Christian Alejandro Asmar และ Lauren Taylor Wolfe นายทุนใส่ใจสิ่งแวดล้อม หยิบยืมกลยุทธ์การลงทุนจากหนังสือของ Buffett - Forbes Thailand

Christian Alejandro Asmar และ Lauren Taylor Wolfe นายทุนใส่ใจสิ่งแวดล้อม หยิบยืมกลยุทธ์การลงทุนจากหนังสือของ Buffett

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Aug 2021 | 07:20 AM
READ 3574

Warren Buffett เจ้าของฉายาปราชญ์การลงทุนแห่ง Omaha แยกกลยุทธ์การลงทุนออกจากการเรียกร้องในฐานะพลเมือง Impactive Capital ของ Lauren Taylor Wolfe และ Christian Alejandro Asmar หยิบยืมกลยุทธ์การลงทุนแบบ “ซื้อ-ถือเพื่อโตไปด้วยกัน” จากหนังสือของ Buffett มาใช้ หากแต่หุ้มปกด้วยความยั่งยืนและการเคลื่อนไหวเพื่อสังคม

Lauren Taylor Wolfe กล่าวว่า ความผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดของเธอจนถึงขณะนี้เกี่ยวกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์เกิดใหม่ก็คือความสำเร็จในการลงทุนครั้งหนึ่งของเธอมาถึงเร็วเกินไป Taylor Wolfe และ Christian Alejandro Asmar ผู้ก่อตั้ง Impactive Capital คาดหวังว่าการลงทุนทุกครั้งของตนจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรที่มีความร่วมมือกันอย่างจริงจังเป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งรวมถึงแผนงานสร้างสรรค์ระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่จะบันทึกลงในบทสรุปสาระสำคัญของบริษัท ในบริบทที่เพียงการซื้อกองทุนดัชนี S&P 500 ก็สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างงาม คนอย่าง Taylor Wolfe และ Asmar ถือเป็นบุคคลหายาก โดยเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลึกซึ้ง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าจากการเป็นเจ้าของบริษัทธรรมดาๆ เพียง 8-12 แห่งในคราวเดียวกัน ในเดือนมีนาคมบรรดานักเคลื่อนไหวต่างก็มองเห็นโอกาสทำเงินจาก Advanced Drainage Systems หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทใน Hilliard, Ohio ดิ่งลงเหลือเพียงครึ่งเดียวในระยะเวลาเพียง 1 เดือน Advanced Drainage เป็นบริษัทจัดการน้ำฝน (รายได้) มูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผลิตอุโมงค์ยักษ์ใต้ดินและท่อระบายน้ำที่ฝังใต้ท้องถนน บ้านเรือน ลานจอดรถ และสนามกอล์ฟ บริษัทใน Midwestern ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักแห่งนี้ไม่ได้โดดเด่นในฐานะสวรรค์สำหรับนักลงทุนผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  
  • กลยุทธ์การลงทุนจากหนังสือของ Buffett 
อย่างไรก็ตาม Taylor Wolfe ได้ค้นคว้าข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของท่อพลาสติกรีไซเคิลเปรียบเทียบกับท่อคอนกรีต รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ “สุดยอดผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม” ชนิดใหม่ของบริษัทอย่างท่อโพลีเอทิลนี ซึ่งมีพลาสติกรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบถึง 60% จะช่วยสร้างโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอย่าง JM Eagle และ Diamond Plastics ได้อย่างไร นี่เป็นจุดขายที่ Impactive นำเสนอกับทีมผู้บริหารในช่วงที่เข้าซื้อหุ้น ADS จำนวน 1 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่บริษัทกำลังเตรียมจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน และเว็บไซต์เกี่ยวกับ ESG อยู่นั้น ไวรัสโควิด-19 ได้ปลุกกระแสการสร้างบ้านให้เป็นที่นิยมส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของ ADS เป็นที่ต้องการมากขึ้น และภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนราคาหุ้น ADS ก็ปรับเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องยอมปล่อยหุ้นในครอบครองที่รักเหมือนลูกถ้าหากได้ราคาดี นี่เป็นกรอบการทำงานเชิงวิเคราะห์ที่หยิบยืมมาจาก Waren Buffett ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ทั้ง Taylor Wolfe และ Asmar ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจในการลงทุน Taylor Wolfe และ Asmar กำลังใช้เงินกองทุนที่นับวันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นนี้เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของนักเคลื่อนไหว โดยแทนที่การเผชิญหน้าด้วยความร่วมมือและใช้ความยั่งยืนเป็นแกนขับเคลื่อน บรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินต้องระลึกไว้ว่าการปฏิบัติตามหลัก ESG กำลังกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนสถาบันจะละเลยไม่ได้ อย่างไรก็ดี Impactive นั้นแตกต่างจากกองทุนเฮจด์ฟันด์ของนักเคลื่อนไหว “ผู้มุ่งร้าย” โดยหลีกเลี่ยงการต่อสู้และการข่มขู่ในฐานะตัวแทนของประชาชน ทั้งยังเลือกใช้วิธีการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเป็นครั้งคราว และการเกลี้ยกล่อมอยู่หลังฉากมากกว่า สารสำคัญของ Impactive ก็คือ ESG จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับธุรกิจได้ และ Impactive ให้สัญญาว่าจะไม่สละเรือถึงแม้ว่าตัวเลขรายได้ในรายงานรอบถัดไปจะต่ำกว่ามาตรฐานก็ตาม  
  • แผนการลงทุนฉบับ Taylor Wolfe และ Asmar
Taylor Wolfe และ Asmar ถือกรรมสิทธิ์เท่ากันใน Impactive โดย Taylor Wolfe วัย 42 ปี เป็นคนชอบเข้าสังคมและมีความสุขที่จะพบปะกับบรรดาผู้บริหารและนักลงทุนเพื่อประชาสัมพันธ์บริษัทของตนเอง ในขณะที่ Asmar วัย 38 ปี สะดวกใจมากกว่ากับการอยู่เบื้องหลังเพื่อทำหน้าที่คิดคำนวณตัวเลขที่มีความซับซ้อน ทั้งสองช่วยกันคิดค้นแผนกลยุทธ์การลงทุน 4 ขั้นขึ้นมา ขั้นแรกเป็นการคัดกรองเชิงคุณภาพ โดยพิจารณาเฉพาะธุรกิจศักยภาพสูงที่มีอยู่ ซึ่งมีทีมผู้บริหารแสนชาญฉลาดและมีอำนาจในการกำหนดราคาภายในกลุ่มอุตสาหกรรมของตน จากนั้นเช่นเดียวกันกับนักวิเคราะห์ที่ยึดถือแนวทางการลงทุนแบบ Graham & Dodd อย่างเหนียวแน่น พวกเขาจะวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนั้นกำลังซื้อขายอยู่ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์วัดต่างๆ เช่น กระแสเงินสดอิสระ อัตราส่วนผลตอบแทนของเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงานของบริษัท และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อส่วนผู้ถือหุ้น เกณฑ์อย่างที่ 3 ก็คือ การประเมินว่าธุรกิจนั้นวางแผนระยะยาวได้ดีเพียงใด และอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของธุรกิจนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ส่วนเกณฑ์อย่างสุดท้ายก็คือพิจารณาว่าการนำยุทธวิธีของนักเคลื่อนไหวมาใช้จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนให้กับธุรกิจได้หรือไม่
Lauren Taylor Wolfe และ Christian Alejandro Asmar ผู้ร่วมก่อตั้ง Impactive
ทั้งคู่จะทำการวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาก่อนที่จะยอมรับบริษัทนั้นเข้าสู่พอร์ตการลงทุนสุดพิเศษของตน Asmar กล่าวว่า ยังมีรายชื่อบริษัทอีกนับสิบแห่ง “ในห้องพักคอย” ระหว่างที่ทั้งคู่รอโอกาสเหมาะในการเข้าซื้อ หรือเมื่อมีความต้องการเติมพอร์ตที่ว่างลงหลังจากที่ขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่งออกไป บริษัทแรกๆ ที่ทั้งคู่เลือกลงทุนก็คือ Asbury Automotive ใน Duluth รัฐ Georgia ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (รายได้) มูลค่า 7.2 พันล้านเหรียญที่มีสาขากระจายอยู่ใน 9 รัฐ เนื่องจากกำไรจากการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ค่อนข้างต่ำ แผนกอะไหล่และบริการของบริษัทจึงเป็นตัวช่วยสร้างกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Ebitda) มากถึง 2 ใน 3 ส่วนแต่เมื่อ Impactive เริ่มวิเคราะห์รูปแบบธุรกิจของบริษัทกลับพบว่าอัตราการใช้ประโยชน์อยู่ที่เพียง 50% เท่านั้น บริษัทมีความสามารถให้บริการซ่อมเพิ่มได้อีกเท่าตัว แต่ปัญหาคือ ไม่สามารถจัดจ้างช่างซ่อมเครื่องยนต์ได้มากพอ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน Taylor Wolfe นำเสนอว่าที่พนักงานกลุ่มใหญ่ซึ่งตัวแทนจำหน่ายและอู่ซ่อมรถไม่นึกถึงเลย นั่นก็คือ ผู้หญิง มีช่างซ่อมเครื่องยนต์ที่เป็นผู้หญิงเพียงแค่ 2% ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะจับจ่ายมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญต่อปีในอุตสาหกรรมนี้ในฐานะผู้ใช้บริการก็ตาม ดังนั้น Impactive ผลักดันให้บริษัทจัดสวัสดิการลาคลอดแบบได้รับค่าจ้างให้กับช่างซ่อมเครื่องยนต์ เปลี่ยนตารางทำงานเป็น 4 วันต่อสัปดาห์ และจัดแบ่งกะการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยการเปลี่ยนทั้งหมดนี้ช่วยให้การรับสมัครพนักงานหญิงทำได้สะดวกยิ่งขึ้นนั่นเองนี่ไม่ได้เป็นการยัดเยียดข้อเสนอให้ฝ่ายบริหาร เมื่อ Impactive แสดงให้เห็นว่า ถ้าหากเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์เพียงแค่ 5 จุดเป็น 55% จะสามารถทำให้มูลค่าสุทธิของกิจการเพิ่มขึ้นได้ถึง 15% ความพยายามของ Asbury ในการดึงดูดช่างเครื่องผู้หญิงเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลให้การลงทุนของ Impactive ยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที ราคาหุ้นร่วงลง 60% นับจากช่วงต้นปี 2020 จนแตะจุดต่ำสุดในวันที่ 18 มีนาคม ปี 2020 พอร์ตของ Impactive ยังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขายหุ้น Wyndham ทิ้งเนื่องจากผลกระทบของไวรัสโคโรนา โดยหุ้นของ Wyndham มีราคาดิ่งลง 68% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนเนื่องจากการล่มสลายของธุรกิจท่องเที่ยว (ธุรกิจไทม์แชร์อย่าง Wyndham จัดกิจกรรมตอบแทนลูกค้าซึ่งเป็นแนวความคิดของ Impactive โดยจะมอบคะแนนสะสมพิเศษให้แขกผู้เข้าพักซึ่งเลือกที่จะไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกวัน)
ที่มา FactSet
อย่างไรก็ตาม Impactive ตอบโต้กลับด้วยการเพิ่มเดิมพัน โดยซื้อหุ้นเพิ่มจากทุกบริษัทที่ตนถือครองอยู่ จนถึงขณะนี้ยุทธวิธีนี้ใช้ได้ผล และ Asbury ก็ฟื้นตัวจากความเสียหายที่เกิดจากการระบาดของไวรัสตัวร้ายได้ และทำราคาปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนตุลาคม ในขณะที่ทั้งคู่เดินหน้าสร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มช่างเครื่องยนต์เพื่อสร้างเม็ดเงินให้กับตัวเองและผู้ร่วมลงทุน ทั้ง Taylor Wolfe และ Asmar ต่างก็มีพันธกิจส่วนตัวในการสร้างความหลากหลายให้กับตลาดหุ้น Wall Street ด้วย พนักงานของ Impactive จำนวน 5 คน จากทั้งหมด 9 คนเป็นผู้หญิงหรือคนผิวสี และทั้งคู่ยังพยายามลงมือทำในสิ่งที่ Taylor Wolfe เรียกว่า การเคลื่อนไหวของผู้ใช้บริการ โดยเรียกร้องให้ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลจากภายนอก นักบัญชีธนาคารเพื่อการลงทุน และนักกฎหมายให้บริการสนับสนุนพวกเขาด้วยทีมงานที่มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เธอยังร้องขอให้ผู้บริหารสินทรัพย์รายอื่นๆ เรียกร้องบริการรูปแบบเดียวกันนี้อีกด้วย “ในมุมมองของเรา ผู้มากความสามารถบนโลกใบนี้กระจายตัวอยู่ในกลุ่มคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน หากแต่จำนวนของผู้หญิง รวมถึงจำนวนกองทุนเฮดจ์ฟันด์สำหรับคนกลุ่มน้อยนั้นขาดความเท่าเทียม เราตระหนักเป็นอย่างดีว่า ถ้าหากเราประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างความหลากหลาย นั่นอาจเป็นผลลัพธ์เชิงบวกที่ส่งผลกับมุมมองของผู้บริหารสินทรัพย์รุ่นหลังที่มีต่อคนรุ่นหลังก็เป็นได้” Asmar กล่าว   เรื่อง: Hank Tucker เรียบเรียง: ริศา ภาพ: Aaron Kotaoski อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่าน “ด้วยรัก จาก Buffett” ฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine