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินอื่นๆ” ด้วยการ "บูรณาการ รวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญ”
ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับ MIT Lincoln Laboratory ในการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางทหารที่มีทักษะที่เกี่ยวข้อง หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทต่างๆ
 “เพื่อเข้าถึงชุดข้อมูลและอัลกอริทึมที่มีอยู่ และคาดการณ์การขาดแคลนห่วงโซ่อุปทานในอนาคต"
ก่อนหน้านี้ 
Forbes เปิดเผยว่าบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับทุนจาก GV (เดิมคือ Google Ventures ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนภายใต้กลุ่ม Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google) กำลังทำงานตรวจสอบข้อมูลภูมิสารสนเทศทุกรูปแบบสำหรับกระทรวงกลาโหม โดยการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางดาวเทียม วิดีโอจากโดรน และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งจากสมาร์ทโฟน
 
มากกว่า สัญญาฉบับนี้ยังอนุญาตให้ใช้เครื่องมือของ Google ได้อย่างกว้างขวาง โดยผสานรวม 
"กับหน่วยงานและองค์กรภายใต้กระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลกลาง รัฐ ท้องถิ่น เอกชน และระหว่างประเทศ" (Google ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะงานเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้หารือเกี่ยวกับสัญญาโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากลูกค้า)
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีของ Google จะถูกใช้เพื่อประเด็นอื่นๆ นอกจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในที่นี้ 
Jack Poulson อดีตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลของ Google ที่ลาออกเพราะข้อกังวลด้านจริยธรรม ยังคงมีความกังวลว่าสัญญานี้หากไม่มีข้อกำหนดเพิ่มเติม อาจนำไปใช้ด้วยวิธีอื่นได้ โดยเขาชี้ไปที่กรณีการใช้งานที่เป็นไปได้สำหรับ 
Joint Task Force North (JTF-North) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ USNORTHCOM ซึ่งก่อนหน้านี้เคยช่วยสนับสนุนการป้องกันชายแดนของอเมริกา สงครามกับยาเสพติด และการต่อต้านการก่อการร้าย
ในที่นี้ เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ในเดือนมิถุนายน 2018 Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้ให้คำมั่นสัญญาบนบล็อก 
‘AI at Google: our principles’ ว่า Google จะหลีกเลี่ยงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้าง “อาวุธหรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเสียหายโดยตรงแก่ประชาชน”
แต่ในช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัทกลับต้องเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องจากพนักงานกว่า 3 พันคน ที่คัดค้านความร่วมมือของบริษัทกับกระทรวงกลาโหมใน
โครงการ Maven ซึ่งเป็นการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์รูปถ่ายจากโดรน เพื่อระบุตัวตนของคนและวัตถุได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยโครงการนี้มีมูลค่าราว 250 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับ Google ที่ 15 ล้านเหรียญ เป็นระยะเวลา 18 เดือนด้วยกัน
โดยในจดหมายเปิดผนึกของพนักงาน Google มีข้อเรียกร้องหลักๆ อยู่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง ยกเลิกสัญญากับกระทรวงกลาโหมในโครงการ Mavn สอง ให้คำมั่นว่าจะไม่พัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร และจะไม่อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร และสามสัญญาว่าจะไม่เข้าร่วมพัฒนาหรือสนับสนุน ค้า หรือ ผลิต อาวุธอัตโนมัติและสนับสนุนการคว่ำบาตรอาวุธอัตโนมัติ 
“พวกเราเชื่อว่า Google ไม่ควรจะกลายเป็นธุรกิจแห่งสงคราม”
หลังจากที่มีการเรียกร้องและลาออกของพนักงาน Google ทางผู้บริหารได้ตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวโดยการ ไม่ต่อสัญญากับโครงการ Maven เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงในปี 2019
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Google Sold $2.5 Million In AI To The Pentagon For Its Covid-19 Recovery เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: 
Google ไม่ใช้ AI สร้างอาวุธ แต่กลับเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพด้านสงคราม