Giuseppe Crippa ตัดสินใจรับเงินชดเชยจาก STMicroelectronics (STM) ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติฝรั่งเศส-อิตาลีในปี 1995 เพื่อยุติอาชีพการทำงาน 35 ปี และเดินหน้าคว้าโอกาสเริ่มต้นธุรกิจของตนเองนับตั้งแต่นั้นมา
Stefano Felici ซีอีโอ Technoprobe และหลานชายผู้ก่อตั้ง Giuseppe Crippa
Giuseppe Crippa วัย 60 ปี เริ่มต้นธุรกิจที่เคยวาดฝันไว้มาตลอด 6 ปี ด้วยการก่อตั้งบริษัท
Technoprobe ขึ้นในเมืองเล็กๆ นอก Milan เพื่อผลิต Probe Card อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบการทำงานของไมโครชิป ซึ่ง 15 ปีต่อมาก็ได้จัดจำหน่ายให้กับอดีตนายจ้างของเขา
ด้าน
Stefano Felici ซีอีโอ Technoprobe และหลานชายของ Crippa กล่าวว่า
"เขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก" ในการสัมภาษณ์ผ่าน Zoom เมื่อต้นเดือนมีนาคมจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทในอิตาลีตอนเหนือ
“ในการซ่อม probe card แต่ละครั้ง คุณต้องส่งไปที่สหรัฐฯ และใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงคิดขั้นตอนในการทำขึ้นในครัวของเขาเองเลย”
27 ปีหลังจากการก่อตั้ง Technoprobe ได้ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 2 ผู้ผลิต probe card ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งมอบให้กับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Qualcomm, Samsung และ Nvidia รวมถึงผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เช่น AMD, Intel และ TSMC
เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์สมัยใหม่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ชิปแต่ละตัวจึงต้องใช้ probe card ของตัวเองเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและแก้ไขปัญหาที่พบ เพื่อที่จะสามารถผลิตชิปให้ได้ในจำนวนมาก และส่งไปบรรจุในสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด
ปัจจุบัน probe card ประกอบไปด้วยหมุดโลหะมากถึง 50,000 เล่ม "ปรียบเสมือนการฝังเข็ม" Amanda Scarnati นักวิเคราะห์จาก Citigroup ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านเซมิคอนดักเตอร์และ probe card กล่าว “เข็มที่เล็กและบางมากเหล่านี้วางลงบนชิปและทำให้เราแน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ดี"
ปีที่แล้ว Technoprobe แซงหน้าคู่แข่งชั้นนำอย่าง
FormFactor ของ Livermore ใน California ด้วยรายได้สุทธิ 136 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากรายได้ 446 ล้านเหรียญในปี 2021 ทำลายสถิติรายได้ 436 ล้านเหรียญของ FormFactor ที่เคยสร้างไว้
ปัจจุบัน Technoprobe อยู่ภายใต้การบริหารงานของหลานชายและลูกชายของ Crippa ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอและประธานบริษัทตามลำดับ และเพิ่งใช้ประโยชน์จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีล่าสุด เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Growth Milan ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ยังได้เปลี่ยนสถานะของ Crippa ในวัย 87 และครอบครัว ให้เป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอิตาลี ด้วยมูลค่าทรัพย์สินราว 4 พันล้านเหรียญจากสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 75 ในบริษัท ร่วมทัพกับอีก 8 มหาเศรษฐีหน้าใหม่แห่งปีอย่าง
Marvy Finger และ
William Franke ที่ต่างมีอายุ 80 ปีขึ้นไปเช่นกัน
“คุณกำลังนำชิปหลายๆ ชิ้นมาเรียงชิดกันเพื่อให้สมาร์ทโฟนของคุณมีขนาดเล็กลง บางลง และเบาขึ้น” Scarnati กล่าว
"คุณต้องทดสอบชิ้นส่วนทั้งหมด และนั่นหมายความว่าคุณต้องการ probe card เพิ่ม”
ด้าน Crippa เกิดในเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Milan ในปี 1935 และเติบโตขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฉะนั้นวัยเด็กของเขาจึงข้องเกี่ยวกับการหลบภัยและการโจมตีทางอากาศในฐานหลบภัยใต้ตึกอะพาร์ตเมนต์ที่เขาและครอบครัวอาศัยอยู่บ่อยครั้ง
“เพื่อคลายความตึงเครียด ฉันและเด็กๆ คนอื่นๆ จะแจกขนมให้ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่กับเราในขณะที่เรากำลังรอความชัดเจนจากหลายๆ ฝ่าย” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น Merate Online ในเดือนมิถุนายน
หลังสงครามจบสิ้น Crippa เข้าเรียนที่โรงเรียนเทคนิคแห่งหนึ่งใน
Bergamo และเริ่มงานแรกที่บริษัทวิศวกรรม
Breda ก่อนที่จะเริ่มสนใจในโลกของไมโครชิปเป็นครั้งแรกในปี 1960 ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 25 ปี และเริ่มทำงานให้กับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์
SGS หลังจากเห็นประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์ Corriere Della Sera
ในปีเดียวกันนั้น SGS ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ
Fairchild Semiconductor ซึ่งก่อตั้งเมื่อ 5 ปีก่อนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Gordon Moore ต่อมาในปี 1962 SGS ได้ตัดสินใจส่ง Crippa ไปที่ Silicon Valley เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีของบริษัทต่างๆ และนำกลับมาประยุกต์ใช้ในงานที่อิตาลี เพื่อเปิดสายการผลิตทรานซิสเตอร์ซิลิคอนสายแรกในยุโรปในปี 1963 ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ
STM
หลายทศวรรษต่อมา เงินชดเชยที่ได้รับจากการเลิกจ้างของ STM ได้กลายเป็นใบเบิกทางให้ Crippa ก่อตั้ง Technoprobe อย่างเป็นทางการ ร่วมกับพนักงานประมาณ 10 คน ก่อนที่สมาชิกในครอบครัวรายอื่นๆ จะเข้าร่วมด้วย
Technoprobe เติบโตอย่างรวดเร็ว และได้ขยายไปยังฝรั่งเศสในปี 2001 และสิงคโปร์ในปี 2004 ไม่เพียงเท่านี้ 4 ทศวรรษหลังจากที่เขาเดินทางไป Golden Crippa ก็ได้ส่งหลานชายของเขา Felici
ไปแคลิฟอร์เนียเพื่อเปิดสำนักงานแห่งแรกในสหรัฐฯ ในเมือง San Jose ในปี 2007 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่บริษัทเริ่มพัฒนา probe card ขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูงขึ้นภายในองค์กร
ในปี 2019 บริษัทได้เริ่มดำเนินการตามแผนการลงทุนมูลค่า 100 ล้านเหรียญ เพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาด โดยใช้เงิน 40 ล้านเหรียญเพื่อซื้อ
Van Nuys ซึ่งเป็นบริษัทไมโครแฟบริกาใน California ซึ่งผลิตส่วนประกอบที่พิมพ์ 3 มิติสำหรับ probe card
"เราผนวกเทคโนโลยีของพวกเขาเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยให้เราสามารถขยายช่องว่างกับคู่แข่งรายอื่นๆ ของเราได้" Felici กล่าว
นอกจากนี้ Felici ยังชี้ว่าให้เห็นว่า ความซับซ้อนที่มากขึ้นของรถยนต์ ซึ่งประกอบไปด้วยแท็บเล็ตและหน้าจอสัมผัส เป็นหนึ่งในหลายสาเหตุสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรม
"ตอนนี้รถยนต์มีคอมพิวเตอร์และกราฟิกการ์ด...และชิปเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการทดสอบ นั่นหมายถึงธุรกิจของเราจะมีการเติบโตมากขึ้น"
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ How To Become A Billionaire At 87
เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
Lee Su-jin อดีตพนักงานโรงแรมสู่ผู้ก่อตั้งซูเปอร์แอปด้านการท่องเที่ยว Yanolja