แล้วปัจจัยแห่งความสำเร็จของ ASEAN คืออะไร?
ปัจจัยที่ส่งผลโดยรวมคือ คลื่นลมด้านมิติการเมืองที่เป็นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการเยือนประเทศจีนครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดี Richard Nixon เมื่อปี 1972 และการสิ้นสุดลงของสงครามเวียดนาม แม้จุดยืนและความคิดจะอยู่คนละขั้วการเมือง แต่สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐฯ มองเห็นถึงความสำคัญที่จะพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายเนื่องจากมีศัตรูรายเดียวกันคือสหภาพโซเวียต ทั้งนี้ ประเด็นถกเถียงกันว่าภัยคุกคามที่น่าหวั่นเกรงที่สุดสำหรับประชาคม ASEAN ในปัจจุบันก็คือการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจจากสองภูมิภาคอย่างจีนและสหรัฐฯ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือการปฏิรูปเศรษฐกิจมาอิงกลไกตลาดเศรษฐกิจของหลายประเทศสมาชิกเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากได้รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีบางประเทศที่ขยายตัวต่ำกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัดเจนในประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงศตวรรษที่ 1980 ประเทศไทยถูกเรียกกันในหมู่นักลงทุนว่า “ประเทศแห่งการรอคิว” เนื่องจากแถวรอนำเสนอโครงการลงทุนที่ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) จะยาวเหยียดและแน่นเสมอ มาเลเซียผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จุดหมายการลงทุนจากต่างชาติและอุตสาหกรรมการผลิต ประเทศที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะ เป็นเวียดนามที่ได้ปฏิรูปประเทศตั้งแต่รากฐานหลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์นำพาประเทศชาติสู่ทศวรรษแห่งหายนะ ปัจจุบันเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจแห่งหนึ่งของโลก แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร? ASEAN จะต้องเผชิญอุปสรรคหลายประการโดยมีสองข้อที่เป็นประเด็นสำคัญ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบมหาศาลต่อประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะ ASEAN ข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนทะเลจีนใต้อาจเป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสังเกตเห็นว่า ASEAN เป็นความร่วมมือที่อาจจำกัดวงอยู่แค่ในระดับนโยบาย ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชนอาจมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแต่ไม่ปรากฏชัดเจนนักสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปของเหล่าประเทศสมาชิก ทั้งนี้ ASEAN จะต้องผลักดันนโยบายความร่วมมือจากระดับบนไปสู่ประชาชนให้มากขึ้น ยังมีคนตั้งความหวังว่าปัญหาเหล่านี้และอุปสรรคอื่นๆ อันรวมถึงการเมืองที่ไม่โปร่งใสและการคอร์รัปชันที่พบเห็นกันดาษดื่นจะถูกทลายลงในที่สุด ASEAN คือเรื่องราวแห่งความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาและเหตุผลที่ ASEAN ควรก้าวต่อไปสู่ความสำเร็จที่ไม่หยุดยั้งไม่ใช่เพื่อประโยชน์สำหรับประชาชน 625 ล้านคนในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชากรในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) อีก 385 ล้านคนและภาพรวมทั่วโลก เพราะแท้จริงแล้วการนำรูปแบบกลยุทธ์ไปปรับใช้ก็น่าจะเข้าท่าอยู่ไม่น้อย ด้วยกลุ่ม MENA สามารถเรียนรู้จาก ASEAN ที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ Jean-Pierre Lehmann ผู้เขียนบทความให้กับ Forbes.com ศาสตราจารย์กิตติคุณของ IMD ใน Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาจารย์พิเศษแห่ง Hong Kong University และ NIIT University ใน Rajasthan ประเทศอินเดียคลิกอ่านบทความที่น่าสนใจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กรกฎาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine