ขณะที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าในยุคปัจจุบันโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่กรอบความคิดในการบริหารเศรษฐกิจกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าได้รับการตอบสนองจากนโยบายเศรษฐกิจหลักๆ ของรัฐบาล
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทำให้การที่รัฐยังคงยึดถือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือจีดีพีเป็นสรณะไม่สามารถสะท้อนความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ของประเทศอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า แม้การขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมจะเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง แต่การสำรวจรายได้ของครัวเรือนที่จัดทำโดยสำานักงานสถิติฯ ในหลายจังหวัดปรับลดลงอย่างน่าใจหาย เช่น หลายจังหวัดในภาคใต้รายได้ของครัวเรือนลดลงกว่าร้อยละ 20 เมื่อปี 2558 เทียบกับปี 2556 เป็นต้น ความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่เป็นผลมาจากความได้เปรียบของผู้คนจำนวนหนึ่งที่ถือครองสินทรัพย์ที่เป็นเครือข่ายหรือผูกขาด เช่น เครือข่ายการค้าสมัยใหม่ รวมถึงฐานข้อมูลออนไลน์ โครงข่ายในธุรกิจโทรคมนาคม หรือพลังงาน ที่ดิน ในบางย่าน เป็นต้น ยิ่งหากมองไปในอนาคตแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยดังต่อไปนี้- เทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนแรงงานทักษะรวมถึงวิชาชีพชั้นสูง จะทำให้เกิดความไม่มั่นคงในเรื่องของรายได้และการประกอบอาชีพของคนที่มีรายได้จากค่าจ้างหรือเงินเดือน
- การก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย ในขณะที่ระบบสวัสดิการต่างๆ ครอบคลุมประชากรส่วนน้อย
- ข้อจำกัดของรัฐ ในการที่จะปกป้อง คุ้มครอง หรือช่วยเหลือประชาชนในหลายสาขา รวมทั้งปัญหาอำนาจการต่อรองของเกษตรกร การบริหารเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคนส่วนใหญ่ได้
- ปรับเป้าหมายของการบริหารเศรษฐกิจให้มีตัวชี้วัดที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การใช้ค่ากลางของรายได้ของประชาชน (median income) ตัวชี้วัดเกี่ยวกับความยากจนเชิงสัมพัทธ์(relative poverty) การใช้ตัวเลขรายได้ของพื้นที่ การถ่วงดุลตัวเลขรายได้ด้วยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรและวิถีชีวิตของชุมชน เป็นต้น
- การจัดทำนโยบายและโครงการต่างๆ จะต้องมีการประเมินผลกระทบต่อการกระจายรายได้ โดยเฉพาะผลกระทบกับประชาชนที่ยากจนด้วย จะต้องไม่คาดหวังว่านโยบายเพื่อแก้ปัญหาการกระจายรายได้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือภายหลังการสร้างอัตราการเจริญเติบโตในภาพรวม
- ให้ความสำคัญมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการแข่งขันทางการค้า ไม่ปล่อยให้เกิดการผูกขาดไม่ว่าจะโดยภาครัฐหรือเอกชน ต้องปรับกฎหมายต่างๆ ให้เอื้อต่อการเกิดธุรกิจใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันและสร้างโอกาสให้ทุกคน
- สัดส่วนค่าใช้จ่ายหรืองบประมาณของรัฐ จะต้องมารองรับระบบสวัสดิการทางสังคมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ควรวิเคราะห์เตรียมการไปสู่การที่ประชาชนจะมีหลักประกันรายได้ ขั้นพื้นฐาน(universal basic income) ในอนาคต
- ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ เพื่อรองรับภาระต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการทำข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อมิให้เกิดสภาพการแข่งขันการลดภาษีเพียงเพื่อหวังการดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในโลก และเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดเก็บรายได้จากธุรกิจและธุรกรรมที่เกิดขึ้นทางออนไลน์และระหว่างประเทศ
คลิกอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มิถุนายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine