MINI Cooper กว้างขึ้น แรงขึ้น แต่นุ่มนวล

เมื่อ 55 ปี ก่อน MINI รถยนต์สัญชาติอังกฤษคันแรกได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก จนถึงวันนี้ MINI ได้พัฒนาตัวเองมาแล้ว 2 generation และได้ก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ BMW AG เมื่อปีที่แล้ว “NEW MINI COOPER” generation ที่ 3 ภายใต้รหัส F-56 ได้ถูกเปิดตัวในตลาดประเทศไทย

MINI เป็นรถยนต์ที่มีจุดเด่นของตัวเอง ทั้งรูปร่างที่เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก 2 ประตู ไฟหน้าดวงกลมโตที่มีมาตั้งแต่ generation แรก และยังอยู่มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน รวมไปถึงช่วงล่างที่เหมือนกับการขับรถ Go-Kart ซึ่งไม่มีรถยนต์รุ่นใดในโลกที่สร้างระบบช่วงล่างให้สะท้อนความเป็นรถ Go-Kart ได้เทียบเท่ากับรถยนต์ MINI แต่นั่้นคืออดีต เพราะ MINI COOPER โฉมใหม่นี้ ถูกปรับปรุงและพัฒนาในทุกด้าน ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ขนาดตัวถัง การออกแบบภายใน รวมถึงเทคโนโลยีภายในตัวรถ ซึ่งบอกได้เลยว่าเหนือกว่า MINI COOPER รุ่นก่อนหน้านี้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ จะมีก็แต่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นละครับ ที่แทบไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมมากนัก เรียกว่าถ้าใครที่ไม่ใช่แฟนตัวจริงละก็ แยกไม่ออกหรอกว่า MINI COOPER รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่แตกต่างกันตรงไหน Forbes Thailand มีโอกาสได้ลองขับเจ้า MINI COOPER ใหม่ทันที ที่บริษัท มินิ ประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อให้ได้ “รู้จัก” MINI COOPER ใหม่กันอย่างเต็มที่ แบบไม่มีกั๊กกันเลยทีเดียว เพราะสถานที่ที่ใช้ “ลองขับ” คือเส้นทางกรุงเทพ-หัวหิน แต่อย่าเพิ่งยี้... ครับท่านผู้อ่าน เพราะไม่ใช่แค่เส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน แบบชิลๆ ครับ เพราะเราแวะเข้าไปที่สนามแก่งกระจาน เซอร์กิต เพื่อลองสมรรถนะ MINI COOPER ใหม่กัน แบบถึงใจในสนามแห่งนี้ ซึ่งเป็นสนามแข่งรถที่บอกได้เลยว่า หากเผลอหรือประมาทเมื่อไหร่ โค้งเกือบทุกโค้งของที่นี่ ทำให้คุณ... สยอง... แน่นอน

---

• เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Twin Power Turbo ขนาด 2.0 ลิตร
• กำลังสูงสุด: 192 แรงม้า @ 4700-6000รอบต่อนาที / แรงบิดสูงสุด 280
• นิวตันเมตร @ 1250 รอบต่อนาที
• ความเร็วสูงสุด: 233 กิโลเมตร/ชั่วโมง
• อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 6.7 วินาที
• อัตราสิ้นเปลือง: 18.5 กิโลเมตร/ลิตร
• ราคาจำหน่าย: 2.84 ล้านบาท

และแน่นอนครับ รุ่นที่ผมเลือกขับต้องเป็นรุ่นท็อปสุดอยู่แล้วนั่นคือ MINI COOPER S ที่เป็นที่สุดในตระกูลรถ MINI ทั้งในเรื่องสมรรถนะ ออปชั่น รวมไปถึงราคาด้วย แต่รุ่นอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ ทั้งรุ่น Cooper ธรรมดาที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาด 1,500 ซีซี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ MINI ที่นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ 3 สูบมาใช้ และรุ่น COOPER D ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร โดยเครื่องยนต์ใน MINI COOPER ใหม่ทุกรุ่นนี้ มีพละกำลังมากกว่ารุ่นเดิมทั้งสิ้น ก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือความกว้างขวางภายในห้องโดยสารที่ “กว้างและสูง” กว่าMINI COOPER S รุ่นเดิมอย่างรู้สึกได้ครับ โดยเฉพาะเบาะนั่งคู่หน้า ที่แม้ว่าจะมีทั้งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องใกล้ชิดแบบไหล่ชิดไหล่อะไรกันให้น่ารำคาญมากนัก ส่วนเบาะนั่งตอนหลังก็ใหญ่พอที่ให้ผู้โดยสาร “ยืดขา” ได้ แบบไม่ต้องทนนั่งเข่าชิดอกเหมือนเดิมแล้ว เรียกว่า MINI COOPER Sใหม่นี้ “รักเพื่อน” ให้ร่วมเดินทางไปแบบคราวเดียว 4 คนได้แล้ว ไม่ “ใจแคบ” เหมือนรุ่นเดิมที่นั่งหน้าได้แค่ 2 คน ส่วนที่นั่งตอนหลังไว้เก็บของดีกว่า นอกจากตื่นตาตื่นใจกับความกว้างขวางภายในห้องโดยสารแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมตาโตอีกอย่างคือจอแสดงผลตรงกลางคอนโซลหน้า ที่มีรูปทรงวงกลมเหมือนนาฬิกาแขวนผนังขนาด 8.8 นิ้ว (รุ่น COOPER และ COOPER D มีจอขนาด 6.5 นิ้ว) ที่ทำหน้าที่แสนจะไฮเทค ด้วยการแสดงผลเกี่ยวกับฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถ ต่างจากรุ่นเดิมที่เจ้าจอแสดงผลนี้ ทำหน้าที่เป็นแค่มาตรวัดรอบเครื่องยนต์นาฬิกาเท่านั้น เพราะเจ้าจอแสดงผลนี้เอง ทำให้ภายในของ MINI COOPER S ใหม่คันนี้ ดูแพรวพราว และทันสมัยขึ้นเป็นกองทีเดียว เพราะจอตัวนี้ยังทำหน้าที่แสดงแผนที่การนำทางได้อีกด้วย (มีในรุ่น COOPER S รุ่นเดียว) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วยนะครับที่ MINI มีระบบ MINI Navigator ติดมากับรถเลย แถมยังเทคโนโลยีไฟ LED ที่สามารถเปลี่ยนสีไฟรอบวงแหวนหน้าปัดสีต่างๆ ทั้งเขียว แดง ส้ม ตามลักษณะการขับอีกด้วย ชอบครับชอบ เท่ดี คราวนี้เรามาลองพิสูจน์พละกำลังของเจ้าหนูน้อยคันนี้เสียหน่อยว่า เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร TwinPower Turbo เร้าใจมากแค่ไหน กดปุ่มสตาร์ทกันเลยครับ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มจากท่อไอเสียคู่ด้านหลัง ฟังดูสะใจดีมากครับ ดุดันใช้ได้ ตำแหน่งเกียร์ คำสั่งต่างๆ ของระบบขับเคลื่อนหมือนรุ่นเดิมครับ ง่ายต่อการทำความเข้าใจ จะมีก็แต่ปุ่มปรับเปลี่ยนโหมดการขับที่เป็นวงแหวนอยู่บริเวณโคนแป้นเกียร์ ที่สามารถเลือกโหมดการขับได้ 3 รูปแบบคือ mid mode, sport mode และ green mode ว้าว สะใจกันไปเลยครับ อยากขับแบบประหยัดก็ไป green mode ขับธรรมดาๆ ก็ mid mode อยากซิ่งก็จบที่ SPORT MODE เริ่มเลยครับ ขอเริ่มต้นที่ mid mode ดีกว่าครับ เข้าเกียร์ D รถเคลื่อนตัวออกอย่างนิ่มนวล แต่ถ้าเผลอกดคันเร่งหนักไปละก็ หลังติดเบาะนะครับ ไว้ใจไม่ได้จริงๆ กับม้า 192 ตัวที่อยู่ในห้องเครื่องเล็กๆ อย่างนี้ อัตราเร่งของเครื่องยนต์แม้ว่าจะอยู่ในโหมด mid ก็เหลือเฟือแล้ว แตะคันเร่งเบาๆ รถก็พุ่งไปได้อย่างที่ใจต้องการแล้วครับ แต่ที่น่าประทับใจ และทำให้ผมต้องร้องว้าววววว..... ก็คือระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ ไม่กระด้างเหมือนกับรุ่นก่อนที่กระเด้งกระดอนไปตามๆ กัน เมื่อช่วงล่างขับผ่านพื้นถนนที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งทางเรียบคุณก็จะยังรู้สึกถึงความแข็งของช่วงล่าง แต่ช่วงล่างของ MINI COOPER S ใหม่นี้ บอกได้เลยว่านุ่มขึ้นมากครับ สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันได้แบบ “ยิ้มได้” และผมเชื่อว่าช่วงล่างที่นุ่มนวลขึ้นจะทำให้ MINI ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มผู้หญิงที่แต่เดิมเคยขยาดกับช่วงล่างของ MINI ที่ทำให้ตับ ไต ใส้ พุง อยู่รวมกันเป็นก้อนเดียว แต่ใช่ว่าเฉพาะช่วงล่างที่นุ่มนวลขึ้น ความหนึบของ MINI COOPER S ก็ยังไว้ใจได้เหมือนเดิม ขับโหมด mid มาได้ 100 กว่ากิโลเมตรก็มาถึงสนามแก่งกระจานเซอร์กิตเสียที คราวนี้ได้ปรับโหมดเป็น sport mode ให้ได้สะใจเสียที ความรู้สึกดุดันของเครื่องยนต์ และความแข็งของช่วงล่างแสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดเมื่ออยู่ในโหมดการขับนี้ ความเร็วจะตอบสนองอย่างรวดเร็วผ่านน้ำหนักของเท้าที่อยู่บนคันเร่ง กดเป็นพุ่ง ผ่อนเป็นเบา พวงมาลัยแม่นยำมากครับ ช่วงล่างที่แข็งขึ้นทำให้การทรงตัวของรถอยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ แม้เมื่อรถเสียการทรงตัว ก็สามารถแก้อาการของรถได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อัตราเร่งของเครื่องยนต์ บอกเลยครับ ในระดับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรไม่ต้องไปหาคู่แข่งในตลาด ช่วงล่างที่ทั้งนุ่มและหนึบ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ใครชอบทั้งความแรง ความนุ่มนวล ความไม่เหมือนใคร MINI COOPER S ใหม่ ไม่ผิดหวังครับ...