<h2 class="p1">Joseph Tsai บอกว่า ที่เขาซื้อทีมบาสเก็ตบอล Brooklyn Nets ซึ่งอยู่ใน NBA รวมถึงสนามแข่งประจำเมืองด้วยนั้น เป็นเพราะต้องการเกาะกระแสการเติบโตของความนิยมในกีฬาบาสเก็ตบอลของคนทั้งโลก</h2>
“บาสเก็ตบอลถือเป็นกีฬาโลก เพราะมันเข้าถึงได้ง่าย และวัฒนธรรมของการเป็นกีฬาริมถนนในชุมชนเมืองก็ดึงดูดความสนใจของคนหนุ่มสาว ทำให้มีแฟนกีฬาบาสเก็ตบอลทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ในประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป ไปจนถึงอเมริกา ที่หลงใหลไปกับกีฬาชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น โดยมีสถาบัน NBA และผู้เล่นดาวเด่นเป็นตัวนำ” Joseph Tsai วัย 56 ปีระบุในอีเมลที่ส่งผ่านมาทางโฆษกของ Alibaba
Tsai เป็นผู้ถือหุ้นรายบุคคลที่ถือครองหุ้นมากเป็นอันดับ 2 ใน Alibaba รองจาก Jack Ma โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 1.7% ซึ่งถือทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาที่มีมูลค่ารวม 1.15 หมื่นล้านเหรียญ
และเนื่องจากราคาหุ้น Alibaba วิ่งขึ้นมาแรงในปีที่แล้ว มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ Tsai จึงขยับเพิ่มขึ้นมาถึง 1 ใน 5 ทั้งนี้ Tsai ได้เข้ามาร่วมงานกับ Alibaba ในปี 1999 ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่การเงินคนแรกของบริษัท โดย Tsai ซึ่งถือสัญชาติแคนาดาด้วยยังควบหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ Alibaba และเป็นกรรมการชุดก่อตั้งของบริษัทด้วย
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Tsai ได้ซื้อทีม Brooklyn Nets และสนามแข่ง Barclays Center ซึ่งเป็นสนามที่ทางทีมใช้เป็นฐานในการแข่งจากมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย Mikhail Prokhorov ในข้อตกลงธุรกิจที่มูลค่ารวม 3.3 พันล้านเหรียญ
โดยก่อนหน้านั้นในปีที่แล้ว เขาก็ได้ซื้อทีมบาสเก็ตบอลหญิง New York Liberty เข้ามาในพอร์ตทีมกีฬาของเขาด้วย นอกจากนี้ เขาก็ยังเป็นนักลงทุนในสโมสรฟุตบอล Los Angeles FC ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลใน Major League และเป็นเจ้าของทีม San Diego Seals ซึ่งเป็นทีม Lacrosse ที่อยู่ใน National Lacrosse League ด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-28853" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/Tsai-03.jpg" alt="" width="500" height="700" /><figcaption> Clara และ Joseph Tsai</figcaption></figure>
นอกจากนี้ Tsai และ Clara ภรรยาของเขายังเป็นนักสังคมสงเคราะห์ตัวยงที่บริจาคเงินส่วนตัวจำนวนมากเพื่อสังคมผ่านมูลนิธิ Joe and Clara Tsai Foundation ซึ่งตั้งอยู่ใน California ด้วย โดย Tsai ซึ่งจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์และเอเชียศึกษาจากมหาวิทยาลัย Yale ได้บริจาคเงิน 30 ล้านเหรียญให้กับคณะนิติศาสตร์
ของมหาวิทยาลัย Yale เมื่อปี 2016 เพื่อเป็นเกียรติแก่ Paul Tsai พ่อของเขา ซึ่งสำเร็จการศึกษาสาขานิติศาสตร์จาก Yale โดยมุ่งสนับสนุนศูนย์จีนศึกษาของคณะ
หลังจากนั้นเขาก็ได้บริจาคเงินอีกก้อนหนึ่งในปี 2017 ในจำนวนที่ไม่เป็นที่เปิดเผย เพื่อก่อสร้างศูนย์นวัตกรรมทางความคิด (Innovative Thinking) ที่ Yale ซึ่งมีกำหนดเปิดในปีนี้
นอกจากนี้ Clara ภรรยาของเขาก็ร่วมบริหารมูลนิธิ และยังมีส่วนร่วมในงานการกุศลอีกหลายอย่าง ทั้ง Reform Alliance ซึ่งเธอมีส่วนร่วมก่อตั้งกับนักร้องเพลงแร็ปชื่อดัง Jay-Z กับพรรคพวก เพื่อช่วยปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ --Ambika Behal
&nbsp;
<ul>
 	<li>คลิกอ่าน <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%ae%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%87.html">10 อันดับ มหาเศรษฐีฮ่องกง ประจำปี 2020</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<a href="https://bit.ly/38hL0Vu">คลิกอ่านการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีฮ่องกง ประจำปี 2020 ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-27443" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/COVER-82-MARCH-.jpg" alt="สรพหล นิติกาญจนา" width="300" height="394" />

Joseph Tsai กับการลงทุนในกีฬาที่ไม่ได้มาเล่นๆ

<h2 class="p1">9 มกราคม 2558 - Forbes Asia ประกาศทำเนียบ 50 มหาเศรษฐี Hong Kong ประจำปี 2015 มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 2.36 แสนล้านเหรียญ รายต่ำสุดอยู่ที่ 1.28 พันล้านเหรียญ</h2>
Li Ka-shing คือมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของ Hong Kong ในปี 2015 ชายวัย 86 ปีผู้นี้ ครองที่หนึ่งเป็นเวลา 17 ปีต่อเนื่องกัน ล่าสุดเขาถือทรัพย์สินรวม 3.35 หมื่นล้านเหรียญ ขยับเพิ่มจากปีก่อน 1.5 พันล้านเหรียญ โดยมาจากเงินปันผล 1.9 พันล้านเหรียญ และบางส่วนมาจากการขายหุ้น 25% ในบริษัทค้าปลีกข้ามชาติ A.S. Watson Group ให้กับ Temasek ของสิงคโปร์
ธุรกิจของ Li Ka-shing ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ ท่าเรือ ค้าปลีก และกิจการมากมายใน 52 ประเทศ มีพนักงานกว่า 270,000 คน  ธุรกิจหลักที่สำคัญคือบริษัท Cheung Kong, Husky Energy และ Hutchison Whampoa
ส่วนอันดับ 2 คือนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ Lee Shau Kee มูลค่าทรัพย์สินของเขาเพิ่มจาก 5 พันล้านเหรียญ เป็น 2.5 หมื่นล้านเหรียญ  โดยการเพิ่มหุ้นในบริษัท Henderson Land ของเขา ช่วยดันให้ราคาหุ้นและสินทรัพย์ของตัวเองมีมูลค่าเพิ่มขึ้น อาณาจักรธุรกิจของเขามีทั้งโรงแรม (Miramar Hotel ใน Kowloon) กิจการพลังงาน (Hong Kong &amp; China Gas) และพอร์ตการลงทุนขนาดยักษ์ 
อันดับ 3 คือ Cheng Yu-tung มีทรัพย์สินรวม 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ครอบครัวเขามีกิจการหลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจแฟชั่นไปจนถึงสาธารณูปโภค ในปีนี้  Cheng ขยับอันดับจากปีก่อนขึ้นมาสองขั้น แม้ว่าความร่ำรวยจะลดลงราว 500 ล้านเหรียญ ซึ่งบางส่วนเกิดจากราคาหุ้นของบริษัทอัญมณีใหญ่สุดในเอเชีย Chow Tai Fook ลดลง
แต่เจ้าสัวผู้ร่ำรวยอย่างก้าวกระโดดคือ Joseph Tsai อันดับ 9 ทรัพย์สินสุทธิ 6.85 พันล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบสองเท่า เขาคือรองประธานของ Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีน การเสนอขาย IPO เมื่อกันยายนปีกลายที่สร้างประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ทำให้ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นอีก 3.65 ล้านเหรียญ 
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าในปี 2014 เป็นปีที่แสนจะผันผวนของเศรษฐีฮ่องกง จนเป็นเหตุให้ความมั่งคั่งโดยรวมของทำเนียบมหาเศรษฐีทั้ง 50 คน เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วเล็กน้อย โดยทั้งหมดมีมูลค่ารวม 2.36 แสนล้านเหรียญ มี 18 คนที่มีทรัพย์สินลดลง ขณะที่ 6 คนคงที่
มหาเศรษฐีลำดับสุดท้ายในการจัดอันดับมีทรัพย์สิน 1.28 พันล้านบาท แนวโน้มของความร่ำรวยดังกล่าวสอดคล้องกับ GDP อันซบเซาของฮ่องกงในปีที่แล้ว ที่เติบโตเพียง 2.2% เมื่อเทียบกับปี 2013 ที่ 2.9% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แทบจะไม่ขยับเขยื้อน ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจของ Hong Kong ประกอบด้วยตลาดอสังหาฯ ที่เซื่องซึม การเติบโตบนแผ่นดินใหญ่ที่เริ่มชะลอตัว และช่วงขาลงของธุรกิจคาสิโน Macau
ในปีนี้ปรากฏเศรษฐีหน้าใหม่รวม 5 ราย ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ Walter Kwok อันดับ 10 มูลค่า 6.7 พันล้านเหรียญ, Pan Sutong อันดับ 11 มูลค่า 6.1 พันล้านเหรียญ, Ko Fook Kau อันดับ 27 มูลค่า 2.21 พันล้านเหรียญ, Gaw family อันดับ 48 มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญ ขณะที่ Billy Kan อันดับ 40 มูลค่า 1.61 พันล้านเหรียญ เป็นประธาน China LNG ซึ่งประกอบธุรกิจแก๊สธรรมชาติทั่วทั้งประเทศจีน
สองรายที่กลับคืนสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีได้ คือ Thomas Lau อันดับ 42 มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ เจ้าของห้างสรรพสินค้าในเชน Lifestyle International มีชอปปิงมอลล์ 2 แห่งในฮ่องกง และอีก 4 แห่งในจีน  และ Kenneth Lo อันดับ 44 มูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญ ประธาน Crystal Group หนึ่งในผู้ผลิตเสื้อผ้าสิ่งทอรายใหญ่ มีพนักงาน 35,000 คนทั่วโลก
 

<h2 class="p1">มหาเศรษฐี Hong Kong ปี 2015  10 อันดับแรก ได้แก่</h2>
 1. Li Ka-shing   3.35 หมื่นล้านเหรียญ
 2. Lee Shau Kee 2.5 หมื่นล้านเหรียญ
 3. Cheng Yu-tung 1.5 หมื่นล้านเหรียญ
 4. Thomas &amp; Raymond Kwok 1.47 หมื่นล้านเหรียญ
 5. Lui Che Woo  1.34 หมื่นล้านเหรียญ
 6. Joseph Lau 1.09 หมื่นล้านเหรียญ
 7. Michael Kadoorie 8.9 พันล้านเหรียญ
 8. Peter Woo  $7.9 พันล้านเหรียญ
 9. Joseph Tsai  6.85 พันล้านเหรียญ
 10. Walter Kwok  6.7 พันล้านเหรียญ
&nbsp;
อ่านเพิ่มเติม: <a href="http://www.forbes.com/hong-kong-billionaires/">Forbes Hong Kong Rich List 2015</a>


<figure><img class="wp-image-20478 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2015/01/Forbes-Asia_cover-e1568612372864.jpg" alt="" width="457" height="600" /><figcaption> Edwin Leong นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐีใจบุญ, มหาเศรษฐีอันดับ 18 ของ Hong Kong ด้วยทรัพย์สิน 2.9 พันล้านเหรียญ บนหน้าปก Forbes Asia ฉบับมกราคม 2015</figcaption></figure>

 

ข่าวอื่นๆ

 • <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=140">100 มหาเศรษฐีอินเดียปีนี้ ทุกคนร่ำรวยระดับพันล้าน</a>

• <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=178">“เจ้าสัวออนไลน์” ยึดแท่นสุดยอดมหาเศรษฐีจีน</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events