<h2>ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2565) ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หรือ medical tourism ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาชาติที่รัฐบาลผลักดันให้เกิดอย่างเต็มที่ แต่กลับต้องมาหยุดชะงักลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และในต้นปี 2566 เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดค่อยๆ ดีขึ้น ธุรกิจนี้จึงค่อยๆ กลับเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลของ Allied Market Research ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2570 medical tourism ทั่วโลกจะมีขนาดตลาดประมาณ 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 18 เท่าของ GDP ของประเทศไทย มากไปกว่านั้นในครั้งนี้เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคอยู่หลายเรื่องดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริโภคมีความตื่นตัวในเรื่องของการมีสุขภาพดีแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ (wellness) กันมากขึ้น จึงเริ่มปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเป็นแบบ healthy lifestyle ที่ดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกายควบคู่กันไปด้วย ซึ่งในประเทศไทยก็มีคอร์สทางเลือกมากมายรองรับ เช่น แพ็กเกจเที่ยวสถานที่ทางธรรมชาติไปพร้อมกับการเล่นโยคะและการนวดแผนไทย ซึ่งเหมาะกับการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพที่สามารถพักผ่อนและดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกให้ดีไปพร้อมกันได้&nbsp; &nbsp;&nbsp;รวมทั้งยังเหมาะกับผู้บริโภคบางกลุ่มที่ต้องการบรรยากาศหรือธรรมชาติช่วยส่งเสริมในการบำบัด เช่น การเข้าแคมป์ลดน้ำหนักที่เกาะสมุย และการฟื้นฟูสุขภาพเพื่อเลิกการเสพติดบุหรี่บนภูเขาในเชียงใหม่ เป็นต้น&nbsp; &nbsp;&nbsp;การมาถึงอย่างรวดเร็วและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นของ telemedicine หรือการปรึกษาแพทย์ทางไกล ซึ่งมีข้อดีคือ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคในเรื่องของการเดินทาง ลดชั่วโมงการรอคิว ลดภาระที่ผู้ป่วยต้องลำบากเดินทางออกจากบ้าน และลดความแออัดภายในโรงพยาบาล ซึ่งเทคโนโลยีด้าน telemedicine จะเข้ามาปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการหาหมอของคนไทยในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริโภคสนใจเรื่องการรับรองมาตรฐานสถานพยาบาลมากขึ้นทั้ง JCI และ AACI ซึ่งการที่ได้รับรองมาตรฐานหรือเป็นที่ยอมรับโดยองค์กรต่างๆ นั้นทำให้สถานพยาบาลในไทยเริ่มปรับมุมมองการให้บริการทางการแพทย์ที่จะต้องให้บริการในราคาถูกอย่างเดียว เป็นการแพทย์ที่ได้มาตรฐานโลกแทน แต่ยังคงไว้ซึ่งราคาที่ยุติธรรมที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ตลาด medical tourism ดูมีแนวโน้มจะเติบโตไวและสูงขึ้นมากในประเทศไทย จากการวิจัยโดย Johns Hopkins University ได้ให้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลก หรือที่ 1 ของเอเชีย จาก 195 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในเรื่องดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพซึ่งติดอันดับที่ 2 ของโลกจากการโหวตให้เป็นประเทศเป้าหมายที่คนอยากมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากการจัดอันดับของ Wellness Tourism Initiative 2020&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามเราอาจจะต้องทำการบ้านมากขึ้น เพราะจากการจัดอันดับ Medical Tourism Index ในปี 2565 พบว่า นอกจากประเทศไทยจะไม่ติดท็อป 10 อย่างที่คิดแล้วยังหล่นลงไปอยู่ที่อันดับ 17 อีกด้วย โดยคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกคือ แคนาดา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประเทศจุดหมายปลายทางจริงๆ ที่คนเลือกไป)​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/k7Aim2vd8VvQ3zjdvmQj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="k7Aim2vd8VvQ3zjdvmQj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,341"></figure></div> โอกาสพัฒนาของประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเทศไทยเรายังมีโอกาสปรับปรุงหรือพัฒนาได้อีกหลายเรื่องเพื่อยกระดับการเป็นผู้นำในด้านนี้อย่างจริงจัง เพราะบริการ medical service ที่เน้นราคาถูกอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ซึ่งจริงๆ แล้วตลาด medical tourism ยังมีศักยภาพที่จะขยายออกไปได้อีกมากในการเข้าสู่ตลาดที่แอดวานซ์กว่านี้ เช่น การรักษามะเร็งระดับยีน การผ่าตัดสมอง และการรักษาโรคซับซ้อนบางอย่างที่ราคาสูง ซึ่งจากที่ได้กล่าวมาพบว่า ยังมีสิ่งที่เราต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายของตลาดเพิ่มขึ้นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างเช่น กฎระเบียบต่างๆ ของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัตินำเข้าอุปกรณ์การแพทย์และยา เพราะการจะเป็นผู้นำในด้านนี้เราต้องสามารถทำได้จริงๆ และไม่จำกัดแค่เพียงโรคพื้นฐาน เราต้องสามารถเข้าถึงการรักษาโรคที่ซับซ้อนหรือขั้นกว่าได้อีกด้วย แต่ในความเป็นจริงยังมียาอีกหลายรายการและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำหลายชนิดที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์มีใช้แล้ว แต่ไทยเรายังไม่มี เนื่องจากการขึ้นทะเบียนยาหรือเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทยนั้นมีความซับซ้อนและมีขั้นตอนหลายกระบวนการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบรับรองมาตรฐานสถานพยาบาล ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทำไปได้มากแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่ง เช่น คลินิกเสริมความงามต่างๆ ยังเป็นส่วนที่ควรมีการปรับปรุงอีกมาก ทั้งคลินิกเถื่อน หมอเถื่อน และการใช้ยาเถื่อน เพราะส่วนนี้เองมักทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง ซึ่งบางครั้งถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างชาติมักจะนำไปแปลข่าวอย่างต่อเนื่องเป็นทอดๆ จนภาพลักษณ์สถานพยาบาลทั้งประเทศมีความเสียหาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่บุคลากรเราใช้ภาษาอังกฤษได้แบบพื้นฐานเกินไป สื่อสารได้ระดับแค่ซื้อขายสินค้าและต้อนรับแบบง่ายๆ จะยังไม่เพียงพอสำหรับการสื่อสารที่ซับซ้อนในการรักษาพยาบาล เช่น การอธิบายการใช้ยา การปลอบใจคนไข้ และการอธิบายให้ญาติคนไข้ทางโทรศัพท์ฟังถึงอาการของญาติของเขา เป็นต้น&nbsp; &nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในฐานะประเทศที่ยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักแบบนี้ การพูดภาษาอังกฤษได้รวมถึงภาษาที่ 3 ที่สำคัญอีกหลายภาษา เช่น จีน สเปน เยอรมัน รัสเซีย ก็สามารถเป็นส่วนสำคัญในการสร้างจุดแข็งให้ประเทศไทยในระยะยาว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/strategies/people/cp-foton-nopadol-chiaravanont" alt="นพดล เจียรวนนท์ CP FOTON ปักธง Top 3 รถบรรทุก">นพดล เจียรวนนท์ CP FOTON ปักธง Top 3 รถบรรทุก</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/45e2f9e5-2f0f-459c-a701-432192052e12" alt="​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="320,420" data-index="1" data-rotatex="" data-rotatey="" style=""></figure></div>

โอกาสของไทยในการเป็นผู้นำ Medical Tourism ยุคหลังโควิด

<h2>ซิซซา กรุ๊ป เผยโควิด-19 ส่งผลภาครัฐ-เอกชน ตื่นตัวหันมาดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ ผู้ประกอบการ-นักธุรกิจรุ่นใหม่หันลงทุน MEDICAL SERVICE-อสังหาฯ พื้นที่ภูเก็ต-พังงา มากขึ้น หวังรองรับต่างชาติกลับคืน หลังเศรษฐกิจฟื้น</h2>
ล่าสุด ซิซซา กรุ๊ป เตรียมเปิดตัว “Life Clinic &amp; Well-Being Resort” ศูนย์ดูแลฟื้นฟูสุขภาพระดับพรีเมียมปลายปี 64 นี้ ผนึกกำลัง Partner ผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านการแพทย์-การบริหารโรงแรมจากต่างประเทศเสริมความแข็งแกร่ง

ภายใต้ชื่อโครงการ “นาใต้ เมดิคอล  เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต” สวนกระแสวิกฤต ลูกค้าต่างประเทศสนใจจองแพ็กเกจล่วงหน้า เข้ามาใช้บริการแล้ว ประมาณ 20 กรุ๊ป ส่วนอีก 2 เฟสที่เหลือ Medical Center- Resort ทยอยเปิดให้บริการในลำดับถัดไป หนุนนโยบายรัฐดึงต่างชาติที่มีศักยภาพพักระยะยาวในประเทศไทย

อรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อ
การลงทุนรูปแบบ “Investment Property” (IP) ชั้นนำของประเทศไทย และผู้บริหารโครงการเมกะโปรเจ็กต์ “นาใต้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต” (Natai Medical Center &amp; Resort) เปิดเผยว่า

จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดการตื่นตัวทั้งในภาครัฐและเอกชนในการหันมาดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ ตลอดจนทิศทางการลงทุนในธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนใน จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นชาวต่างชาติจะกลับมาลงทุนอสังหาฯ และใช้บริการธุรกิจอื่น โดยเฉพาะ “การให้บริการทางการแพทย์” (MEDICAL SERVICE) อย่างแน่นอน

ล่าสุดเตรียมเปิดตัว “Life Clinic &amp; Well-Being Resort” ศูนย์ดูแลฟื้นฟูสุขภาพระดับพรีเมียม ช่วงปลายปี 2564 นี้ ผนึกกำลัง Partner ผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านการแพทย์และการบริหารโรงแรมจากต่างประเทศเสริมความแข็งแกร่งให้โครงการฯ

“ที่ผ่านมาเริ่มเห็นนักลงทุนรุ่นใหม่จากกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ย้ายเงินลงทุนจากธุรกิจอื่น ไปลงทุนอสังหาฯ ในพื้นที่ภูเก็ต และพังงามากขึ้น ส่วนใหญ่จะสนใจพัฒนาในรูปแบบวิลล่า Condotel และ Wellness Hotel 
โดยจะเริ่มต้นจากโครงการขนาดเล็ก มูลค่าโครงการไม่เกิน 100 ล้านบาท เพราะมองว่าภูเก็ตมีศักยภาพในการฟื้นตัวเรื่องการท่องเที่ยวสูงหลังเหตุการณ์โควิดคลี่คลาย” อรรถนพ กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-52935" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/นาใต้-เมดิคอล-เซ็นเตอร์-แอนด์-รีสอร์ต07.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<img class="alignnone size-full wp-image-52934" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/นาใต้-เมดิคอล-เซ็นเตอร์-แอนด์-รีสอร์ต05.jpg" alt="" width="600" height="400" />

โดยธุรกิจ “การให้บริการทางการแพทย์” (MEDICAL SERVICE) ในพื้นที่ภูเก็ต และพังงา ที่ลงทุนโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ มีเพียง 2-3 ราย ทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยหนึ่งในจำนวนดังกล่าวคือ “นาใต้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต”  ซึ่งในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ธุรกิจเมดิคัลของบริษัทฯ กลับสวนกระแส มีชาวต่างชาติสนใจจองแพ็กเกจล่วงหน้า เพื่อเข้ามาใช้บริการบ้างแล้ว ประมาณ 20 กรุ๊ป อาทิ คาซัคสถาน รัสเซีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์

เมื่อปลายปี 2563 ทางบริษัทฯ ได้เปิดโรงแรมนาใต้ บีช รีสอร์ต แอนด์ สปา และในปลายปีนี้ทางบริษัทมีแผนที่จะเปิด Medical Service ส่วนที่ 1 คือ : Life Clinic &amp; Well-Being Resort เป็นศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพระดับพรีเมียมควบคู่กับรีสอร์ต หรูระดับ 6 ดาว ที่ประกอบไปด้วย 12 ยูนิต

โดยแต่ละหลังมีความพิเศษคือออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก พร้อมห้องอาหารบริการในคอนเซ็ปต์  Farm to Table และ Sea to Table มีเชฟมืออาชีพดีกรีระดับมิชลิน พร้อมเชฟด้านการบูรณาการสุขภาพระดับสากล

ในส่วนบริการของศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพระดับพรีเมียม เช่น การวินิจฉัยโรคแบบเชิงลึกเพื่อออกแบบโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล เวชศาสตร์ป้องกัน โดยมีการประยุกต์ความรู้ทุกด้านนำมาใช้ร่วมกันแบบองค์รวม เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกให้กับแขกที่เข้ารับบริการ เป็นต้น

สำหรับอีก 2 ส่วน คาดว่าจะทยอยเปิดให้บริการได้ในเฟสถัดไป คือ Medical Center ศูนย์การแพทย์พร้อมบริการผ่าตัดทางการแพทย์และการวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อาทิ ศาสตร์ทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายในสู่ภายนอกแบบองค์รวม เวชศาสตร์การกีฬา Anti-Aging บริการ IVF ศูนย์กัญชาบำบัด และการดูแลสุขภาพเพื่อก้าวสู่ยุคหลังวิกฤตโควิด-19 เป็นต้น

อีกส่วนคือด้าน Resort มีการปรับปรุงส่วนรีสอร์ตและขยายเพิ่ม พร้อมยกระดับมาตรฐานเป็นโรงแรม 5 ดาวริมหาดนาใต้ โดยมีห้องพักและพูลวิลล่า รวมของเดิมทั้งสิ้น 177 ยูนิต พร้อมกิจกรรมต่างๆ อาทิ โยคะริมหาด บริการสปาเพื่อผ่อนคลาย ห้องออกกำลังกาย พายเรือคายัค เป็นต้น

ตลอดจนบริการห้องอาหาร 6 สไตล์ ทั้งไทย ซีฟู้ด อาเชียน ตะวันตก ฯลฯ ที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้การพักผ่อนเป็นที่น่าจดจำ อีกทั้งยังมีโครงการจะขยายโรงแรมเพื่อผลักดันให้เป็น Mice Hotel เพื่อรองรับสำหรับการจัดสัมมนาขนาดใหญ่อีกด้วย
<h3>ผนึกผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ</h3>
นอกเหนือจากนี้ ยังผนึกกำลังกับทีมบริหารผู้เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ คือ ดร.คริสโตเฟอร์ เจนเซ่น กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ ดีกรีแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานด้านเวชศาสตร์ขั้นสูง และมีประสบการณ์การทำงานในองค์กรธุรกิจมานานกว่า 20 ปี

รวมถึงผู้บริหารผู้เชี่ยวชาญฝั่งโรงแรม เกร็ก แฮร์ริสัน ผู้จัดการทั่วไป หนึ่งในมืออาชีพด้านการบริหารธุรกิจโรงแรมระดับโลกที่มีผลงานความสำเร็จ อันโดดเด่น พร้อมด้วยประสบการณ์การปฏิบัติงานหลากหลายทั้งในฝ่ายบริการและฝ่ายการเงิน

มานั่งทีมบริหารเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการนาใต้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต ทั้งในด้านการให้บริการทางการแพทย์ระดับเวิล์ดคลาสและการให้บริการโรงแรม ตามแบบฉบับมาตรฐานโรงแรม 6 ดาวอย่างแท้จริง

อรรถนพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีแผนที่จะดึงนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง
4 กลุ่มเป้าหมายหลัก ด้วยการมอบ 7 สิทธิพิเศษ หวังดึงดูดผู้พำนักระยะยาวกว่า 1 ล้านราย เข้าสู่ประเทศไทย เพื่อเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาท และมีเม็ดเงินจากการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาท จะช่วยธุรกิจเมดิคัลได้มาก

แม้ว่าจะมีกลุ่มบุคคลบางส่วนที่ออกมาคัดค้านว่า จะทำให้ชาวต่างชาติมาแย่งที่อยู่คนไทย แต่ตนมองว่า ภาครัฐ คงมีการตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวดี และคงต้องมีการแบ่งแยกให้ชาวต่างชาติ อยู่อาศัยเป็นโซน และจำกัดพื้นที่ จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่จะแย่งที่อยู่อาศัยคนไทย

“การที่มีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองไทย จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน เพิ่มมูลค่าการจัดเก็บภาษี และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ รวมไปถึงจะได้ผู้เชี่ยวชาญงานด้านต่างๆ มาช่วยพัฒนาประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกิดกระแสเงินสะพัด และกระตุ้นเศรษฐกิจได้

คาดว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถเปิดประเทศได้แล้ว เชื่อว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็จะเริ่มทยอยฟื้นตัวและกลับคืนสู่สภาพปกติได้ภายในปลายปี 2565” อรรถนพกล่าว

นอกจากการพัฒนาด้านอสังหาฯแล้ว สำหรับโครงการนี้ ทางโครงการยังมีแนวคิดการทำฟาร์มปลูกผักออร์แกนิคเพื่อสร้างงานและรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบ และตอบโจทย์กับแนวคิด "สุขภาพคือทรัพย์สินอันมีค่าของผู้คน" เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายทั้งจากภายในและภายนอก โดยผลผลิตจากฟาร์มออแกนิคแห่งนี้ จะถูกนำมาปรุงอาหารให้กับแขกที่มาพักและมาใช้บริการที่ “นาใต้ เมดิคอล เซ็นเตอร์ แอนด์ รีสอร์ต”

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events