ด้วยกฎระเบียบที่เยอะเกินเหตุ การเก็บภาษีสูงเกินไป และแนวทางอันย้อนแย้งของนักการเมืองในอเมริกา จึงทำให้โอกาสหารายได้ที่ง่ายที่สุดตลอดกาลอย่างการค้ายาเสพติดถูกกฎหมายพังยับเยินแต่ก็ไม่สายเกินที่จะรักษาอุตสาหกรรมกัญชามูลค่า 7.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อไปได้
การเดินทางขึ้นเหนือไปตามถนนสาย 101 จากเมือง San Francisco ก่อนจะเข้าสู่ฟาร์มในเขต Humboldt County ที่นั่น Johnny Casali เปิดเครื่องสับไม้แล้วเทกัญชา 55 ปอนด์ลงปล่องไปจนเกลี้ยง “ผลผลิตจะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมายเพราะตอนนี้ California มีอุปทานล้นจนราคาแข่งกันดิ่งลงก้นเหว” Casali ผู้ก่อตั้ง Huckleberry Hill Farms ในเขตชุมชน Garberville กล่าว
เขาผลิตกัญชาคราฟต์ได้ปีละ 500 ปอนด์ ในเรือนกระจกขนาดเล็ก 2 หลังที่สนามหลังบ้านในรัฐแห่งกัญชาของอเมริกา “ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นชาวไร่ปลูกผักกาด ได้กำไรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”
ต้นเหตุคือกฎระเบียบเยอะเกินเหตุ การเก็บภาษีสูงเกินไป และแนวทางอันไม่คงเส้นคงวาของแต่ละรัฐ จนทำให้วิธีหาเงินที่แสนจะง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์ทุนนิยมอย่างการเอายาเสพติดยอดฮิตที่สุดในโลกมาทำให้ถูกกฎหมายกลับกลายเป็นความล้มเหลวของตลาดครั้งมโหฬาร
Jonathan Rubin ซีอีโอของ New Leaf Data Services ซึ่งติดตามราคาขายส่งกัญชาให้นักลงทุนสถาบันชี้ว่า ปีที่แล้วผู้เพาะปลูกกัญชาประมาณ 95% ใน California ขาดทุนเมื่อราคาขายส่งกัญชาต่อปอนด์ใน California ร่วงไป 52% นับจากปี 2017 ก่อนที่รัฐนี้จะเริ่มให้ขายกัญชาถูกกฎหมายเพื่อสันทนาการได้ 1 ปี
ดังนั้นการจะเค้นเอากำไรจากกัญชาในตอนนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ปัญหานี้มีต้นตอมาจากเรื่องธรรมดาอย่างอุปสงค์และอุปทาน การขอใบอนุญาตปลูกกัญชานั้นไม่ยากและแค่คุณพอรู้วิธีปลูกก็จะได้ผลผลิตเหลือเฟือแต่การขออนุญาตจำหน่ายกลับเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับร้านค้าปลีก
หนึ่งในผลลัพธ์คือ รัฐ California ยังมีสถานที่จำหน่ายกัญชาแค่ 1,000 แห่ง เท่ากับ 1 แห่งต่อประชากร 40,000 คน และเมื่อคนหาซื้อมีมาก แต่ร้านขายปลีกมีน้อย กัญชาส่วนเกินจำนวนมากจึงไหลเข้าสู่ตลาดมืดจนเป็นเหตุให้ราคากัญชาถูกกฎหมายลดลงฮวบฮาบ
ราคากัญชาใน California เฉพาะไตรมาส 2 ปี 2022 ตกไป 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผู้บริโภคในตลาดกัญชาใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จ่ายเงินซื้อกัญชาถูกกฎหมาย 5.1 พันล้านเหรียญในปี 2021 แต่ซื้อดอกกัญชาผิดกฎหมายประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ และงานวิจัยจากวาณิชธนกิจ Cowen Inc. ชี้ว่า ตัวเลขทั่วประเทศก็เอียงไปทางตลาดมืดเช่นกัน โดยในปี 2021 การซื้อขายกัญชาถูกกฎหมายมีมูลค่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญ แต่มีการซื้อขายในรูปแบบดั้งเดิมมากกว่านั้นเกือบ 2 เท่า
นอกจากราคาจะลดลงแล้ว อุตสาหกรรมกัญชาถูกกฎหมายก็ยังต้องแบกรับภาระภาษีหนักอึ้งอย่างที่คู่แข่งนอกกฎหมายไม่ต้องแบก เพราะรัฐอาจเรียกเก็บภาษีค้าปลีกกัญชาสูงถึง 37% บริษัทกัญชาไม่ได้รับอนุญาตให้ขอลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ส่วนใหญ่ที่กิจการทั่วไปขอกัน บริษัทเหล่านี้จึงต้องจ่ายภาษีในอัตราที่แท้จริงสูงถึง 60% หรือมากกว่านั้น
สถานการณ์มันแย่จนแม้แต่ Steve DeAngelo “บิดาแห่งอุตสาหกรรมกัญชาถูกกฎหมาย” ยังออกปากว่าสิ่งที่พยายามกันมาทั้งหมดนั้น “ล้มเหลว” DeAngelo อดีตพ่อค้ายาเสพติดที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของสถานที่จำหน่ายกัญชาคนนี้เป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังการเสนอร่างกฎหมาย Proposition 64 ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการในรัฐ California เมื่อปี 2016
ปัจจุบันกัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้วใน 19 รัฐ และได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อการแพทย์ในอีก 18 รัฐ บวกเขตปกครองพิเศษ District of Columbia “พวกเราเจ้าเก่าใช้เวลา 50 ปีสร้างตลาดที่ยุติธรรม ปรับตัวได้ดี และให้บริการทุกคนในตลาดมาอย่างดีมาก” DeAngelo เล่า เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Harborside Health Center ในเมือง Oakland ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่จำหน่ายกัญชาที่ได้รับใบอนุญาตเป็นแห่งแรกๆ ของประเทศนี้ “แต่ตอนนี้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาแทรกแซงจนรวนไปหมด”
ท่ามกลางความมั่ว เส้นแบ่งก็มั่วไปด้วย มีบริษัทหลายแห่งในอุตสาหกรรมกัญชาถูกกฎหมายส่งผลิตภัณฑ์ไปขายในตลาดมืดเป็นประจำ และเอาของจากตลาดมืดมาขายในตลาดถูกกฎหมายเช่นกัน “กัญชาจึงไหลไปมาทั้งสองทิศทางตลอดเวลา"
ณ สถานที่จำหน่ายกัญชาของแบรนด์ Cookies ในย่าน Maywood เมือง Los Angeles ดูเหมือนกฎแห่งอุปสงค์และอุปทานจะทำงานได้ดีจนน่าประหลาดใจ หลังจากเริ่มเปิดขายไม่กี่ชั่วโมงสินค้าใหม่ของ Cookies ก็หมดเกลี้ยง “ผมรู้ว่ากัญชาดีมันมีพลัง” แร็ปเปอร์วัย 38 ปี ฉายา Berner (ชื่อจริงคือ Gilbert Milam Jr.) ผู้มีผลงานมากมายและเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Cookies กล่าว
Berner ผันตัวมาจากตลาดผิดกฎหมายเช่นเดียวกับพวกชาวไร่ใน Humboldt เมื่อช่วงต้นยุค 2000 ชาวเมือง San Francisco คนนี้ได้พบกับ Jai Chang มือปลูกผู้มีชื่อเสียงในวงการใต้ดินในฐานะผู้ผลิตกัญชาชั้นยอดสายพันธุ์ OG Kush ในโรงรถบ้านตัวเอง นอกจากนั้น Chang ยังพัฒนากัญชาพันธุ์ผสมที่เขารู้สึกว่ารสชาติเหมือนคุกกี้ Thin Mint เขาจึงตั้งชื่อมันว่า “Girl Scout Cookies” (คุกกี้เนตรนารี)
หนุ่มแร็ปเปอร์ขายกัญชาตัวนี้ให้เพื่อนๆ ซึ่งรวมถึงศิลปินฮิปฮอป Wiz Khalifa จน Girl Scout Cookies ฮิตติดลม หลังจากนั้นทั้งคู่ได้เปิดร้านแบรนด์ของตัวเองในปี 2011 โดยใช้ชื่อเรียบง่ายว่า Cookies
แบรนด์ Cookies ทำสัญญาให้สิทธิ 51 ฉบับกับร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าของแบรนด์นี้ทั่วโลก นับตั้งแต่เมือง Los Angeles และเมือง Las Vegas ไปจนถึงเมือง Worcester รัฐ Massachusetts และเมือง Be’er Sheva ในอิสราเอล
ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดสถานที่จำหน่ายกัญชาแบรนด์ถูกกฎหมายเป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ของประเทศไทยในเดือนสิงหาคม ปี 2022 สำหรับยอดขายสินค้าของบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว ซึ่ง Forbes ประเมินว่า Cookies มีรายได้ต่อปีประมาณ 50 ล้านเหรียญ และเนื่องจากมีอัตรากำไรสูง มูลค่าประเมินขั้นต่ำของบริษัทนี้จึงน่าจะอยู่ที่ 150 ล้านเหรียญ
นอกเหนือจากทีมของ Cookies จะรู้จริงเรื่องสร้างแบรนด์อย่างไรให้รอดพ้นจากระบบเศรษฐศาสตร์อันห่วยแตกของอุตสาหกรรมกัญชาแล้ว พวกเขายังเข้าใจเรื่องการบริหารไลเซ่นให้เกิดประโยชน์อีกด้วย บริษัทนี้ไม่ได้ปลูกกัญชาเองแต่กินส่วนแบ่ง 20% จากเกษตรกรที่ใช้เมล็ดพันธุ์ของบริษัท และหักส่วนแบ่ง 5-15% จากสถานที่จำหน่ายทุกแห่งที่ใช้ชื่อแบรนด์ของบริษัท เพราะ Cookies รู้ดีว่าชื่อแบรนด์ของพวกเขาแน่พอจะทำให้ลูกค้ายอมค้างคืนในรถเพื่อรอซื้อของ แถมยังตั้งราคาได้อย่างที่รายอื่นต้องอิจฉา
เมื่อถาม Kim Rivers ว่า การทำให้กัญชาถูกกฎหมายในอเมริกาถือว่าล้มเหลวใช่ไหม เธอหัวเราะแล้วตอบว่า “มันยังไม่ถูกกฎหมาย” คำกล่าวนี้ไม่ธรรมดาเพราะออกมาจากปากของผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในวงการกัญชา Rivers เป็นซีอีโอของ Trulieve จากเมือง Tallahassee รัฐ Florida บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด 2.5 พันล้านเหรียญ มีสถานที่จำหน่ายกัญชา 173 แห่ง และศูนย์เพาะปลูก 17 แห่งใน 11 รัฐ
Rivers ยังกล่าวด้วยว่า "ที่ต้องทำกิจการขนาดใหญ่ไม่ใช่เพื่อการเติบโต แต่เพื่อความอยู่รอดมากกว่าเราโดนเก็บภาษีอย่างกับค้าเฮโรอีน” กิจการไหนที่แตะกัญชาจะต้องถูกเก็บภาษีตามมาตรา 280E ทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่แท้จริงถึง 60% หรือมากกว่านั้น ซึ่งถ้าบริษัทของเธอขายสินค้าอย่างอื่นที่ไม่ใช่กัญชา เช่น เฟอร์นิเจอร์ Trulieve ซึ่งมียอดขาย 938 ล้านเหรียญในปีที่แล้วก็คงจะจ่ายภาษีถูกลงถึง 85 ล้านเหรียญ Rivers กล่าว
Glass House Brands แห่งเมือง Long Beach รัฐ California ศูนย์เพาะปลูกศูนย์ใหญ่ที่สุดของบริษัทนี้ปลูกกัญชา 400,000 ต้นในเรือนกระจกพื้นที่ 1.5 ล้านตารางฟุต ก่อตั้งโดย Graham Farrar สมาชิกในทีมผู้ก่อตั้งบริษัท Sonos และ Kyle Kazan อดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทนี้เก็บเกี่ยวผลผลิตรุ่นแรกไปเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2022 โดยมีต้นทุนสินค้าปอนด์ละ 189 เหรียญ แต่ Farrar มีแผนจะลดต้นทุนให้เหลือปอนด์ละ 100 เหรียญในไม่ช้า Glass House ซึ่งนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Neo Exchange ของแคนาดาสร้างรายได้ 69 ล้านเหรียญในปี 2021 แต่รายงานว่า ขาดทุน 44 ล้านเหรียญ
Farrar กล่าวว่า "การมีกิจการขนาดมหึมานั้นถือเป็นการสร้างสิทธิเรียกร้อง เพื่อให้รัฐบาลกลางยอมปลดล็อกกัญชาในที่สุด" ซึ่งเขาคาดว่า เมื่อถึงวันนั้นเขาจะได้รับอนุญาตให้ขายกัญชาข้ามรัฐได้เหมือนไวน์จาก California
เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม Chuck Schumer ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ (ส.ว. พรรคเดโมแครตจากรัฐ New York) และ ส.ว. Cory Booker (เดโมแครต รัฐ New Jersey) และ Ron Wyden (เดโมแครต รัฐ Oregon) เสนอร่างกฎหมายเพื่อให้รัฐบาลกลางยุติการห้ามเสพและค้ากัญชา ซึ่งถ้าร่างกฎหมายนี้ผ่าน กัญชาจะสิ้นสุดสถานะสารเสพติดควบคุมประเภทที่ 1 ภายใต้รัฐบัญญัติควบคุมยาเสพติดของสหรัฐฯ และจะถูกควบคุมในระดับเดียวกับแอลกอฮอล์และยาสูบแทน
ส่วน Nancy Mace ส.ส. หญิงสมัยแรก (พรรครีพับลิกัน รัฐ South Carolina) ยื่นร่างกฎหมายลดภาษีสรรพสามิตในระดับประเทศเข้ามาแข่ง ขณะที่กลุ่มสนับสนุนการเมืองชื่อ Americans for Prosperity ที่ก่อตั้งโดย Charles Koch ก็วิ่งล็อบบี้อย่างหนักเพื่อปลดล็อกกัญชาในระดับรัฐบาลกลาง แต่ทั้งนี้จนกว่าสภาคองเกรสจะขยับตัวดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าวผู้ประกอบการก็ยังตายเกลื่อนต่อไป
เรื่อง: WILL YAKOWICZ เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง
ภาพ: ETHAN PINES, ETHAN PINES, GUERIN BLASK, ROBERT GALLAGHER
อ่านเพิ่มเติม:
>> 10 นักกอล์ฟรายได้สูงสุดของโลก ประจำปี 2022