AI ไม่ใช่ Frankenstein, ประหารผู้เสียภาษีด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และ ธุรกิจพิซซ่าใน New York กำลังล่มสลาย - Forbes Thailand

AI ไม่ใช่ Frankenstein, ประหารผู้เสียภาษีด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และ ธุรกิจพิซซ่าใน New York กำลังล่มสลาย

    การเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนทั่วโลก และทำให้คิดว่าบางทีจุดจบของมนุษยชาตินั้นใกล้มาถึงแล้ว ในไม่ช้าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำให้มนุษย์หมดความสำคัญ หรือเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นทาสผู้ยอมจำนนต่อปีศาจยุคใหม่ผู้ชาญฉลาดและมากด้วยพละกำลัง

    เราควรระลึกถึงสุนทรพจน์ครั้งแรกที่ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt กล่าวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงวิกฤตของจริง หรือขุมนรกของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ที่ว่า “สิ่งเดียวที่เราต้องกลัวก็คือ ตัวความกลัวของมันนั่นเอง”

    ความจริงแล้ว AI จะเป็นประโยชน์กับหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการแพทย์ ตัวอย่างเช่น AI จะทำให้การผลิตยารักษาโรคตัวใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น แทนที่จะยึดติดกับวิธีการซึ่งไร้ประสิทธิภาพและรับประกันความสำเร็จไม่ได้แบบในอดีต

    AI ยังอยู่ในระยะตั้งไข่ พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเดียวกันกับตอนที่เรามีคอมพิวเตอร์พีซีและโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกเมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมา การกำกับดูแล AI ในตอนที่เรายังไม่รู้ว่า AI สามารถทำอะไรได้บ้างนั้นเป็นเรื่องโง่เง่าและไม่สร้างสรรค์

    เมื่อ AI พัฒนาขึ้น เราสามารถออกกฎข้อบังคับที่สมเหตุสมผลได้ ความหวาดกลัวว่าวันหนึ่ง AI จะสร้างหุ่นยนต์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอิสระหรือตัวตนที่มีสติปัญญาเหมือนกับมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกินจริง

    กว่า 200 ปีที่ผ่านมาผู้คนแตกตื่นและตกใจกับกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Frankenstein นิยายสุดคลาสสิกของ Mary Shelley โดย Frankenstein เป็นเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งสร้างปีศาจร้ายขึ้นจากกระแสไฟฟ้า นั่นเป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นความกังวลแบบไม่เข้าท่าที่ผู้คนมีต่อ AI


ประหารผู้เสียภาษีด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า

    California กำลังบังคับใช้แผนการกระจายรายได้ใหม่ที่สร้างความตื่นตกใจไปทั่ว ถึงแม้ว่า California จะเป็นหนึ่งในบรรดารัฐที่เรียกเก็บภาษีในอัตราสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา หากแต่พลเมือหลายล้านคนในรัฐต้องเผชิญกับการเขย่าขวัญครั้งใหม่ อีกไม่นานจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบใหม่ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากพอตัวในใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าโดยคำนวณจากรายได้ของผู้ใช้ไฟฟ้า

    คุณอ่านไม่ผิดหรอก ใบแจ้งหนี้ค่าสาธารณูปโภคในรัฐที่มีชื่อเล่นว่า Golden State ซึ่งปัจจุบันมีชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก ส่วนหนึ่งจะคิดคำนวณจากปริมาณกระแสไฟฟ้าตามการใช้งานร่วมกับรายได้ของผู้ใช้ไฟฟ้า นี่เป็นภาษีเงินได้รูปแบบใหม่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกระจายรายได้แบบใหม่

    สภานิติบัญญัติได้ผ่านกฎหมายสุดสะพรึงฉบับนี้เมื่อปีที่แล้ว และผู้ให้บริการสาธารณูปโภครายใหญ่ 3 รายใน California กำลังร่วมมือกับ Public Utilities Commission เพื่อบังคับใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว

    ค่าธรรมเนียมอัตราคงที่ซึ่งคำนวณตามระดับรายได้นี้แบ่งรายได้ออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้ ผู้มีรายได้น้อยกว่า 28,000 เหรียญสหรัฐฯ ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 28,000-69,000 เหรียญ ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 69,000-180,000 เหรียญ และผู้มีรายได้ 180,000 เหรียญขึ้นไป อัตราค่าไฟฟ้าจะปรับลดลงเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยจ่ายค่าไฟฟ้าถูกกว่าที่จ่ายอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้คงไม่ช่วยอะไรนัก เนื่องจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคใน California สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเกือบ 70%

    การออกกฎหมายที่เป็นพิษเป็นภัยนี้ขัดขวางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยลงโทษพลเมืองผู้มีรายได้สูงซึ่งลดการใช้ไฟฟ้าลงด้วยมีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และล้างจานโดยไม่ใช้เครื่องล้างจาน ค่าไฟฟ้าของพวกเขาจะมีราคาแพงขึ้น ถ้าหากพวกเขาใส่ใจสิ่งแวดล้อมพวกเขาจะถูกลงโทษ

    แล้วบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจะทราบได้อย่างไรว่าประชาชนแต่ละคนมีรายได้เท่าไร? ถ้าหากหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีของรัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ผมรับประกันได้เลยว่าการรักษาความลับของข้อมูลที่เกี่ยวกับรายได้ของประชาชนจะถูกบ่อนทำลายด้วยน้ำมือของพวกแฮกเกอร์และบรรดาลูกจ้างของบริษัทสาธารณูปโภคผู้ไม่ซื่อสัตย์เป็นแน่

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้น่ากลัวมากแล้ว แต่แบบแผนตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ทำไมเราจึงไม่กำหนดราคาสินค้าและบริการทั้งหมดโดยดูจากรายได้ของแต่ละบุคคลกันเล่า เมื่อคุณซื้อแว่นกันแดด คุณต้องจ่ายค่าแว่นกันแดดบวกกับภาษีการค้าตามปกติ และส่วนต่างเพิ่มเติมซึ่งคำนวณจากรายได้ของคุณ

    สิ่งที่ California กำลังทำอยู่นี้ไม่ต่างอะไรกับการยึดหัวหาดเพื่อเบิกทางไปสู่สิ่งที่ฝ่ายซ้ายปรารถนามาช้านานซึ่งก็คือ ภาษีคนรวยนั่นเอง


ธุรกิจพิซซ่าใน New York กำลังล่มสลาย

    เมื่อ Elon Musk ได้ยินได้ฟังข้อห้ามที่จะบังคับใช้กับร้านพิซซ่าที่มีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาใน New York City เขาเริ่มทวีตข้อความว่า “ไร้สาระสิ้นดี นี่ไม่ได้สร้างความแตกต่างหรือช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลย”

    Musk พูดถูกแล้ว มหานครแห่งนี้กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการห้ามจำหน่ายพิซซ่าซึ่งทำในเตาอบที่ใช้ถ่านหรือฟืนแบบดั้งเดิม กรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ New York ต้องการให้โละเตาอบแบบนี้ทิ้ง หรือต้องการให้ร้านพิซซ่าติดตั้งระบบกรองอากาศซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายหลายหมื่นเหรียญ เพื่อให้บรรดาร้านรวงเหล่านี้สามารถปฏิบัติตามความต้องการสุดเผด็จการของกระทรวงที่กำหนดให้ปรับลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 75% ได้

    ไม่ว่าคุณจะแบ่งจ่ายอย่างไร ต้นทุนของการปฏิบัติตามระเบียบนี้จะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อหรือบำรุงรักษาระบบกรองอากาศดังกล่าว หรือต้องปรับราคาอาหารขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่านี้และหวังว่าลูกค้าจะกลับมาซื้ออาหารที่ร้านของตนซ้ำอีก

    คนรักพิซซ่ารู้ดีว่ารสชาติของแป้งที่อบในเตาอบไฟฟ้านั้นเทียบกับแป้งที่อบในเตาที่ใช้ความร้อนจากฟืนหรือถ่านไม่ได้เลย

    ผู้มีอำนาจใน New York กล่าวว่า การโจมตีบรรดาร้านพิซซ่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมน่าขำที่สุด! ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบรรดาผู้มีอำนาจเหล่านี้ไร้สาระสิ้นดี Marc Morano ผู้จัดทำเว็บไซต์ ClimateDepot.com เปรียบเทียบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเตาฟืนกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเครื่องบินส่วนตัวซึ่งผู้มีอิทธิพลในแวดวงการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศจากรัฐบาลประธานาธิบดี Biden อย่าง John Kerry ใช้เป็นประจำพบว่า เตาฟืนต้องใช้เวลา 849 ปีกว่าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเทียบเท่ากับที่เครื่องบินของ Kerry ปล่อยออกมาในแต่ละปี ใช่แล้ว 849 ปี! เครื่องบินของ Kerry ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 100 เมตริกตันต่อปี

    พวกคนรวยตีสองหน้า ชอบชี้นิ้วสั่งการ และยกตนข่มท่านอย่าง Kerry และอดีตรองประธานาธิบดี Al Gore กล่าวอ้างอย่างเสมือนชอบธรรมว่า พวกตนชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต ซึ่งเงินดังกล่าวจะนำไปใช้ในการวิจัยเพื่อหาทางรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    เข้าใจพูดนะพ่อคุณ! ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศอยู่ดี

    นี่เป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในเวอร์ชั่นของการยกบาปในยุคกลาง ซึ่งผู้คนสามารถบริจาคเงินให้กับศาสนจักรคาทอลิกเพื่อแลกกับการที่บาปของพวกเขาจะได้รับการอภัย และเป็นการกรุยทางให้สามารถเข้าประตูสวรรค์ได้ง่ายขึ้นภายหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว

    สิ่งที่นักสิ่งแวดล้อมหัวรุนแรงเหล่านี้ชี้ให้เห็นก็คือ คำพูดที่ขาดสามัญสำนึกและวิจารณญาณเจ้าหน้าที่รัฐผู้กระหายอำนาจปลื้มใจที่ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความสำคัญมากเพียงใดโดยการป่าวร้องถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นและน่ารื่นรมย์ขึ้น เช่น การประกาศห้ามใช้เตาแก๊ส การกล่าวยืนยันว่าเครื่องปรับอากาศไม่ทันสมัยอีกต่อไป และเครื่องล้างจานใช้เวลามากขึ้นเป็น 2 เท่าในการจัดการกับจานชามเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต หากแต่ยังล้างจานได้ไม่สะอาดเท่าที่ควร

    สิ่งที่แสดงให้เห็นใน New York City นั้นเป็นตัวอย่างอันไร้รสนิยมของระบบสังคมนิยมยุคใหม่ซึ่งผู้มีอำนาจในรัฐบาลเข้าควบคุมภาคธุรกิจ หากแต่ไม่ใช้วิธีการครอบครองกิจการดังเช่นที่ลัทธิอนุรักษ์นิยมอย่างมาร์กซิสต์เคยใช้ แต่หันมาใช้วิธีการกำกับดูแลในรายละเอียดแทน

    ร้านพิซซ่าอิสระแบบดั้งเดิมกำลังเจอกับบทเรียนราคาแพงที่ว่า การอยู่รอดของธุรกิจของพวกเขานอกจากจะขึ้นอยู่กับการทำให้ลูกค้าพึงพอใจแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความคิดอ่านแปลกประหลาดของกาฝากในรัฐบาลผู้มีอำนาจเต็มที่และอวดดีอีกด้วย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ความฉลาดของแคนาดา กับนักการเงินหัวสร้างสรรค์ "Som Seif"

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine พิเศษ! ฉบับนี้แถมฟรี Forbes Life