<h2>ผู้บริหารความมั่งคั่งในฝั่งอเมริกาสามารถเรียนบางสิ่งบางอย่างได้จาก Som Seif นักการเงินหัวสร้างสรรค์จากแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่หน่วยงานกำกับดูแลเปิดใจกว้างรับฟังแนวคิดใหม่ๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แคนาดาเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเปิดกว้างในการออกตราสารทางการเงินที่แปลกใหม่ ซึ่งบางครั้งเลยเถิดไปจนถึงขั้นประหลาดล้ำ&nbsp;ยกตัวอย่างเช่น กองทุน ETF (exchange-traded fund) ที่ถือเงินฝากธนาคาร, กองทุน ETF บิตคอยน์ที่ถือเหรียญ (coin) แทนที่จะถืออนุพันธ์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ดูคล้ายๆ กับหุ้นของ Amazon หรือ Tesla แต่ว่ามีการจ่ายเงินปันผลหรือประกันชีวิตประเภทบำนาญแบบตลอดชีพที่สามารถขอเงินคืนได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้ยังไม่เคยมีใครพยายามขายในสหรัฐฯ มาก่อน หรือไม่ก็อาจจะถูกสั่งห้ามไปแต่แรก แต่เครื่องมือใหม่ๆ เหล่านี้มีขายที่ Purpose Unlimited บริษัทบริหารจัดการกองทุนใน Toronto ที่มี Som Seif เป็นหัวเรือใหญ่&nbsp; &nbsp; ปัจจุบัน Seif มีอายุ 47 ปี เขาเริ่มก่อตั้ง Purpose เมื่อปี 2013 และบริษัทก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนขณะนี้มีสินทรัพย์ในพอร์ตที่อยู่ภายใต้การบริหารถึง 1.26 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ บวกกับอีก 4.6 พันล้านเหรียญที่บริษัททำหน้าที่เป็นหลังบ้าน ให้กับบรรดาที่ปรึกษาทางการเงินในแคนาดา (ตัวเลขเหล่านี้และตัวเลขอื่นๆ ได้แปลงจากเหรียญแคนาดาเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจของ Purpose ต้องแข่งกับคู่แข่งรุ่นใหญ่อย่าง BlackRock, Vanguard และ Fidelity ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งแต่ละเจ้าบริหารพอร์ตในหลักล้านล้านเหรียญ “นี่ไม่ใช่ธุรกิจประเภทที่ผู้ชนะกวาดเรียบ” Seif กล่าว และเสริมว่า “มันเป็นธุรกิจที่มีการแยกย่อยมากที่สุดในโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และยังเป็นธุรกิจประเภทที่บางครั้งผู้เล่นรายเล็กก็ล้ำหน้ารายใหญ่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น กองทุน ETF บิตคอยน์เป็นอะไรที่ BlackRock และผู้เล่นอีกหลายๆ รายอยากขายในสหรัฐฯ ใจจะขาด แต่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ออกขายกองทุน ETF ที่เข้าไปถือเหรียญโดยตรง แต่ยอมให้ถือผ่านอนุพันธ์ของเหรียญได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มคนกลางเข้าไปคั่นระหว่างนักเก็งกำไรกับเหรียญอีกชั้นหนึ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Purpose บอกว่า กองทุน ETF บิตคอยน์ของบริษัทผ่านการอนุมัติจากทางการแคนาดาเมื่อปี 2021 ซึ่งนับเป็นกองแรกของโลก โดยกองทุน ETF สกุลเงินคริปโตกองต่างๆ ของบริษัทมีมูลค่ารวมกันสูงถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญ ซึ่ง Sief บอกว่า “เป็น 1 พันล้านเหรียญที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ FTX หรือกลโกงต้มตุ๋นอื่นๆ”&nbsp;&nbsp; &nbsp; เมื่อตอนที่ Seif อายุ 28 ปี เขาถูกมอบหมายให้ก่อตั้งกิจการกองทุน ETF ของ Claymore&nbsp; ในประเทศแคนาดา ซึ่งปรากฏว่าภายในเวลาเพียง 7 ปี เขาสามารถปั้นกิจการจากศูนย์จนมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารถึง 5.8 พันล้านเหรียญ ดังนั้น เมื่อมีการขายกิจการนี้ออกไปให้กับ BlackRock เมื่อปี 2012 Seif จึงได้เครดิตจากงานนี้ไปเต็มๆ และยังได้เงิน (ซึ่งเขาไม่บอกว่าเท่าไร) ติดกระเป๋าไปตั้งบริษัทของตัวเองในปีถัดมาด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วัตถุประสงค์ของ Seif คือ ต้องหาจุดที่เป็นความพิเศษเฉพาะให้ได้ ดังนั้น เขาจึงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว อย่างเช่น ETF ของเงินฝากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่ 5% เพื่อดึงความสนใจของลูกค้าออกมาจากสถาบันการเงินที่ไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด นอกจากนี้ Seif ยังสร้างกองทุน ETF สำหรับหุ้นรายตัวในแบบฉบับของเขาเอง โดยอิงจากหุ้นอย่าง&nbsp; Alphabet, Amazon, Apple, Berkshire Hathaway และ Tesla แต่ความพิเศษอยู่ที่มีการจ่ายเงินปันผลเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนประเภทที่หิวผลตอบแทน โดยมีทั้งการก่อหนี้และขายคอลออปชั่นของหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ นอกจากนี้ กองทุนทองแท่งของเขาก็แข่งกับกองทุนทองคำ SPDR (SPDR Gold Shares) ด้วยการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 62,000 เหรียญ สำหรับทองคำแท่งหนัก 1 กิโลกรัม ในขณะที่การจะเข้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ของ SPDR ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 17.9 ล้านเหรียญแต่ผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าแปลกใหม่ที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหลายของ Sief คือ&nbsp; Purpose Longevity ซึ่งเป็นกองทุนประกันชีวิตประเภทบำนาญแบบตลอดชีพที่สามารถขอเงินคืนได้ โดยมีการจัดโครงสร้างเป็นกองทุนรวม ซึ่งแตกต่างไปจากกองทุนประเภทเดียวกันทั่วไป&nbsp;ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเกษียณอายุแล้วนำเงินเข้าไปลงทุน 100,000 เหรียญเพื่อรอรับเงินบำนาญเป็นรายปี ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่เกือบๆ 7% สำหรับคนที่อายุ 65 ปี เงินของคุณจะถูกนำไปลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นและพันธบัตร ณ จุดนี้ ถ้าหากคุณลงทุนในกองทุนรวมผสมของ Vanguard และสั่งให้ Vanguard จ่ายเงินคืนให้กับคุณ 7% ของมูลค่าเงินลงทุนที่เหลืออยู่ นั่นหมายความว่า เงินที่คุณด้วยรับจะน้อยกว่า 7% ถ้าหากกองทุนทำเงินได้น้อยกว่า 7%แต่ถ้าคุณซื้อกองทุน Purpose Longevity คุณมีโอกาสมากขึ้นที่ผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณจะโตทันเงินเฟ้อ โดยที่คุณ (หรือทายาทของคุณ) สามารถถอนการลงทุนออกมาตอนไหนก็ได้ โดยจะได้รับเงินคืนเท่ากับต้นทุนทางบัญชีที่เหลืออยู่หรือมูลค่าปัจจุบันของจำนวนหน่วยที่ถืออยู่ในกองทุน (อิงตามจำนวนจะต่ำกว่า) ดังนั้น ถ้าคุณเลือกถอนทุนหรือเสียชีวิตหลังจากช่วงตลาดขาขึ้นหมายความว่า คุณทิ้งเงินบางส่วนเอาไว้ในกองทุน ซึ่งจะตกเป็นของผู้ถือหน่วยลงทุนที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ได้ถอนทุนออกไป ทั้งนี้นักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ช่วย Purpose ออกแบบผลิตภัณฑ์นี้คำนวณออกมาว่าเงินที่ถูกทิ้งไว้แบบนี้ รวมๆ กันแล้วจะทำให้ผลตอบแทนรายปีของพอร์ตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1.5ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา Purpose จะจำกัดตัวเองอยู่ในตลาดเล็กๆ ของประเทศแคนาดา แต่มันก็ยังสร้างผลตอบแทนให้ Sief อย่างเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งจากการประเมินมูลค่ารอบล่าสุด Purpose มีมูลค่า 700 ล้านเหรียญ โดย Allianz ซึ่งเป็นบริษัทประกันเจ้าใหญ่จากเยอรมนีได้เข้ามาลงทุน 60 ล้านเหรียญใน Purpose เพื่อใช้ขยายธุรกิจ แต่ Seif ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเองเอาไว้มากกว่า 1 ใน 4Purpose ยังมีโอกาสจะโตได้อีกมากถ้าเดินตามรอยของ Royal Bank ที่นำร่องบุกตลาดอเมริกาไปก่อนหน้าแล้ว ว่าแต่ว่าคนอเมริกันต้องรอไปอีกนานแค่ไหนถึงจะสามารถเข้าลงทุนในกองทุน Longevity ได้?&nbsp; Seif บอกใบ้ว่า ใกล้จะมีข่าวดีแล้ว แต่ยังเปิดเผยตอนนี้ไม่ได้ สำหรับในส่วนของกองทุนคริปโตนั้น Fidelity Investment อนุญาตให้ทำการซื้อขายในกองทุน ETF ของแคนาดาได้แล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในสหรัฐยังต้องสวดภาวนาต่อไปให้ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ เปิดหูรับฟังเสียงเรียกร้องจากผู้เล่นในตลาดบ้าง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;: <a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/insights/key-how-to-success-in-the-new-world" alt="กุญแจสู่การเติบโตในโลกยุคใหม่ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่ความสำเร็จ">กุญแจสู่การเติบโตในโลกยุคใหม่ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่ความสำเร็จ</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/45e2f9e5-2f0f-459c-a701-432192052e12" alt="​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="320,420" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div>

ความฉลาดของแคนาดา กับนักการเงินหัวสร้างสรรค์ "Som Seif"

<h2>งานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 10 MONEY EXPO 2023 UDONTHANI จัดโดย วารสารการเงินธนาคาร เมื่อวันที่ 6-8 ตุลาคม 2566 มียอดธุรกรรมออฟไลน์และออนไลน์ 3 วัน รวมกว่า 6,200 ล้านบาท สินเชื่อบ้านครองแชมป์อันดับ 1 กว่า 3,760 ล้านบาท ตามด้วยสินเชื่อเอสเอ็มอี กว่า 850 ล้านบาท เงินฝาก/สลากออมทรัพย์ อันดับ 3 รวมกว่า 840 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานร่วมงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 10 MONEY EXPO 2023 UDONTHANI ซึ่งจัดภายใต้แนวคิด “Green Finance for Green Living” ระหว่างวันที่ 6-8 ตุลาคม 2566 ณ อุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา จังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า การจัดงาน 3 วัน มีประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจสมัครใช้บริการทางการเงินและการลงทุน ทั้งในรูปแบบออฟไลน์ที่เดินทางมาทำธุรกรรมภายในงานและแบบออนไลน์ที่ทำธุรกรรมกว่า 9,700 ราย รวมมูลค่าธุรกรรมกว่า 6,200 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวภาคนีกล่าวว่า สำหรับยอดธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงเป็นดับ 1 คือ สินเชื่อบ้านและรีไฟแนนซ์บ้านวงเงินกู้รวมกว่า 3,760 ล้านบาท จากแคมเปญโปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งประชาชนที่ยื่นขอกู้สินเชื่อบ้านสามารถรู้ผลอนุมัติเบื้องต้นได้ทันทีในงาน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/sKi9gtLgZv7sMxNFnoA7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-file-name="sKi9gtLgZv7sMxNFnoA7.jpg" data-file-size="0" origin-size="1040,1040" data-origin="783px,783px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>​&nbsp; &nbsp;&nbsp;อันดับ 2 สินเชื่อเอสเอ็มอี วงเงินรวมกว่า 850 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยื่นขอกู้ภายในงานจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนปีนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนชาวอุดรฯ และภาคอีสานตอนบนเป็นอย่างมาก โดยมีการฝากเงินและซื้อสลากออมทรัพย์สูงเป็นอันดับ 3 รวมกว่า 840 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามด้วยผลิตภัณฑ์ประกันมียอดธุรกรรมสูงเป็นอันดับ 4 รวมทุนประกันมูลค่ากว่า 510 ล้านบาท โดยแบบประกันที่ได้รับความนิยมคือ แบบประกันตลอดชีพที่เน้นการคุ้มครองชีวิตระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลายธนาคารได้ทำการตลาดล่วงหน้า (พรีเซลส์) เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สินเชื่อบ้าน เงินฝาก/สลากออมทรัพย์ ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาเพื่อตอบรับกับเศรษฐกิจในจังหวัดอุดรธานีที่เริ่มขยายตัวมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19” นางสาวภาคนีกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการบริโภคภาคเอกชน ภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ คาดว่าเศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีในปี 2566 จะขยายตัว 2.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ขยายตัว 1.4%&nbsp; &nbsp;&nbsp;“จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวทางการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมการผลิต และด้านบริการต่างๆ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดอุดรธานี มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ1 ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อยู่ที่ 113,797 ล้านบาท และมีรายได้เฉลี่ยต่อประชากร 90,818 บาท ต่อคนต่อปี” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/UCihSpFDDRJ6B84L6amR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-file-name="UCihSpFDDRJ6B84L6amR.jpg" data-file-size="0" origin-size="5000,3333" data-origin="783px,522px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>​​&nbsp; &nbsp; ดังนั้นจังหวัดอุดรธานีจึงมีศักยภาพสูงมากในการเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาอุตสาหกรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน รองรับการลงทุนจากต่างประเทศ และยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด “เมืองอัจฉริยะ ศูนย์กลางการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และไมซ์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“งานมหกรรมการเงินอุดรธานี ที่ วารสารการเงินธนาคาร ได้ขึ้นจัดอย่างต่อเนื่องทุกปี มีส่วนสำคัญในการเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้ประกอบการในอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียง ได้เข้าถึงแหล่งเงินแหล่งทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน และยังมีส่วนสนับสนุนให้จังหวัดอุดรธานี มีบทบาทหลักในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และมีบทบาทสำคัญในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างแท้จริง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการจัดงานมหกรรมการเงินครั้งต่อไป เป็นงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ เพื่อให้บริการทางการเงินและการลงทุนอย่างครบวงจรกับประชาชนชาวเชียงใหม่ และภาคเหนือ อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/michelin-key-%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88" alt="MICHELIN Key กุญสุดพิเศษการันตีโรงแรมเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวครั้งใหม่">MICHELIN Key กุญสุดพิเศษการันตีโรงแรมเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวครั้งใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เงินสะพัด 6 พันล้าน ณ งาน MONEY EXPO 2023 UDONTHANI

เคล็ดวิชาการลงทุนจาก 8 เซียนมหาเศรษฐี

<h2>บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันสินเชื่อดิจิทัลฟินนิกซ์ (FINNIX) คว้า 3 รางวัลจากเวทีระดับโลก The Digital CX Awards 2023 ตอกย้ำความสำเร็จด้วยการใช้เทคโนโลยีปล่อยสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว มั่นใจสินเชื่อรวมปีนี้ 2.5 หมื่นล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า “มันนิกซ์ดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติมากในการเข้ารับรางวัลจากเวทีระดับโลกถึง 3 รางวัล ในงาน The Digital CX Awards 2023 ซึ่งจัดโดย The Digital Banker สื่อด้านการเงินการธนาคารระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันแอปฟินนิกซ์มีฐานผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านคน และมียอดปล่อยสินเชื่อมากกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันความสำเร็จของมันนิกซ์ได้เป็นอย่างดี และคาดว่าในปีนี้จะสามารถปล่อยวงเงินสินเชื่อได้ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/AAw7EYNJqByBg6VdPgSx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AAw7EYNJqByBg6VdPgSx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แอปฟินนิกซ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ สาขา Best Fintech for Digital CX-Personal Finance เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ตอกย้ำความสำเร็จของแพลตฟอร์มสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI และ Machine Learning ของมันนิกซ์ที่สามารถผลักดันการเข้าถึงบริการทางการเงินของกลุ่มคนทำมากินได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีขั้นตอนการสมัครและขอสินเชื่อที่รวดเร็วและราบรื่น ทำให้สามารถรู้ผลอนุมัติและรับเงินไวสุดใน 5 นาที ทุกพื้นที่ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปฟินนิกซ์แล้วกว่า 10 ล้านครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนอีก 2 รางวัลได้แก่ รางวัลชนะเลิศ สาขา Best Digital Bank for CX สะท้อนความสำเร็จจากการพัฒนาแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ที่สามารถให้บริการสินเชื่อดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ มาสร้างเสริมประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ได้แก่ การระบุและพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ใน 60 วินาที และรายงานฟินนิกซ์เครดิต (FINNIX Credit Report) ที่ช่วยให้ผู้กู้เห็นสุขภาพทางการเงินเชิงลึกของตนเองพร้อมแนวทางสร้างเครดิต ช่วยให้กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือเอกสารทางการเงินสามารถขอสินเชื่อได้รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; และรางวัลยอดเยี่ยม สาขา Best Retail Bank for Digital CX in Thailand แสดงให้เห็นว่ามันนิกซ์มุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์สินเชื่อดิจิทัลที่ยอดเยี่ยมให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยกว่า 36 ล้านคน ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ยกระดับการขอสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลโดยใช้เพียงข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ที่ช่วยคัดกรองคุณภาพและประเมินความเสี่ยงของลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ขอสินเชื่อไม่จำเป็นต้องส่งเอกสาร ไม่ต้องค้ำบุคคลหรือหลักทรัพย์ประกัน รวมถึงให้เลือกรูปแบบการชำระสินเชื่อที่เหมาะสมกับกำลังของคนทำมาหากิน เป็นการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความสำเร็จในการคว้ารางวัล Best Fintech for Digital CX-Personal Finance สองปีซ้อนได้ ตอกย้ำความสำเร็จที่มาจากกลยุทธ์อีโคซิสเต็ม F.I.R.E. ของมันนิกซ์ ซึ่งประกอบไปด้วย Finance (มีเงินใช้) Intel (เข้าใจตัวเอง) Reward (เร่งสร้างวินัย) และ Empowerment (เสริมรายได้และความรู้) ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เข้าถึงและเข้าใจลูกค้ามากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเราตั้งเป้าว่าปีนี้พอร์ตสินเชื่อรวมจะโตถึง 2.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตอย่างน้อย 2 เท่าจากปีที่แล้ว จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแคมเปญร่วมกับพันธมิตรธุรกิจต่างๆ ควบคู่ไปกับการยกระดับความรู้ด้านการเงินให้กับลูกค้า” ถิรนันท์ กล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-66-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-700-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%9E-%E0%B8%84-%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89" alt="อาร์เอส ตั้งเป้าปี 66 รายได้ธุรกิจเพลง 700 ล้านบาท ดัน “อาร์เอส มิวสิค” เข้าตลาด พ.ค.นี้">อาร์เอส ตั้งเป้าปี 66 รายได้ธุรกิจเพลง 700 ล้านบาท ดัน “อาร์เอส มิวสิค” เข้าตลาด พ.ค.นี้</a>​ <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แอปฟินนิกซ์คว้า 3 รางวัลด้านเทคโนโลยี มั่นใจปี 2566 ปล่อยสินเชื่อรวม 2.5 หมื่นล้านบาท

<h2>ภายในอาณาจักรผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก มีเรื่องราวของทายาทธุรกิจหนุ่มที่ตัดสินใจทิ้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในธุรกิจของครอบครัวมูลค่ากว่า 2 พันล้านด้วยความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวในโอกาสทางธุรกิจที่มองเห็น ผลักดันให้บุตรชายคนเล็กของครอบครัวทีปกรสุขเกษมต่อยอดประสบการณ์ที่สั่งสมในธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีมากกว่า 10 ปี เริ่มต้นสร้างทางธุรกิจให้เติบโตบนแนวทางของตัวเอง</h2>
“หลังจากนำธุรกิจครอบครัว CCP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เราเริ่มเห็นทางแยกในธุรกิจก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงมายัง precast ผมนำเรื่องเข้าบอร์ด แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันผมรู้สึกเสียดายโอกาส จึงตัดสินใจลาออกวันนั้นเหมือนทุบหม้อข้าว แต่เราเชื่อว่ามันเกิด เทรนด์ธุรกิจชัดเจนมาก ถ้าผมไม่ทำคนอื่นก็ทำ ผมจึงตัดสินใจออกจาก CCP และเริ่มระดมทุนเอง โชคดีที่เราได้รับผลตอบรับจากธนาคารและนักลงทุนดีมาก” ชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนแนล จำกัด

ชาคริต เริ่มสะสมประสบการณ์ตั้งแต่ทำงานในสถาบันการเงินอย่าง ธนาคารดีบีเอสไทยธนุ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ก่อนและเดินทางศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกาและคว้าปริญญาโท 2 สาขาสำคัญกลับมาและเข้าทำงานของครอบครัวที่ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2545 จนกระทั่งทางแยกกับธุรกิจของครอบครัวในวันที่ 18 มกราคม 2556 วันเวลาของการก้าวสู่โลกธุรกิจด้วยความแน่วแน่

"เราเปิดตัวว่า เราเป็นผู้ผลิต precastที่มีมาตรฐานสูงสุดในประเทศไทย สมัยก่อน precast เป็นความลับเหมือน Black Box โรงงาน precast เป็นเขตหวงห้าม แต่เราเปิดเผยและสามารถสร้างความเชื่อมั่นกับตลาดหรือลูกค้าได้ เพราะเรามี know-how พื้นฐานผมที่คลุกมาทั้ง finance และ operation management จึงสามารถดูได้ทั้งระบบและซอฟต์แวร์เอง ขณะที่ประสบการณ์ทำงานจาก CCP ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในเชิงวิศวกรรมโครงสร้าง ทำให้ลูกค้าที่รู้จักเราให้ความไว้วางใจ"

ชาคริต งัดกลยุทธ์สร้างความแตกต่างด้วยการออกแบบและผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีรูปแบบและคุณสมบัติเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกับเจ้าอื่น แต่เหนือกว่าที่ความคุ้มค่า เขาให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับใน precast ด้วยการใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องจักรการผลิตระบบ fully automatic ของ Vollert Anlagenbau Gmbh ประเทศ เยอรมนี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงมีการควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยบริษัทยังเป็นผู้ผลิต precast รายเดียวที่ใช้หุ่นยนต์ในการผลิตทั้งหมด ทำให้สินค้าไม่มีข้อผิดพลาดจากการใช้แรงงานซึ่งช่วยลดค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และระยะเวลาในการก่อสร้างได้ถึง 60% จากระยะเวลาก่อสร้างเดิมและยังได้รับมาตรฐานการผลิต PCI 135-00 Precast Tolerance และ PCI 117-77 Manual for Quality Control for Plants and Productions of Architectural Precast Concrete Products รวมถึงบริการที่ครบวงจร ทั้งในด้าน การพัฒนาแบบที่รวดเร็วแม่นยำ ออกแบบได้ตามความต้องการของลูกค้า จึงสามารถรับประกันได้ว่าทุกขั้นตอนการดำเนินงานของบริษัท จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการก่อสร้าง โดยมี lead time ในการผลิตต่ำสุด

แม้ชาคริตจะให้น้ำหนักธุรกิจไปยังโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ หากแต่ CPanel ยังคงยึดพื้นที่ชลบุรีเป็นฐานการผลิตหลักตามวิสัยทัศน์ของบิดา (ประทีป) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีว่า ชลบุรีเป็นจังหวัดที่สะดวกในการคมนาคมขนส่งหรือจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศต่อเนื่องไปยังประเทศใกล้เคียง

แม้การแข่งขันที่รุนแรง ชาคริตไม่เคยกังวลกับการช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดนับตั้งแต่ตัดสินใจก้าวออกจากธุรกิจของครอบครัวจากความเชื่อมั่นในโอกาสและหลักการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา พร้อมพยายามตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ คุณภาพหรือระยะเวลาการผลิตที่รวดเร็ว

กลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) โดยเฉพาะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปในเชิงพาณิชย์ประมาณ 430,000 ตารางเมตรต่อปี และเพิ่มเป็น 860,000 ตารางเมตรต่อปีในปี 2558 เพื่อให้บริษัทมีสินค้าเพียงพอรองรับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้า

นอกเหนือจากสินค้าผนังคอนกรีตสำเร็จรูป บริษัทยังมีบริการจัดหาวัสดุก่อสร้างหลากหลายชนิด โดยพร้อมจำหน่ายและจัดส่งให้แก่ ลูกค้าได้ทั่วประเทศ ได้แก่ ปูนซิเมนต์คอนกรีตผสมเสร็จ คอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน ท่อคอนกรีต อิฐมวลเบา คานสำเร็จรูปและบันไดสำเร็จรูป

“เรามีทิศทางการเติบโตที่ชัดเจนในการเป็น leading construction material เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เราเห็นทั้งตลาด ลูกค้า และพฤติกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ รวมถึงเรายังมี resource ในองค์กร และ connection ที่แข็งแกร่ง”

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊กอ่าน "ก้าวที่กล้าของ CPanel เล็งจังหวะต่อยอดคอนกรีตภูธร" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JULY 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ef061c9479ff04c8771ed25445ed78a.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events