กฎแห่ง 72 (The Rule of 72) คือวิธีง่ายๆ ในการทำนายปีที่เงินลงทุนจะทวีคูณเป็นสองเท่า เอา 72 หารด้วยดอกเบี้ยทบต้น ถ้าดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 8 เงินในกระเป๋าคุณจะเพิ่มเป็นสองเท่าทุกๆ 9 ปี ถึงไม่ตรงนัก แต่ก็ใกล้เคียง เมื่อปี ค.ศ. 1944 หรือ 72 ปีก่อน ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของสหรัฐฯ อยู่ที่ 225 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (เมื่อคิดจากมูลค่าดอลลาร์ในปัจจุบัน) โดยปัจจุบันเพิ่มเป็น 18 ล้านล้านเหรียญ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ร้อยละ 2.9 ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตมากกว่าอัตราที่ผ่านมาแค่ปีละ 1 เปอร์เซ็นต์เทจพอยนท์
กฎแห่ง 72 บอกว่าขนาดเศรษฐกิจของประเทศจะใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันสองเท่า (แต่ถ้าคิดจากตัวเลขจริงคือ 37.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็จะมากกว่าสองเท่าอยู่สักหน่อย) คำถามคือ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่านี้เป็นสองเท่า จะมีมหาเศรษฐีเพิ่มอีกสักกี่คน เม็ดเงินลงทุนจะมากกว่านี้อีกเท่าไหร่ และจะมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอีกมากแค่ไหน สำหรับเศรษฐกิจขนาด 37 ล้านล้านเหรียญที่ความมั่งคั่งกระจายสู่ประชากร 320 ล้านคน รัฐบาลจะปลอดหนี้ ปราศจากวิกฤตด้านสวัสดิการสังคม กองทุนสวัสดิการของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะมีเงินอุดหนุนอย่างเพียงพอ และประเทศจะมีโครงสร้างสาธารณูปโภคที่ดีเยี่ยมอะไรๆ ที่ว่ามานี้คงจะเป็นไปได้ ถ้าชนชั้นนักการเมืองใส่ใจขึ้นสักนิดกับอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจตลอด 72 ปีที่ผ่านมา มันน่าโมโหนักกับนักการเมืองพวกนี้
ยุคแห่งมหาเศรษฐีเกลื่อนกลาด
แต่ผมขอเปลี่ยนเรื่องไปคุยถึงเศรษฐกิจโลกดีกว่า ขนาดของเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้อยู่ที่ 80 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งปีที่แล้วไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นในเรื่องอัตราเติบโต แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (gross world product) ขยายตัวร้อยละ 3.4 อัตราดังกล่าวนี้ทำให้คาดหมายได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจนมีขนาด 258 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2050 ลองคิดดูสิครับ เศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าปัจจุบันกว่าสามเท่า สมมุติว่าโลกเราเติบโตน้อยกว่านั้น เอาเป็นว่าร้อยละ 3 นั่นก็ยังทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อปีเพิ่มขึ้น 145 ล้านล้านเหรียญ และจะสร้างมหาเศรษฐีใหม่อีกหลายพันคน แล้วมหาเศรษฐีในอนาคตเหล่านี้จะไปหาเงินกันมาจากที่ไหน เพราะแนวโน้มคือเพื่อนทางธุรกิจที่ดีของคุณ ฉะนั้น จับตาดูสองแนวโน้มหลักๆ ต่อไปนี้
• ประชากรโลก ผู้คนบนโลกมีมากขึ้น รวยขึ้น ใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น และสูงวัยขึ้น ขณะนี้โลกของเรามีประชากร 7.3 พันล้านคน องค์การสหประชาชาติคาดหมายว่าประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9.7 พันล้านคนในปี 2050 แต่ภายใต้กระแสหลักเหล่านั้น จงใส่ใจกับกระแสรอง ลองดูอัตราเติบโตของชนชั้นกลางของโลก ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 2 พันล้านคน ภายปี 2050 จำนวนที่ว่านี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ เป็นสองเท่าเมื่อคนก้าวข้ามความยากจนไปใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลางพวกเขาต้องการสิ่งของจึงซื้อของ แล้วพวกเขาต้องการของแบบใด สุขอนามัย เครื่องปรับอากาศ ที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย อาหารโปรตีนสูง การเดินทางท่องเที่ยว ธุรกิจที่รองรับความต้องการเหล่านี้จะทำเงินหลายล้านล้านเหรียญ จำนวนประชากรในเมืองจะเพิ่มจาก 4 พันล้านเป็น 6.3 พันล้านคน ภายในปี 2050 อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยและขนส่งจะสร้างรายได้หลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ประชากรสูงวัย (อายุมากกว่า 65 ปี) จะเพิ่มจาก 600 ล้านคนในปัจจุบัน เป็นราว 1.5 พันล้านคนในปี 2050 ยาใหม่ๆ การรักษาทางการแพทย์ และบริการด้านสุขภาพที่เป็นที่ต้องการของผู้สูงอายุ ก็จะทำเงินอีกมหาศาลนับล้านล้านเหรียญเช่นกัน
• เทคโนโลยีเบ่งบาน ในแวดวงเทคโนโลยี กำลังมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในประเด็นที่ว่ากฎของมัวร์ (Moore’s Laws) ซึ่งคาดการณ์ว่าวิวัฒนาการของไมโครชิพกำลังชะลอตัว แต่ Ray Kurzweil นักอนาคตศาสตร์ ไม่คิดเช่นนั้น เขาชี้ว่า อัตราความก้าวหน้าตามกฎของ Moore (ซึ่งอธิบายว่าศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจะเพิ่มเป็นสองเท่าทุกๆ 18-24 เดือน) เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้ายุค Silicon Valley ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อปี 1958 จากประดิษฐกรรมวงจรรวมของ Fairchild Semiconductor Kurzweil อ้างว่า ยุคของพัฒนาการแบบก้าวกระโดดเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1890 และจะยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดในลงช่วงหลังยุคแห่งการพัฒนา semiconductor ที่ Silicon Valley (ต้นทศวรรษที่ 2020) อันเป็นผลพวงมาจากควอนตัมคอมพิวเตอร์ รวมถึงแนวคิดที่ประสบผลสำเร็จอื่นๆ
Kurzweil อาจคิดผิด แต่ผมคงไม่ฟันธง การจะเดิมพันกับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก ไม่ต่างจากการเดิมพันกับความปราดเปรื่องของมนุษย์ ผู้ที่จะเป็นมหาเศรษฐีในอนาคตจะต้องรู้จักคิดถึงกลุ่มประชากรขนาดใหญ่กว่า รวยกว่า ทันสมัยกว่า อายุมากกว่า และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมพาคุณไปยังจุดนั้นก่อน ไม่แน่ว่าคุณอาจได้อยู่ใน FORBES ฉบับ Billionaires ก็เป็นได้
RICH KARLGAARD
ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes
กับผลงานหนังสือเล่มล่าสุด TEAM GENIUS: THE NEW SCIENCE OF HIGH-PERFORMING ORGANIZATIONS
คลิ๊กอ่านบทความเพื่อจุดประกายไฟฝันทางด้านธุรกิจ จาก Forbes Thailand ฉบับ MAY 2016 ในรูปแบบ E-Magazine