บริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 - Forbes Thailand

บริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020

FORBES THAILAND / ADMIN
27 Nov 2020 | 07:30 PM
READ 4683

Koch Industries ธุรกิจเทคโนโลยีเคมีภัณฑ์ ครองอันดับหนึ่งในการจัดอันดับบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 ทำลายสถิติอันดับหนึ่ง 12 ปีซ้อนของ Cargill บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการด้านอาหารระดับโลก

Koch Industries

โดยในปี 2019 ที่ผ่านมา Koch Industries มีรายได้สุทธิราว 1.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 4.5 ขณะที่ผลประกอบการของ Cargill ในปีงบประมาณล่าสุด (สิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2020) มีมูลค่าอยู่ที่ 1.146 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.1 พันล้านเหรียญหรือร้อยละ 1 เพราะฉะนั้นจึงสะท้อนให้เห็นว่ารายรับของทั้งสองบริษัทแตกต่างกันเพียง 400 ล้านเหรียญเท่านั้น

ในที่นี้ David MacLennan ซีอีโอของ Cargill กล่าวในรายงานประจำปีของบริษัทว่า แม้ปี 2020 นี้ จะเป็นปีแห่งความท้าทาย แต่ขอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่านตระหนักไว้เสมอว่า บริษัทที่ก่อตั้งมากว่า 155 ปีแห่งนี้ได้เคยผ่านวิกฤตครั้งยิ่งใหญ่มาครั้งแล้วครั้งเล่า และปัจจุบันรายได้ของบริษัทก็อยู่ในเกณฑ์คงที่

อย่างไรก็ดี ทั้ง Koch Industries และ Cargill ต่างเป็นบริษัทที่มีรายชื่อติดอยู่ในการจัดอันดับบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาของ Forbes ตั้งแต่ปี 1985 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มมีการจัดอันดับดังกล่าวขึ้น โดยในปีนั้น Cargill ขึ้นครองอันดับหนึ่งด้วยรายได้มากถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ Koch Industries มีผลประกอบการอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านเหรียญ

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากรายชื่อ 219 บริษัท ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 จะสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทเหล่านี้มักไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพราะกว่าร้อยละ 65 เป็นบริษัทที่ติดอยู่ในการจัดอันดับประเภทนี้เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี โดยมี 15 บริษัท ที่ครอง 20 ตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 1985

อย่างไรก็ดี ในปี 2020 นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้น อาทิเช่น Albertsons กลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาเก็ต ซึ่งเคยครองอันดับ 3 เมื่อปี  2019 เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อย และสามารถระดมทุนครั้งแรกมากถึง 800 ล้านเหรียญ หลังจากที่ทางบริษัทได้มีความพยายามหลายครั้งที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2015 แต่ต้องถูกเลื่อนไปเพราะสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาด ขณะที่ในปี 2018 Albertsons ได้พยายามเข้าซื้อกิจการ Rite Aid เชนร้านขายยารายใหญ่ในสหรัฐฯ แต่เป็นอันต้องยกเลิกไป เพราะผู้ถือหุ้นของ Rite Aid ปฏิเสธ

การออกจากลิสต์จัดอันดับของ Albertsons ในครั้งนี้ ได้ทำให้ H-E-B กลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตจากเมือง San Antonio ก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 9 ของบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยรายได้ 3.12 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งนี้ เชนซูเปอร์มาเก็ตแห่งนี้ได้ติดอันดับที่ 25 ในการจัดอันดับปี 1985 เช่นกัน

ปัจจุบัน H-E-B มีร้านค้าทั้งหมด 340 สาขาในรัฐ Texas และประเทศเม็กซิโก ซึ่งแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์การจัดร้านที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น สาขา Central Market จะให้ความสำคัญกับสินค้าออร์แกนิค อาหารปรุงสำเร็จ และเมนูพิเศษต่อวัน ขณะที่บางสาขาจะเน้นการให้บริการเบียร์ท้องถิ่น 

ทั้งนี้ H-E-B เป็นบริษัทที่บริหารงานภายในครอบครัว โดยมี Charles Butt ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของบริษัท ซึ่งเขาเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง Florence Butt

นอกจาก Albertsons แล้ว อีก 19 บริษัทที่ไม่ได้ติดอยู่ในรายชื่อบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 นี้ก็มีสาเหตุมาจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ รายได้บริษัทที่ลดลง หรือการควบรวมกิจการ ตลอดจนการแยกบริษัท อาทิเช่น บริษัท Rock Ventures ของมหาเศรษฐีพันล้าน Dan Gilbert ซึ่งติดอันดับที่ 62 ในปี 2019 ที่ล่าสุดได้ตั้งบริษัทย่อยในชื่อ Rocket Companies เพื่อดูแลเกี่ยวกับการค้ำประกันอสังหาริมทรัพย์และการบริการด้านการเงินโดยเฉพาะ ก่อนที่จะนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมา

ขณะที่ Oxbow บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถ่านหินของ William Koch น้องชายของ Charles Koch ประธานบริษัท Koch Industries ได้หลุดออกจากการจัดอันดับในปีนี้ ด้วยผลประกอบการที่ต่ำกว่าเกณฑ์ชี้วัดเพียง 2 เหรียญเท่านั้น เช่นเดียวกับ Drummond บริษัทถ่านหินอีกแห่งหนึ่ง ที่ไม่ปรากฎรายชื่อในการจัดอันดับครั้งนี้เช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากการที่อุปสงค์ในตลาดถ่านหินทั่วโลกลดลง ส่งผลให้ระดับราคาและรายได้ยิ่งลดลงตามไป

Koch Industries

รายชื่อบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2020 ฉบับเต็ม

สำหรับในปีนี้ Airbnb ผู้ให้บริการแบ่งปันที่พักในหลายประเทศทั่วโลก อยู่ในลำดับที่ 90 ด้วยผลประกอบการ 4.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งปีนี้นับว่าเป็นปีที่ 2 ที่มีรายชื่อของ Airbnb ติดอยู่ในการจัดอันดับ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการคาดการณ์ว่าในปีหน้า เราอาจะไม่ได้เห็นชื่อของบริษัทในการจัดอันดับประเภทดังกล่าว เพราะล่าสุด เมื่อวันที่ 16  พฤศจิกายน 2020 ทางบริษัทได้ออกมาประกาศว่าจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ในดัชนี Nasdaq ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ชื่อว่า “ABNB”

นอกจากรายชื่อบริษัทที่กล่าวถึงในข้างต้น ในปีนี้ยังมีอีก 11 บริษัท ที่เข้ามาอยู่ในการจัดอันดับ ทั้งที่เป็นบริษัทที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก และการหวนคืนของบริษัทที่เคยเข้ามาอยู่ในลิสต์มาก่อน

โดยในจำนวนนี้มี Standard Industries เป็นบริษัทน้องใหม่ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในอันดับที่สูงที่สุด คือ อันดับที่ 69 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ในการจัดอันดับของปีก่อนๆ จะปรากฎรายชื่อของ G-I Holdings บริษัทแม่ของ Standard Industries และบริษัทวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างอื่นๆ เช่น GAF และ BMI Group ในลำดับที่ 159

Standard Industries ได้อธิบายให้  Forbes ฟังว่า แม้ G-I Holdings จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่บริษัท Standard Industries มีการบริหารจัดการภายในเอง อีกทั้งยังเป็นบริษัทแม่ของบริษัทอื่นๆ ในเครือทั้งหมด โดยในปี 2019 Standard Industries มีผลประกอบการอยู่ที่ 6.1 พันล้านเหรียญ

บริษัทน้องใหม่อีกบริษัทหนึ่ง คือ Kynetic บริษัทอี-คอมเมิร์ซ ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีพันล้าน Michael Rubin บริษัทแม่ของ Fanatics, Rue Gilt Group และ ShopRunner ผู้จัดจำหน่ายชุดกีฬาและอุปกรณ์แบรนด์ลิขสิทธิ์ต่างๆ ของ NBA, NFL และ NHL โดยในปี 2020 นี้ Kynetic ครองอันดับที่ 168

สำหรับรายชื่อบริษัทที่กลับมาอยู่ในลิสต์อีกครั้ง ได้แก่ Big Y กลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาเก็ตจาก Massachusetts และ Hoffman Corp. of Portland จาก Oregon ที่กลับเข้ามาอยู่ในลำดับที่ 210 และ 205 ตามลำดับ ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทเคยมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับเมื่อปี 2008 ขณะที่เกณฑ์การจัดอันดับยังอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญ ก่อนที่จะมีการปรับเกณฑ์มาอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญในปี 2009

การจัดอันดับบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ของ Forbes จะคัดเลือกเพียงบริษัทที่มีผลประกอบการมากกว่า 2 พันล้านเหรียญในปีงบประมาณล่าสุด  ซึ่งจะไม่ได้รวมบริษัทที่ตั้งอยู่นอกสหรัฐฯ บริษัทที่ไม่ได้จ่ายภาษีรายได้ (เช่น Mohegan Tribal Gaming Authority) บริษัทเจ้าของร่วม (เช่น State Farm Insurance) สหกรณ์ (เช่น Central Grocers) บริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 100 คน และบริษัทที่มีองค์กรรัฐบาล เอกชน หรือบริษัทข้ามชาติอื่นเป็นเจ้าของมากกว่าร้อยละ 50

ในขณะเดียวกัน Forbes ก็ไม่ได้นับรวมบริษัทที่มีธุรกิจหลักเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ บริษัทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทด้านการจัดการ  และถ้าเป็นไปได้ รายได้สุทธิของแต่ละบริษัทที่จะนำมาประเมินจะต้องไม่นับรวมยอดขายของบริษัทลูกในเครือ โดยข้อมูลที่ Forbes นำมาใช้ในครั้งนี้ อ้างอิงมาจากการเปิดเผยด้วยความยินยอมของบริษัท เอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (SEC) และการวิเคราะห์โดยนักวิจัยใน Forbes และแหล่งข่าวอื่นๆ

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ America’s Largest Private Companies 2020: Koch Industries At No. 1 For First Time In 13 Years เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: 10 อันดับ มหาเศรษฐีจีนหน้าใหม่ ประจำปี 2020