Credit One ธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตจาก Las Vegas ทำกำไรมหาศาลจากการคิดค่าธรรมเนียมอัตราสูงจากลูกค้ากลุ่มซับไพรม์ นี่คือเรื่องราวเบื้องลึกของการสร้างความมั่งคั่งระดับหลายพันล้านเหรียญของ 'Ben Navarro' ผู้ซึ่งเป็นพ่อของนักเทนนิสดาวรุ่งชาวอเมริกันอย่าง Emma Navarro จากการดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเป้าไปยังผู้บริโภคที่มีคะแนนเครดิตต่ำ
Ben Navarro ซ่อนตัวภายใต้หมวกเบสบอลและแว่นกันแดดทรงนักบินสีเข้ม เขาเอนตัวไปด้านหน้าขณะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ของสนาม Margaret Court Arena ใน Melbourne สายตาจับจ้องไปยังสนามเทนนิสพื้นอะคริลิกสีฟ้าเบื้องล่างอย่างไม่ละสายตา ในวันที่ 17 มกราคมเป็นสัปดาห์แรกของการแข่งขัน Australian Open และ Emma ลูกสาววัย 23 ปีของ Navarro ซึ่งขณะนั้นรั้งตำแหน่งนักเทนนิสหญิงมือวางอันดับ 8 ของโลกกำลังเป็นผู้เสิร์ฟโดยขึ้นนำ Ons Jabeur 5-4 เกมในเซตที่ 3
Emma เสิร์ฟลูกเสีย 2 ครั้งติดต่อกันทำให้คะแนนเสมอกันที่ 30-30 ก่อนที่ Jabeur จะตีพลาดเองจนเสีย 2 คะแนน เปิดทางให้ Navarro ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ของศึกการแข่งขันรายการแกรนด์สแลม ภายในสนาม Emma ซึ่งเหงื่อยังไม่ทันแห้งหลังจบการแข่งขันพร้อมผ้าขนหนูพาดบนบ่าตอบคำถามผู้สื่อข่าวอย่างมั่นใจเมื่อถูกถามว่า เอาความอึดมาจากไหน “สมัยก่อนพ่อชอบลากฉันกับพี่น้องอีก 3 คนออกไปปั่นจักรยานและเดินเขาระยะทางไกลอยู่ตลอด จนเราตั้งชื่อเล่นเรียกกิจกรรมนั้นว่า ‘การปั่นไปร้องไห้ไป’ เพราะพอเวลาผ่านไปสัก 6 ชั่วโมงพวกเราก็จะมีน้ำตาไหลกันทุกคน ฉันซึมซับบทเรียนเรื่องความแข็งแกร่งมาอย่างมากระหว่างเติบโตขึ้นมาซึ่งส่วนใหญ่ต้องยกความดีความชอบให้พ่อ”

ความอดทนเป็นคุณสมบัติที่มีมูลค่าอย่างยิ่งในสายธุรกิจของ Ben Navarro อดีตนายธนาคารจาก Citi และ Goldman Sachs วัย 62 ปี สร้างความมั่งคั่งราว 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการปล่อยกู้และเรียกเก็บหนี้จากผู้ใช้บริการที่มีประวัติการเงินด้อยกว่ามาตรฐาน หรือไม่เคยมีประวัติทางด้านสินเชื่อ ธุรกิจนี้อยู่ในสังเวียนที่ไร้ความปรานี ทั้งจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแสนแพงจากผู้ที่มีปัญหาด้านการเงินอยู่แล้ว การติดตามทวงหนี้วันละหลายครั้งต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์หากลูกค้าผิดนัดชำระหนี้ ไปจนถึงการดำเนินคดีในชั้นศาล แม้ยอดหนี้จะมีมูลค่าเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ
Navarro ไม่เคยโอ้อวดถึงเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ส่วนใหญ่คนจะรู้จักเขาในฐานะพ่อของนักเทนนิสดาวรุ่งหรือผู้ใจบุญที่บริจาคเงินมากมายเพื่อการกุศลให้แก่เมือง Charleston บ้านเกิดของเขาที่รัฐ South Carolina “เขามักจะหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ” Bob Faith เศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จาก Charleston กล่าว Sherman Financial Group บริษัทเพื่อการลงทุนของ Navarro ไม่มีเว็บไซต์ทางการ โดยเพิ่งลบข้อมูลเว็บไซต์ออกไปหลังจาก Forbes เริ่มรายงานเรื่องของเขาในช่วงกลางปีที่ผ่านมา Brett Hildebrand วัย 63 ปี หุ้นส่วนที่ร่วมธุรกิจกับเขามาอย่างยาวนานซึ่งจบการศึกษาจาก MIT และมีทรัพย์สินประมาณ 2.8 พันล้านเหรียญเคยทำงานที่ Citi และ Goldman Sachs เช่นเดียวกัน หลังจากนนั้นพวกเขาหันมาจับมือร่วมกันก่อตั้ง Sherman เมื่อปี 1997 Hildebrand เป็นคนเก็บตัวยิ่งกว่า Navarro เขาไม่มีโปรไฟล์ใน LinkedIn หรือประวัติส่วนตัวบน Wikipedia และไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อแม้แต่ครั้งเดียว บนเว็บไซต์ของ IAG Capital Partners บริษัทเพื่อการลงทุนของเขาที่ตั้งอยู่ใน Charleston ลบประวัติข้อมูลส่วนตัวและรูปถ่ายของเขา (ซึ่งเป็นรูปเดียวที่ Forbes สามารถค้นหาได้) ออกจากเว็บไซต์เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
พวกเขามีเหตุผลอันควรที่ต้องการหลีกเลี่ยงความสนใจ Navarro และ Hildebrand ซึ่งบทบาททางธุรกิจของทั้งสองไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนได้ก้าวขึ้นติดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยการทำกำไรจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีความเปราะบางทางการเงินมากที่สุดของประเทศ ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของพวกเขามีแหล่งที่มาจาก Credit One ผู้ให้บริการบัตรเครดิตซึ่งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ Las Vegas โดยธนาคารแห่งนี้มุ่งเป้าไปที่ลูกค้ากลุ่มซับไพรม์ Credit One มักถูกเข้าใจผิดสลับกับ Capital One ธนาคารอีกแห่งที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก เนื่องจากชื่อและโลโก้บริษัทมีความคล้ายกัน (Capital One ใช้ชื่อนี้ดำเนินธุรกิจมาก่อน
ขณะที่ Credit One เปิดตัวโลโก้ในปี 2006 ก่อนหน้า Capital One เป็นเวลา 2 ปี) Forbes ประเมินว่า Navarro ถือหุ้นเกือบครึ่งหนึ่งของทั้ง Credit One และ Sherman เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมบริษัทและดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร ขณะที่ Hildebrand ได้ลดการถือครองหุ้นใน Sherman และกลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลังจากมีความขัดแย้งกับ Navarro ตามข้อมูลของแหล่งข่าวใกล้ชิดได้บอกไว้ แต่เขาก็ยังคงถือหุ้นประมาณ 40% ใน Credit One และยังนั้งเก้าอี้ในคณะกรรมการบริหาร (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2024)
นอกจากนี้ พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในการช่วยก่อตั้ง Resurgent Capital Services หนึ่งในบริษัทติดตามหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในกิจการของ Sherman ตั้งแต่ปี 1998 จนกระทั่งถูกขายออกไปในปี 2021 Navarro ได้รับเงินจากการขายกิจการไปราว 170 ล้านเหรียญ แต่ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า Hildebrand ซึ่งได้ลดบทบาทใน Sherman ไปก่อนหน้านั้นได้รับส่วนแบ่งเท่าไรทั้งนี้ Forbes ประเมินว่า Navarro และ Hildebrand ได้รับเงินปันผลจาก Credit One และ Sherman รวมมูลค่าราว 2.5 พันล้านเหรียญ และ 1.2 พันล้านเหรียญ ตามลำดับตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ทั้ง Navarro และ Hildebrand ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สำหรับบทความนี้ แต่โฆษกประจำบริษัท Credit One ได้ส่งข้อมูลตอบกลับคำถามบางส่วนของเรา Forbes ยังได้พูดคุยกับบุคคลมากกว่า 30 ราย ซึ่งรวมถึงลูกค้า ทนายความ และอดีตพนักงานของบริษัทในเครือ Sherman จำนวน 9 คน รวมไปถึงการตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายและการเงินที่เปิดเผยต่อสาธารณะหลายร้อยหน้า ภาพที่ปรากฏคือ 2 คู่หูผู้มองหาโอกาสที่มีความเฉลียวฉลาด ซึ่งมองการณ์ไกลและหาช่องทางทำกำไรจากช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันก่อหนี้จนมากเกินควร
“มันรู้สึกไม่ถูกต้องเท่าไรกับวิธีการทำเงินของเรา” Todd Haynal อดีตผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ Credit One ซึ่งเคยทำงานกับบริษัทในช่วงปี 2014-2020 กล่าว “นอกจากการรีดค่าธรรมเนียม [จากลูกค้า] แล้ว บริษัทก็ไม่ได้ให้ทางเลือกที่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองได้มากนัก” เขากล่าวเสริม “ผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่ดีต่อผู้ที่กำลังเผชิญความยากลำบาก...เพราะมีแต่การจ่ายค่าธรรมเนียมซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
Credit One โต้แย้งคำวิจารณ์เชิงลบดังกล่าว “บางคนอาจเชื่อว่าผู้บริโภคที่มีประวัติเครดิตจำกัดหรือมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนไม่ควรได้รับสิทธิ์เข้าถึงบริการทางการเงินมาตรฐานทั่วไป แต่เราไม่ได้คิดเช่นนั้น” โฆษกประจำบริษัทกล่าว “แม้ว่าการให้บริการสินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าที่มีประวัติเครดิตจำกัดหรือมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในธุรกิจ แต่ด้วยบริการ Credit Rebuilding ของเรา Credit One สามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้ บริษัทหลายแห่งเคยพยายามทำแบบเดียวกัน แต่ประสบปัญหาหรือเผชิญความล้มเหลว”
ชาวอเมริกันก่อหนี้ในอัตราสูงเป็นประวัติการณ์ ยอดหนี้ภาคครัวเรือนในสหรัฐฯ (ไม่รวมสินเชื่อที่อยู่อาศัย) พุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 5 ล้านล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากกลับไม่มีศักยภาพเพียงพอในการกู้ยืมในวงเงินสูง ข้อมูลจากการศึกษาปี 2022 ที่ร่วมรายงานโดย Experian บริษัทผู้ให้บริการข้อมูลเครดิตและ Oliver Wyman บริษัทที่ปรึกษาระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคน หรือประมาณ 42% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มีคะแนนเครดิตต่ำ (หรือกระทั่่งไม่มีประวัติเครดิตเลย) ทว่าคนจำนวนมากก็ยังมีความต้องการในการเข้าถึงบัตรเครดิต
นี่คือจุดที่ Credit One ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยมุ่งเป้าไปยังลูกค้า “ทุกระดับในสังคม” ซึ่งรวมถึง “ชาวอเมริกัน 1 ใน 3 ที่ถูกจัดอยู่ในระดับเครดิตต่ำกว่า ‘มาตรฐาน’” ตามคำกล่าวของโฆษกบริษัท และเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้มหาศาลของบริษัท ธนาคารรายงานมูลค่าสินทรัพย์ที่ 1.7 พันล้านเหรียญ แต่จ่ายเงินปันผลออกไปแล้วกว่า 2.4 พันล้านเหรียญ (ก่อนหักภาษี) นับตั้งแต่ปี 2010 โดย Forbes ประเมินว่า เกือบ 1 พันล้านเหรียญจากจำนวนนี้ไหลเข้าสู่กระเป๋าของ Navarro และ Hildebrand นั่นเป็นเพียงตัวเลขที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น
ตามข้อมูลจากอดีตผู้บริหาร 2 ราย Credit One ขาย “ลูกหนี้การค้า” (ยอดหนี้สะสมที่ลูกค้าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต) ประมาณ 90% ให้กับ Sherman หากนำมูลค่าหนี้ที่ขายให้ Sherman มูลค่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญบวกกลับเข้าไป จะทำให้ยอดหนี้ภาคครัวเรือนของ Credit One มีมูลค่าถึง 1.3 หมื่นล้านเหรียญ แม้ว่าผู้ให้บริการบัตรเครดิตส่วนใหญ่จะมัดรวมสินเชื่อเหล่านี้และขายต่อให้กับนักลงทุน แต่ Credit One แตกต่างจากบริษัทอื่นตรงที่ผู้ซื้อหนี้ทั้งหมดคือบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่าง Sherman เพียงรายเดียว ดังนั้น รายได้ส่วนใหญ่ที่เกิดจากสินเชื่อของ Credit One จะตกอยู่ที่ Sherman ไม่ใช่ Credit One โดย Forbes ประเมินว่า Navarro และ Hildebrand ได้รับจัดสรรเงินสดจาก Sherman อีกมากกว่า 2.7 พันล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2007 โครงสร้างนี้ทำให้ Credit One สามารถเก็บสินเชื่อคุณภาพสูงกว่าไว้ในงบดุลของตนเอง ขณะเดียวกันก็กำจัดหนี้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็น “หนี้สูญ” (หรือไม่ได้รับชำระคืน) ไปให้ Sherman ซึ่งไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินต่อสาธารณะ

ธนาคารขนาดใหญ่หลีกเลี่ยงการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ากลุ่มซับไพรม์ที่มีความเสี่ยงสูง ทว่าพวกเขาไม่มีปัญหาในการให้เงินกู้ยืมแก่ Sherman บริษัทของ Navarro เพื่อใช้ในการซื้อหนี้ Credit One ตามข้อมูลจากอดีตผู้บริหาร 2 ราย "ผมคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ช่างขัดแย้งกัน เพราะ [ธนาคารเหล่านี้] มักกล่าวอ้างว่า พวกเขาจะไม่มีทางปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มซับไพรม์” อดีตผู้บริหารของ Credit One รายหนึ่งกล่าว ซึ่งเล่าว่า ผู้ปล่อยกู้ให้ Sherman จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนสำนักงานของ Credit One ใน Las Vegas ปีละ 1 หรือ 2 ครั้ง Chase และ Citi ซึ่งอดีตผู้บริหาร 2 รายนี้กล่าวถึงว่า เป็นธนาคารผู้ปล่อยวงเงินสินเชื่อให้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ขณะที่แหล่งข่าวภายในจาก Wells Fargo ซึ่งผู้บริหารอีกรายหนึ่งกล่าวว่า เป็นธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับ Sherman ยืนยันว่า Credit One และ Sherman เป็นลูกค้า “รายใหญ่มาก” ของธนาคารและมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกันมานานหลายทศวรรษ "เราเชื่อมั่นอย่างสูงในบริษัทพวกเขา" แหล่งข่าวจาก Wells Fargo กล่าว
และนี่เป็นกลยุทธ์แห่งความสำเร็จที่ทำให้ธุรกิจเติบโต Credit One มีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ย 30% ต่อปีตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อคงค้างประเภทบัตรเครดิตของ Credit One พุ่งขึ้นแตะ 1.29 หมื่นล้านเหรียญในปี 2024 เพิ่มข้ึนจาก 6.8 พันล้านเหรียญในปี 2020 ตามข้อมูลของ The Nilson Report บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรมการชำระเงินได้ระบุไว้เมื่อปีที่ผ่านมา ธนาคารรายงานตัวเลขกำไรก่อนหักภาษีที่ 470 ล้านเหรียญจากรายได้รวม 1.7 พันล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท “บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม" Dwayne Safer อดีตผู้บริหารการธนาคารและปัจจุบันผันตัวไปเป็นอาจารย์สาขาการเงินที่มหาวิทยาลัย Messiah University รัฐ Pennsylvania กล่าว “โดยภาพรวมแล้วธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก”
Ben Navarro เติบโตในครอบครัวนักกีฬา เขาเป็น 1 ในลูก 8 คนของ Frank Navarro โค้ชอเมริกันฟุตบอลชื่อดังแห่ง Williams College ซึ่งเคยเป็นแบบในภาพ The Recruit ของ Norman Rockwell แม้ว่าจะทำงานในวงการกีฬาแต่ Frank ไม่เคยไปเข้าร่วมงานกิจกรรมกีฬาของลูกชาย "เขาต้องการให้ที่บ้านมุ่งเน้นความสำคัญไปยังการสร้างผู้ประกอบการและเด็กๆ ที่สามารถคว้าโอกาสจากสิ่งที่ประเทศอันน่าทึ่งนี้มีให้" Navarro กล่าวกับ Post and Courier หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของ Charleston เมื่อปี 2018

Navarro หาเงินส่งตัวเองระหว่างเรียนที่ University of Rhode Island โดยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟและขายโฆษณาบน “บัตร VIP” ซึ่งเป็นบัตรส่วนลดสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่ร้านค้าท้องถิ่น อ้างอิงจากข้อมูลของ Post and Courier หลังจบการศึกษาเมื่อปี 1984 เขาเริ่มทำงานที่ Chemical Bank (ต่อมาถูกควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของ Chase) โดยดูแลการปล่อยสินเชื่อให้กับธนาคารเพื่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสมาคมออมทรัพย์และสินเชื่อ จากนั้นทำงานอยู่นาน 2 ปีที่ Goldman Sachs ในแผนกตราสารหนี้และสินค้าโภคภัณฑ์ ก่อนจะย้ายไปยง Citicorp ในปี 1988 ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งผู้บริหารร่วมฝ่ายการขายและการซื้อขายตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน
Hildebrand จบการศึกษาจาก MIT ในปี 1984 โดยได้รับปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากนั้นจบปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์จากสถาบันเดียวกันในอีก 1 ปีถัดมา เขาเข้าทำงานที่ Citi และ Goldman Sachs เช่นเดียวกันและเป็นไปได้ว่าเขาอาจพบกับ Navarro ในช่วงเวลาดังกล่าว
ในปี 1997 Navarro และ Hildebrand ตัดสินใจก้าวออกมาทำธุรกิจของตัวเอง โดยเริ่มดำเนินกิจการ Sherman จากอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใน Manhattan พวกเขาย้ายสำนักงานใหญ่ไปยัง Charleston หลังเกิดเหตุวินาศกรรมวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ทั้ง 2 คนมีองค์ประกอบที่เสริมกันและกันได้อย่างลงตัว Navarro เป็นคนชอบเข้าสังคม มีเสน่ห์ในการเป็นผู้นำ และเชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรอง ส่วน Hildebrand นั้นเป็นอัจฉริยะด้านตัวเลขผู้มีความคิดเป็นระบบและใช้ตรรกะอย่างคนถนัดใช้สมองซีกซ้าย อดีตผู้บริหารของ Credit One ซึ่งเคยประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ใน Las Vegas เล่าว่า Navarro มักจะเดินเข้ามาในห้อง “อย่างเป็นกันเอง” พร้อมถามไถ่ถึงครอบครัวของพนักงาน
ขณะที่ Hildebrand จะชวนพูดคุยเชิงลึกเกี่ยวกับแบบจำลองทางการเงิน “Brett เป็นคนฉลาดมาก แต่บางครั้งดูเก้ๆ กังๆ เวลาเข้าสังคม และดูเหมือนไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างมากนัก…แต่ผมก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจาก Brett อย่างเช่น ความสำคัญของการใส่ใจในรายละเอียด และคำสอนที่ว่า ถ้าคุณอธิบายบางสิ่งไม่ได้ก็แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจมันจริงๆ” อดีตผู้บริหารกล่าวถึงอดีต “ส่วน Ben มักจะสนใจเฉพาะตัวเลขกำไรสุทธิ สภาพคล่อง หรือผลกระทบที่มีต่อความสามารถในการทำกำไร”
ในปี 1998 Sherman ก่อตั้งบริษัทติดตามหนี้ชื่อ Resurgent ขึ้นที่เมือง Greenville รัฐ South Carolina เพื่อระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ หุ้นส่วนทั้งสองตัดสินใจขายหุ้น 90% ใน Sherman ให้แก่บริษัทประกันภัย 2 แห่งในปีเดียวกัน คิดเป็นมูลค่ารวม 40 ล้านเหรียญ ตามรายงานของ The Wall Street Journal ในปี 2021 ต่อมาในปี 2005 Sherman ได้เข้าซื้อกิจการ First National Bank of Marin ธนาคารขนาดเล็กที่มีบัญชีลูกค้าราว 1 ล้านบัญชีและมียอดสินเชื่อคงค้างต่ำกว่า 400 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีก่อนการเข้าซื้อกิจการหน่วยงานรัฐบาลกลางได้ยื่นฟ้องธนาคารแห่งนี้ 2 ครั้ง โดยกล่าวว่า ธนาคารใช้ข้อมูลที่คลุมเครือเพื่อชักจูงลูกค้าที่มีประวัติเครดิตไม่ดีหรือไม่มีข้อมูลเครดิตในระบบให้สมัครบัตรเครดิต ก่อนจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูง ทั้ง 2 กรณีจบลงด้วยการที่ธนาคารยินยอมชดเชยค่าเสียหายให้แก่ลูกค้าโดยไม่ยอมรับว่าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
Sherman ปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่และเปลี่ยนชื่อธนาคารเป็น Credit One ขณะที่ยังคงให้ Robert DeJong นั่งเก้าอี้ซีอีโอต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทขยายธุรกิจด้วยการส่งจดหมายเสนอการสมัครบัตรเครดิตทางไปรษณีย์หลายล้านฉบับต่อเดือน ในเดือนมกราคมปี 2008 Credit One สามารถผลักดันยอดสินเชื่อบัตรเครดิตจนมีมูลค่าทะลุ 1 พันล้านเหรียญ ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกลางปี 2010 Navarro, Hildebrand และพันธมิตรใน Sherman ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือของบริษัทกลับคืนทั้งหมดด้วยมูลค่ารวมมากกว่า 900 ล้านเหรียญ
ในปี 2016 พอร์ตสินเชื่อของ Credit One เติบโตขึ้นมากกว่า 4 เท่า โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากแนวทางการบริหารแบบเน้นความเร็ว “มันคล้ายกับยุคคาวบอยแห่งโลกการธนาคารที่ไม่มีระบบระเบียบเข้มงวด” Haynal อดีตผู้ช่วยรองประธานของ Credit One กล่าว “คุณไม่สามารถอยู่บนเส้นทางขาวหรือดำแบบสุดโต่งได้ แต่ต้องรู้จักการบริหารในพื้นที่สีเทา” เขายังเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ที่ในปีหนึ่งบริษัทมอบหมายให้ “พนักงานวัยเด็กคนเดียวทำหน้าที่กระทบยอดตัวเลขสิ้นปีจากกองเอกสารจำนวนมากเพื่อพยายามตามหาเงินที่หายไป”
โฆษกของ Credit One ระบุว่า ธนาคาร “ผ่านการตรวจสอบประจำปีด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางการเงิน” พร้อมทั้งได้รับ “ความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข” จากผู้สอบบัญชีอิสระมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปี ซึ่งสะท้อนว่ารายงานทางการเงินของธนาคารมีความถูกต้องตามสมควร
เมื่อธุรกิจเฟื่องฟูพนักงานของธนาคารก็ได้รับอานิสงส์จากความสำเร็จนั้นไปด้วย Haynal เล่าย้อนถึงงานเลี้ยงบริษัทครั้งหนึ่งซึ่งจัดขึ้นที่ M Resort โรงแรมและกาสิโนหรูระดับ 4 ดาวใน Vegas พนักงานทุกคนได้รับซองใส่เงินสดคนละ 500 เหรียญสำหรับนำไปเสี่ยงโชค ส่วนผู้บริหารระดับสูงได้รับสิทธิประโยชน์หรูหรายิ่งกว่า ตามคำบอกเล่าของ Haynal หลายคนมีรถสปอร์ตหรูอย่าง Bentley, Lamborghini และ Aston Martin Vanquish ซึ่งพวกเขาขับมายังสำนักงานเป็นประจำ ทางด้านอดีตผู้บริหารอีกรายเล่าถึงอีกเหตุการณ์ที่บริษัทจัดส่ง Aston Martin คันใหม่มาให้ผู้บริหารระดับสูงขณะที่เหล่าพนักงานระดับล่างได้แต่มอง พร้อมกล่าวว่า “โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มกับเรื่องนี้เท่าไร”
ลูกค้ากว่า 18 ล้านรายของ Credit One เองก็คงไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มเช่นเดียวกัน ขณะที่ผู้ให้บริการบัตรเครดิตส่วนใหญ่สร้างรายได้หลักจากดอกเบี้ยยอดคงค้างบัตรเครดิตสูงกว่าค่าธรรมเนียม ทว่า Credit One รายงานตัวเลขที่สวนทางกับแนวโน้มดังกล่าวตั้งแต่ปี 2013 โดยรายได้จากดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 1.1 พันล้านเหรียญ ขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมสูงถึง 2.4 พันล้านเหรียญ การที่ธนาคารขายหนี้ส่วนใหญ่ (และดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง) ให้กับบริษัทแม่อย่าง Sherman ส่งผลให้การประเมินสัดส่วนรายได้จากดอกเบี้ยเทียบกับค่าธรรมเนียมโดยรวมทำได้ยาก
อย่างไรก็ตามจากรูปแบบการดำเนินธุรกิจก็ชัดเจนว่าค่าธรรมเนียมคือแหล่งรายได้หลักของบริษัท หนึ่งในผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่ Credit One ออกให้กับผู้ใช้มากที่สุดคือบัตร “Platinum Visa for Rebuilding Credit” ซึ่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี 75 เหรียญ และเพิ่มขึ้นเป็น 99 เหรียญในปีถัดไป (ลูกค้าสามารถยกเลิกบัตรและขอค่าธรรมเนียมคืนภายใน 90 วันหลังการสมัคร) นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในบางกรณีสำหรับบริการต่างๆ เช่น คำขอเพิ่มวงเงินหรือค่าสมัครบริการตัดยอดเงินด่วนพิเศษเพื่อให้วงเงินกลับมาใช้งานได้เร็วขึ้น ตามข้อมูลจาก Haynal ในบางช่วงเวลาลูกค้ายังต้องเสียค่าธรรมเนียมแม้กระทั่งในการขอเปลี่ยนชื่อจากการเปลี่ยนสถานะสมรส
ในบางครั้งค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากลูกค้าสูงเกินวงเงินบัตรเครดิตที่ได้รับ โดยผู้ใช้บริการบัตรเครดิต Credit One จำนวนมากเริ่มต้นด้วยการถือบัตรเครดิตแบบไม่มีหลักประกัน ซึ่งไม่ต้องวางเงินประกันหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันใดๆ โดยมักได้รับวงเงินเริ่มต้นเพียง 300 เหรียญ (จากข้อมูลของแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับธนาคารระบุว่าวงเงินเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,000 เหรียญ) “พวกเขาทำธุรกิจเพียงเพื่อเก็บค่าธรรมเนียม แสวงหากำไรและทำให้แน่ใจว่าจะได้รับเงินค่าธรรมเนียมรายเดือนอย่างต่อเนื่อง” Geet อดีตผู้ใช้บริการซึ่งต้องการเปิดเผยเฉพาะชื่อจริงกล่าว Geet สมัครใช้บัตร Credit One ในปี 2016 สมัยยังเป็นนักศึกษาโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบริการของ Capital One และได้รับอนุมัติวงเงิน 300 เหรียญ เขาแทบไม่ได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวและตัดสินใจปิดบัญชีในปีที่ผ่านมาหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมไปแล้วมากกว่า 800 เหรียญ ซึ่งเขามองว่า “เป็นยอดเงินจำนวนสูงสำหรับคนที่ค่อนข้างขัดสน” เขากล่าว
ในงบกำไรขาดทุนของ Credit One มีรายได้ค่าธรรมเนียมประเภทหนึ่งที่โดดเด่นเหนือรายการอื่นๆ นั่นก็คือ Credit Protection (การรักษาเครดิต) ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมรายเดือนที่คำนวณตามภาระหนี้คงค้าง ณ สิ้นเดือน ลูกค้าสามารถเลือกจ่ายค่าธรรมเนียมนี้เพื่อแลกกับความคุ้มครองหากเกิดเหตุไม่คาดฝันจนไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ ในปีที่ผ่านมาธนาคารสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม Credit Protection สูงถึง 350 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้รวมของบริษัท
อย่างไรก็ดี Credit One ก็ยังมีกลุ่มที่ให้การสนับสนุนโดยชี้ว่า การจองตั๋วเครื่องบิน การเช่ารถหรือการซื้อสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันแทบเป็นไปไม่ได้หากไม่มีบัตรเครดิต “อย่าลืมว่านี่คือกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในสหรัฐฯ” อดีตผู้บริหารของ Credit One รายหนึ่งกล่าว ขณะที่อีกรายเสริมว่า “ผมคิดว่าค่าธรรมเนียมที่ Credit One เรียกเก็บนั้นสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ธนาคารต้องแบกรับ”
บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล J.D. Power จัดอันดับให้ Credit One เป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่แย่ที่สุดในสหรัฐฯ ติดต่อกันถึง 8 ปี แม้ว่าปกติลูกค้ากลุ่มซับไพรม์มักจะมีระดับความพึงพอใจต่อผูุ้ให้บริการบัตรเครดิตต่ำกว่ากลุ่มผู้ถือบัตรทั่วไป แต่ Credit One มีค่าธรรมเนียมที่สูงและให้สิทธิประโยชน์น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน John Cabell กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านระบบชำระเงินของ J.D. Power กล่าว ด้านโฆษกของ Credit One โต้แย้งว่าธนาคาร “ไม่คุ้นเคยกับวิธีการจัดอันดับของ J.D. Power” และ “ภาคภูมิใจในคะแนนความพึงพอใจที่ดีและคำวิจารณ์เชิงบวกจากลูกค้าและสื่อหลายสำนัก”
Credit One พยายามขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินสูงขึ้นด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ Credit One Bank American Express Card ให้กับลูกค้าที่ “มีเครดิตระดับปานกลางถึงดีเยี่ยม” อย่างไรก็ตามสิทธิประโยชน์ของบัตรดังกล่าวยังห่างไกลจากข้อเสนอโดยตรงของ American Express โดยให้เครดิตเงินคืนเพียง 1% และคิดอัตราดอกเบี้ย 29% ต่อปี ขณะที่บัตร Blue Cash Preferred ของ American Express เสนอเครดิตเงินคืนสูงสุด 6% สำหรับหมวดใช้จ่ายที่กำหนด พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก ด้าน Credit Karma ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Credit One และมีบทบาทในการแนะนำผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตของบริษัทให้กับผู้ใช้กล่าวว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใช้บริการที่ได้รับการ “แนะนำ” ให้สมัครบัตรเหล่านี้มีคะแนนเครดิตอยู่ในระดับ "ต่ำ" ขณะที่ราว 1 ใน 4 มีประวัติเครดิตอยู่ในระดับ "ดี" หรือ “ดีเยี่ยม"
“ผมรู้สึกว่าพวกเขาพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นแค่กลุ่มลูกค้าซับไพรม์เพียงอย่างเดียว” Ted Rossman นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านบัตรเครดิตจาก Bankrate กล่าว “พวกเขาขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าระดับสูงขึ้นในบางแง่มุม" เขากล่าวเสริม “แต่หากมองลงไปในรายละเอียดพวกเขายังคงเน้น [กลุ่มลูกค้า] ที่มีเครดิตระดับปานกลางไปจนถึงต่ำอยู่ดี
ไม่น่าแปลกใจที่ Credit One ถูกฟ้องร้องหลายคดี ในปี 2021 รัฐ California ยื่นฟ้องธนาคารโดยระบุว่า ธนาคาร ‘มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตามทวงหนี้ทางโทรศัพท์บ่อยเกินควรและใช้พฤติกรรมที่เข้าข่ายข่มขู่ แม้ผู้บริโภคมีการร้องขอให้หยุดโทรแล้วก็ตาม’ หน่วยงานของรัฐกล่าวว่า ‘ผู้บริโภคหลายหมื่นรายได้รับสายทวงหนี้จากระบบอัตโนมัติอันไม่เหมาะสมหลายล้านครั้ง และหลายกรณียังถูกโอนสายไปยังบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ Credit One’ ทั้งนี้ Credit One กำลังต่อสู้คำร้องของรัฐ California ที่เรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลและจัดส่งเอกสารเพิ่มเติม โดยรัฐได้ขอให้ศาลพิพากษาโทษปรับ Credit One ในข้อหาขัดขวางกระบวนยุติธรรมซึ่งธนาคารกำลังต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณา
คดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่ยื่นต่อศาลแขวงสหรัฐฯ เขตตอนใต้แห่งรัฐ New York ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2015 โดยเป็น 1 ใน 7 คดีลักษณะเดียวกันที่มีการฟ้องร้องต่อธนาคารหลายแห่ง (ส่วนใหญ่มีการยอมความ ยกเว้นคดีของ Credit One) ข้อกล่าวหาหลักคือ การไม่รายงานสถานะล่าสุดต่อบริษัทจัดอันดับเครดิตเมื่อลูกค้าที่เคยมีประวัติหนี้เสียได้รับการพิพากษาล้มละลายไปแล้ว Credit One พยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลียงการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Sherman และโครงสร้างการถือครองหุ้น จนผู้พิพากษา Robert Drain มีคำสั่งตัดสินโดยไม่ไต่สวนเพิ่มเติมในปี 2022 และกำหนดให้ธนาคารจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้เสียหายทุกราย ระหว่าง 50-1,000 เหรียญ ยกเว้นผู้ที่เลือกไม่เข้าร่วมกระบวนการ (วงเงินชดเชยรวมสูงสุดไม่เกิน 288 ล้านเหรียญ) เนื่องจากศาลพิจารณาว่ามี “การละเมิดกระบวนการเปิดเผยพยานหลักฐานอย่างร้ายแรง” ทว่าคำตัดสินดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดทางกฎหมาย เนื่องจากผู้พิพากษา Drain เกษียณหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ คดีจึงถูกโอนย้ายผู้พิพากษาไปแล้ว 2 ครั้ง และ John P. Mastonado III ผู้พิพากษาคนปัจจุบันยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยต่อคำร้องคัดค้านคำตัดสินเดิมของ Credit One

คำถามคือ Navarro และ Hildebrand นำเงินทั้งหมดไปทำอะไร? Hildebrand ซึ่งมีบุคลิกไม่ชอบเป็นจุดสนใจและอาศัยอยู่ที่เมือง Charleston เคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการขององค์กรไม่แสวงหากำไรด้านทรัพยากรน้ำ 2 แห่ง เขานำเงินไปลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเงิน เทคโนโลยีชีวภาพและปัญญาประดิษฐ์ ในขณะเดียวกัน Navarro เปิดเผยให้สาธารณชนเห็นถึงความมั่งคั่งมหาศาลของเขาเป็นครั้งแรกในปี 2018 จากการยื่นข้อเสนอซื้อทีมอเมริกันฟุตบอล Carolina Panthers ในลีก NFL อย่างเหนือความคาดหมาย (สุดท้ายพ่ายให้กับเจ้าของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ David Tepper) หลังจากนั้น บริษัทบริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัว Navarro ในชื่อ Beemok Capital ได้ทุ่มทุนกว่า 450 ล้านเหรียญเพื่อเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีประวัติเก่าแก่ใน Charleston และซื้อสิทธิ์รายการแข่งขันเทนนิส 2 รายการด้วยวงเงินราว 300 ล้านเหรียญ หนึ่งในนั้นคือ รายการ Charleston Open ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Credit One Charleston Open ในเดือนมกราคม ปี 2024 Credit One ได้ประกาศเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับ Emma Navarro อย่างเป็นทางการ
Navarro มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในรัฐ South Carolina ซึ่งเขาได้รับการยกย่องจากบุคคลทรงอิทธิพลหลายคนในรัฐซึ่งรวมถึง Joseph Patrick Riley Jr. อดีตนายกเทศมนตรีเมือง Charleston ที่กล่าวชื่นชมว่า Navarro “มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงใน South Carolina” และ Tim Scott วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ที่เขานั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการวุฒิสภาด้านการธนาคาร ที่อยู่อาศัย และการพัฒนาเมือง โดย Scott เรียก Navarro ว่าเป็น “เพื่อน” ทั้งนี้ Navarro ภรรยาของเขา และสมาชิกในครอบครัวอีกอย่างน้อย 8 คน ได้ร่วมบริจาคเงินรวมกันกว่า 8 ล้านเหรียญให้กับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกของ Scott รวมถึงการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 ซึ่งมีระยะเวลาเพียงสั้นๆ
Navarro สอนวิชาการพัฒนาตนเองที่วิทยาลัยธุรกิจของ College of Charleston และยังเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน 4 แห่งในพื้นที่ซึ่งให้การศึกษากับเด็กกว่า 1,700 คน นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของโรงละคร ร้านอาหาร และโรงแรมหรูในเมือง โครงการล่าสุดของเขาคือ การพัฒนาพื้นที่ริมน้ำใจกลางเมือง Charleston ขนาดประมาณ 70 เอเคอร์ที่รู้จักกันในชื่อ Union Pier ซึ่งเขาวางแผนจะปรับปรุงใหม่ จนถึงปัจจุบันเขารายงานว่า ได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 250 ล้านเหรียญ “ผมหวังว่าจะมีส่วนช่วยพัฒนา Charleston ให้ดีขึ้นกว่าสมัยที่ผมพบเจอเมื่อ 20 ปีก่อน” เขากล่าวในบทความแสดงความคิดเห็นที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ Post and Courier เมื่อมีนาคม ปี 2024 แม้ทุกอย่างจะฟังดูดี แต่บางทีเขาควรพิจารณาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงแหล่งที่มาของเงินทุนทั้งหมด เพราะแม้ว่าบริษัทจะให้บริการบัตรเครดิตแก่ผู้ที่มีเครดิตต่ำหรือไม่มีประวัติเครดิตจะตอบสนองความต้องการในตลาดได้ และลูกค้าบางรายของ Credit One สามารถปรับปรุงเครดิตให้ดีขึ้นได้จริง แต่การให้บริการเหล่านี้ไม่ควรต้องแลกด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงลิบจนเป็นการเอาเปรียบกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบางทางการเงินมากที่สุด
เรื่อง: Jemima McEvoy และ John Hyatt เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา
ภาพประกอบ: Joe Morse
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'Justin Sun' เศรษฐีคริปโตสายโชว์
