<h2><span style="font-family: Prompt, sans-serif; font-size: 20px; text-align: var(--bs-body-text-align);">เพิ่มความมั่นใจในทุกรอบเดือนไปกับ&nbsp;</span><span style="font-family: Prompt, sans-serif; font-size: 20px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Forbes 30 Under 30 บทความนี้เรามาพร้อมกับ</span>คำอธิบายที่สั้น กระชับ ได้ใจความ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เหล่านักธุรกิจหญิงคนรุ่นใหม่ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์สาวๆ โดยเฉพาะ ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบายและสุขอนามันในช่วงเวลาที่มี "รอบเดือน"&nbsp;</h2><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/btznSELYPUAg3ZrrGyhK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="btznSELYPUAg3ZrrGyhK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>ซ้าย: Jamie Norwood ผู้ร่วมก่อตั้ง Stix</div></figcaption></figure></div><p style="text-align: center;"><strong>Jamie Norwood อายุ 29 ปี <br></strong><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">ผู้ร่วมก่อตั้ง STIX</strong><strong><br></strong></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบรนด์สินค้าสุขอนามัยการเจริญพันธุ์ของ Norwood (ระดมทุนได้ 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จัดจำหน่ายชุดทดสอบการตั้งครรภ์ การตกไข่ และการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (UTI) ผ่านออนไลน์ให้กับลูกค้ากว่า 100,000 ราย Stix แจกยาคุมกำเนิดฉุกเฉินให้กับผู้หญิงที่มีฐานะยากจนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหลังศาลมีคำพิพากษาในคดี Roe v. Wade</span></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/wMcmT1SBgVs7Mf3MbCH9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wMcmT1SBgVs7Mf3MbCH9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div style="text-align: center;"><span style="color: inherit; font-size: 30px; font-weight: var(--bs-body-font-weight); text-align: var(--bs-body-text-align);">ซ้าย:&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68);">Bunny Ghatrora&nbsp;ผู้ร่วมก่อตั้ง BLUME</span></span></div></figcaption></figure></div><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;">​</span></p><p style="text-align: center;"><strong>Bunny Ghatrora อายุ 28 ปี</strong></p><p style="text-align: center;"><strong>ผู้ร่วมก่อตั้ง BLUME</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณต้องเจอกับปัญหาเมื่อเริ่มก้าวเข้าสู่วัยสาวไหม? Blume ผลิตผ้าอนามัย ผ้าอนามัยแบบสอด ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ทำความสะอาดผิวหน้า และรักษาสิวสำหรับสาวรุ่นที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย Blume ระดมทุนได้ 5 ล้านเหรียญ โดยบริษัทมีมูลค่าประเมินอยู่ที่ 14 ล้านเหรียญ</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" style="width: 75%; min-width: 100%;" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/LAqhZJqj361KGyprxJ4f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LAqhZJqj361KGyprxJ4f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="2"><figcaption><div>Claire Coder ผู้ก่อตั้ง Aunt Flow</div></figcaption></figure></div><p style="text-align: center;"><strong>Claire Coder อายุ 25 ปี <br>ผู้ก่อตั้ง AUNT FLOW</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้หญิงวัยมีประจำเดือนหลายล้านคนโล่งใจขึ้นเมื่อ Google, Netflix และบริษัทอื่นๆ อีก 500 แห่งว่าจ้างบริษัทใน Columbus, Ohio อย่าง Aunt Flow ให้ติดตั้งเครื่องจ่ายผ้าอนามัยและผ้าอนามัยแบบสอดฟรีในห้องน้ำบริษัทของตน Aunt Flow ระดมเงินทุนได้ 13 ล้านเหรียญ</p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/yzmCrFZaaDek8iS88Gm3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yzmCrFZaaDek8iS88Gm3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"><figcaption><span style="color: rgb(68, 68, 68)">Greta Meyer และ&nbsp;Amanda Calabrese&nbsp;ผู้ร่วมก่อตั้ง Sequel</span></figcaption></figure></div><p style="text-align: center;"><strong>Greta Meyer อายุ 25 ปี <br>Amanda Calabrese อายุ 25 ปี <br>ผู้ร่วมก่อตั้ง Sequel</strong><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บัณฑิตสาขาวิศวกรรมศาสตร์จาก Stanford คู่นี้กำลังใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวน 5 ล้านเหรียญคิดค้นผลิตผ้าอนามัยขึ้นมาใหม่เป็นแบบสอดรูปทรงกรวยที่สามารถรองรับประจำเดือนได้ทั่วถึงมากขึ้น คาดว่าผ้าอนามัยแบบใหม่นี้จะได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ภายในปีนี้</p><p><br></p><p>เรื่อง: 30 Under 30 โดย: KRISTIN STOLLER&nbsp;</p><p>เรียบเรียง: ริศา ภาพประกอบ: Diego Patino&nbsp;<br></p><p><br></p><p><br></p><p><span style="color: rgb(68, 68, 68)">อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/technology/neil-davidson-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99-coda-payments-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81" alt="Neil Davidson ดัน Coda Payments สำหรับเกมออนไลน์รุกตลาดใหม่ทั่วโลก">Neil Davidson ดัน Coda Payments สำหรับเกมออนไลน์รุกตลาดใหม่ทั่วโลก</a><br><a href="https://forbesthailand.com/world/technology/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C" alt="ต่อท่อเชื่อมคลาวด์"></a></span></p><hr class="__se__solid"><p>​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/1381118a-b359-4419-b6ed-b94da33a06cc/april-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/kmGWmjftq8gTEYZPwnBF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="kmGWmjftq8gTEYZPwnBF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="150,197" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="4"></figure></div>

"นักธุรกิจหญิง" คนรุ่นใหม่กับผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์สาวๆ ในช่วงมี "รอบเดือน"

<h2>ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาฯ ขยับแตกไลน์ธุรกิจศูนย์การค้าและโรงแรมในนาม LHMH ดึงนักบริหารมือทองต่อยอดความสำเร็จเทอร์มินอล 21 และแกรนด์เซนเตอร์พอยต์ก้าวข้ามทศวรรษใหม่ พร้อมใช้ตลาดทุนเสริมฐานสร้างชื่อโรงแรมสัญชาติไทยทั่วประเทศ</h2>
บนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความเชี่ยวชาญด้านการเงินและการบริหารของพนักงานบัญชีที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตทำงานภายใต้หลังคาแลนด์แอนด์เฮ้าส์ด้วยความรู้ความสามารถอันโดดเด่นพร้อมสร้างผลงานอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งได้รับรางวัล Best CFO ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง และรับเหมา อย่างต่อเนื่อง 3 ปีซ้อนจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

“หลังจบบัญชี จุฬาฯ เราอยู่บริษัทไฟแนนซ์แค่ 2 เดือนก่อนสมัครงานทำบัญชีกับกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ประมาณ 5 ปีจึงทำงานด้านเครดิตฟองซิเอร์ที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประมาณ 10 กว่าปี จนควอลิตี้เฮ้าส์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เราจึงเข้ามาช่วยนำบริษัทจดทะเบียนได้สำเร็จในปี 2534 โดยได้รับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการและซีเอฟโอ ทำงานระยะเวลามากกว่า20 ปี จึงเกษียณอายุในปี 2558” <strong>สุวรรณา พุทธประสาท</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) วัย 63 ปีเริ่มต้นเล่าถึงการทำงานตลอดช่วงชีวิตที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่

จากประสบการณ์ที่สั่งสมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และความสามารถด้านการบริหาร ทำให้สุวรรณาได้รับเทียบเชิญให้นั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัทย่อยในเครือของกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ทั้งศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 (Terminal 21) และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ (Grande Centre Point)

“การเรียนบัญชี และต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ รวมถึงพื้นฐานครอบครัวทำกิจการค้าขาย ทำให้เราสามารถต่อยอดความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้การทำงานปัจจุบันจะแตกต่างจากงานด้านบัญชีและการเงินที่เป็นเรื่องผลประกอบการปลายทาง ส่วนศูนย์การค้าหรือโรงแรมเป็นรายได้ต้นน้ำ แต่เราสนุกที่ได้เรียนรู้และติดตามสถานการณ์ เวลาเราจับเรื่องอะไร เราต้องรักในงานนั้นก่อนและพยายามครีเอท 1+1 ผลลัพธ์ต้องได้มากกว่า 2”

กลยุทธ์การบริหารโรงแรมในเครือของสุวรรณาจึงเน้นไปที่การต่อยอดวิธีคิดใหม่ในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการบริการและคำนึงถึงความคุ้มค่า ในคอนเซปท์ “Grande your stay” ด้วยการลงทุนด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ประทับใจในการเข้าพักมากที่สุด เช่น การเป็นโรงแรมแห่งแรกที่ให้บริการ Internet Wi-Fi ฟรีทุกพื้นที่ของโรงแรม การให้บริการมินิบาร์ฟรีในห้องพักทุกวัน และการจัดน้ำดื่มให้บริการจำนวนมากกว่าโรงแรมอื่นเท่าตัว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cced75321e9a3a8c70fff8488b2b40ca.png" alt="" />

“เรากล้าพูดว่าเราเป็นแบรนด์คนไทย top 5 ไม่รวมเชนจากต่างประเทศที่บริหารแบบมืออาชีพ โดยตั้งธงว่าเราเป็นแบรนด์คนไทยที่ต้องการให้ลูกค้ามีประสบการณ์สัมผัสความเป็นไทยผ่านการออกแบบ วัฒนธรรมการบริการ และอาหารไทย รวมทั้ง การทำให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้ง่ายและสะดวกขึ้นผ่านเทคโนโลยีเช่นเดียวกับธุรกิจทั่วโลกโดยเราได้ปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานได้ง่าย”
<h3>REIT หนุนลงทุนต่อเนื่อง</h3>
ภายใต้โจทย์ธุรกิจที่ได้รับในการทำให้บริษัทย่อยในกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งด้านการเงินและการลงทุนผ่านทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 (LHSC) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ประกอบด้วยโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ อโศกและราชดำริ โดยมีโรงแรม แกรนด์เซนเตอร์ พอยต์ เพลินจิต เป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ LHPF-II

สุวรรณากล่าวถึงแผนขยายฐานธุรกิจผ่านตลาดทุนโดยเตรียมนำโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 เข้ารวมในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอชโฮเทล ช่วงปลายปีนี้

ส่วนโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกในเครือที่ขยายออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ และกำลังจะเปิดตัวในปีนี้น่าจะสามารถนำเข้ากองทุนหลังจากดำเนินการสร้างรายได้ประมาณ 3 ปี โดยสุวรรณามั่นใจในจุดเด่นของโรงแรมที่อยู่ติดกับศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยาทำเลพัทยาเหนือ

<strong>“แม้การแข่งขันในพัทยาจะรุนแรง แต่10 ปีทำให้เรารู้ position ตัวเอง กลุ่มลูกค้าและคู่แข่งของเราเป็นใคร ซึ่งโมเดลการบริหารที่พัทยาจะคล้ายกับกรุงเทพฯ โดยศูนย์การค้าจะเป็นตัวเสริมให้โรงแรมมีศักยภาพมากขึ้น”</strong>

นอกจากนั้น บริษัทยังเดินหน้าแผนการลงทุนโรงแรม และศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่องรวมงบลงทุนราว 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2562-2564 โดยเริ่มจากศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พระราม 3 (Terminal 21 Harbor RAMAIII) และแผนการเปิดโรงแรมปีละแห่งทั้งกรุงเทพฯ และในจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว รวมถึงอาคารสำนักงานให้เช่าซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจและศึกษาที่ดินทำเลทองใจกลางเมือง ด้านการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศสุวรรณาให้ความสนใจประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มการเติบโตเช่น กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f4aff3b8f33bc4955e22b664b056e504.png" alt="" />

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มแอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล ประกอบด้วย ศูนย์การค้าเทอร์มินอลอโศก และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์4 แห่ง ได้แก่ ราชดำริ เทอร์มินอล 21 เพลินจิต และสุขุมวิท 55 รวมถึงแผนเปิดเทอร์มินอล พัทยา และโรงแรมแกรนด์เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา รวมโรงแรมในกลุ่ม 5 แห่ง จำนวนห้องพักกว่า 2,100 ห้องสำหรับรายได้รวมเฉพาะกลุ่มโรงแรมประมาณ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ประมาณ 30% และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 85% โดยคาดว่ากลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีนี้

จากภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ด้วยเป้าหมายรายได้ปีนี้ประมาณ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ เกาหลี รวมถึงไต้หวัน มาเลเซีย พร้อมทั้งคาดว่าจะมีลูกค้าจากภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้น เช่น สหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์และสหรัฐอเมริกา

<strong>“สัดส่วนจากโรงแรมในปัจจุบันยังมากกว่าศูนย์การค้าประมาณ 90:10 เนื่องจากศูนย์การค้าของเรายังมีแห่งเดียวและนำเข้ากองทุนแล้ว จึงมีรายได้เฉพาะจากการบริหารแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด และเทอร์มินอล นครราชสีมาซึ่งปลายปีนี้จะมีการเปิดเทอร์มินอล พัทยาและยังไม่นำเข้ากองทุน จะทำให้รายได้จากศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเป็น 40:60”</strong>

ขณะที่หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมายในมุมมองของซีอีโอมือทองอยู่ที่บุคลากรภายในและภายนอกองค์กร โดยเฉพาะพนักงานในศูนย์การค้าและโรงแรม ซึ่งต้องมีใจรักงานด้านการบริการหรือ service mind เพื่อส่งมอบการบริการที่ดีตามความคาดหวังและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ รวมถึงการฝึกอบรมเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานและถ่ายทอดทักษะความรู้ระหว่างพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“โรงแรมและศูนย์การค้ามีพนักงานรวมกันมากกว่า 600 คน และจะเพิ่มเป็น 700 คนในสิ้นปีนี้ โดยเราเน้นการดูแลพนักงานทุกคนให้อยู่เย็นเป็นสุขทั้งรายได้สุขภาพกายใจ สันทนาการ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบพี่น้อง รวมถึงการเทรนนิ่งพัฒนาคุณภาพ เพื่อให้มีความพร้อมบริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี”

<em>ภาพ: อรรคพล คำภูแสน</em>

<hr />

<a href="https://goo.gl/AcjWXL">คลิกอ่าน "สุวรรณา พุทธประสาท ปั้นโรงแรมแบรนด์ไทยเครือ LH" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/AcjWXL"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2545e71c2cb14faa6f01ed8584cc5dca.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events