<h2 class="p1">หลักจากประสบความสำเร็จในวงการ NFT ด้วยการร่วมมือกับ Adidas Originals เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แบรนด์หรูสัญชาติอิตาเลียน Prada ก็ได้นำกลยุทธ์ NFT กลับมาใช้อีกครั้ง ผ่านการเปิดตัวคอลเล็กชั่น Timecapsule ของทางแบรนด์เอง</h2>
โปรเจ็กต์ Timecapsule <a href="https://www.prada.com/gb/en/pradasphere/special-projects/2020/prada-timecapsule.html">เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนธนวาคม ปี 2019 </a>โดยสินค้าในคอลเล็กชั่นนี้จะวางขายบนเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซของ Prada ทุกๆ วันพฤหัสบดีแรกในทุกๆ เดือน โดยผู้สนใจมีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นในการเข้าไปซื้อ
<img class="alignnone size-full wp-image-63796" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Prada_NFT.jpg" alt="" width="720" height="371" />
คอลเล็กชั่นที่จะวางขายในวันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายนนี้ มาพร้อมกับเสื้อไม่ระบุเพศที่ทางแบรนด์ได้ร่วมออกแบบกับศิลปิน Cassius Hirst ลูกชายของ Damien Hirst และในครั้งนี้ นอกจากคุณจะได้รับสินค้าไปสวมใส่แล้ว คุณยังจะได้รับงาน NFT เป็นของแถมไปแบบฟรีๆ อีกด้วย ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่ธุรกิจลักชัวรีกำลังเลือกเดินไป
เสื้อสีขาว และดำที่มาพร้อมกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Hirst อย่างรูปหน้ากากและภาพสแกนสมอง รวมไปถึง NFT รูปไทม์แคปซูลสีขาว และดำที่มาในรูปแบบ GIF นี้ จะมาพร้อมกับ serial number เฉพาะที่เชื่อมระหว่างสินค้าจริงและของแถมดิจิทัลไว้ด้วยกัน 
ส่วนราคาเสื้อนั้นจะถูกเปิดเผยในวันเปิดตัวที่จะถึงนี้ โดยจะทางแบรนด์วางแผนจำหน่ายเสื้อจำนวน 100 ตัว และมอบ NFT เป็นของแถมผ่านบล็อกเชนของ Ethereum ซึ่งมากกว่าจำนวนปกติที่จำหน่ายถึง 2 เท่า
<img class="alignnone size-full wp-image-63797" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Prada-NFT.png" alt="" width="720" height="357" />
ความจงรักภักดี และการมอบรางวัลเป็นหัวใจหลักในกลยุทธ์ NFT นี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่เคยซื้อไอเท็มจากคอลเล็กชั่น Timecapsule ตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อปี 2019 ก็จะได้รับ NFT ที่เกี่ยวข้องกับไอเท็มชิ้นนั้นๆ และยังสามารถเข้าถึงสิทธิพิเศษ รวมถึงประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งคืออะไรนั้น ก็ต้องรอทางแบรนด์มาเฉลยผ่านเซิฟเวอร์คอมมิวนิตี้ของทางแบรนด์บน Discord ภายใต้ชื่อ “Prada Crypted” และผ่านทางเว็บไซต์ของทางแบรนด์อีกที
อีกทั้ง เนื่องจากการเทรด เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งความเป็นเจ้าของธุรกิจและการเข้าถึงที่เปิดกว้างของโลก Web 3.0 นั่นก็หมายความว่าผู้ครอบครอง NFT ของแถมทั้งหลาย สามารถขายต่อในตลาดได้
“มันมี synergy ระหว่าง Prada Timecapsule และ NFTs ในแง่ของความหายากและความเป็นที่ต้องการ” Prada กล่าวในในคำแถลงการณ์
<img class="alignnone size-full wp-image-63801" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Prada_Cassius-Hirst.jpg" alt="" width="720" height="371" />
โปรเจ็กต์ NFT นี้จะอยู่บนระบบบล็อกเชนของ Ethereum ซึ่งทางแบรนด์กล่าวว่า เป็นระบบที่มอบ “ประสบการณ์อันปลอดภัย และเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน” และจะใช้เทคโนโลยีของ <a href="https://www.voguebusiness.com/technology/the-blockchain-playbook-from-lvmhs-aura-to-arianee">Aura Blockchain Consortium</a> ซึ่งทางแบรนด์ได้ร่วมมือกับ LVMH และ Cartier ก่อตั้ง มาช่วยยกระดับอีกด้วย
“หลายๆ คนในแวดวงลักชัวรีก้าวพลาดมาก่อน โดยคิดว่านี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เช่นเดียวกับโซเซียลมีเดีย ผมไม่คิดว่า NFTs มันดีหรือร้าย แต่มันคือเครื่องมือดิจิทัล และมันขึ้นอยู่กับคุณใช้มันอย่างไร” Lorenzo Bertelli ลูกชายของ Miuccia Prada และ Patrizio Bertelli ผู้ดูแลการตลาดในต่างประเทศและ CSR ประจำ Prada Group กล่าวกับ<a href="https://www.voguebusiness.com/technology/prada-teams-up-with-adidas-to-launch-first-re-source-nft"> Vogue Business</a>
ทั้งนี้ Prada เป็นหนึ่งในหลายแบรนด์ที่เดินหน้าผูกไอเท็มจากโลกดิจิทัลกับสินค้าจริงเข้าไว้ด้วยกัน 
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Gucci ก็ได้เผยว่า <a href="https://www.voguebusiness.com/technology/when-it-comes-to-roblox-gucci-is-not-playing-around">กระเป๋า Blondie รูปแบบดิจิทัลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋ารุ่นเดียวกันในคลังของ Gucci  จะวางจำหน่าย ณ Gucci Town </a>พื้นที่หลากความสนุกแห่งใหม่บนแพลตฟอร์มเกมอย่าง Roblox
<img class="alignnone size-full wp-image-63805" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Gucci_Roblox.jpg" alt="" width="720" height="405" />
Gucci เล็งเป้าไปที่กลุ่มชาว Web 3.0 ผู้เป็นส่วนหนึ่งคอมมิวนิตี้นักเล่นเกมเป็นหลัก โดยกระเป๋ารูปแบบดิจิทัลนี้จะวางขาย Roblox ในเดือนมิถุนายนนี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แต่ผู้ใช้งานจะสามารถซื้อได้หลังจากผู้ใช้งานเล่นมินิเกม 100 เกม, สร้างงานศิลปะ 45 ชิ้น, โหวตงานศิลปะ 100 ครั้ง และทำภารกิจไล่ล่าสมบัติรายวันสำเร็จ 18 ครั้ง
แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มยอด engagement และป้องกันไม่ให้มีแต่ผู้ที่เข้ามาซื้อเพื่อนำไปขายต่อ ได้เป็นอย่างดี แต่กลยุทธ์ดังกล่าว สามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้บริโภคอีกกลุ่มเท่านั้น 
ดังนั้น กลยุทธ์การมอบของขวัญของ Prada เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถดึงดูดให้ผู้ที่ยังไม่เห็นด้วยกับ Metaverse มากนัก และผู้ที่ไม่ได้สนใจในเทคโนโลยี Web 3.0 เท่าไร เข้ามามีส่วนร่วมได้ โดย <a href="https://www.forbes.com/sites/stephaniehirschmiller/2022/04/29/philipp-plein-launches-crypto-concept-store-and-metaverse-marketplace/?sh=4032d43642d6">Philipp Plein</a> ก็หันมาใช้แนวทางอันชาญฉลาดนี้เช่นกัน


<figure><img class="size-full wp-image-63798" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Cassius_Hirst.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Cassius Hirst</figcaption></figure>
ก้าวต่อไปในการเดินหน้าลุยตามกลยุทธ์ใหม่นี้ของ Prada อาจจะเป็นการเชื่อมไอเท็มจับต้องได้เข้ากับไอเท็ม NFT ด้วย RFID microchip ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางแบรนด์เอง<a href="https://www.voguebusiness.com/technology/episode-1-pradas-rfid-investment">ก็ได้เริ่มเดินหน้าฝังชิปเหล่านั้นลงไปในกระเป๋าของพวกเขาแล้ว</a> การใช้ RFID จะทำให้สินค้าแต่ละชิ้นมีข้อมูลอัตลักษณ์เฉพาะ คล้ายกับหนังสือเดินทาง ซึ่งทางบริษัทสามารถนำไปใช้ในการผลิตและกระจายสินค้า และยังสามารถใช้ในการรับรอง หรือแม้กระทั่งติดตามสินค้าได้อีกด้วย
ครอบครัว Hirst เองก็คุ้นชินกับ NFTs อยู่เหมือนกัน โดย “The Currency” คอลเล็กชั่นงานศิลปะ NFT คอลเล็กชั่นแรกของ Damien Hirst ถูกนำขึ้นระบบบล็อกเชนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 และบังคับให้ผู้ซื้อ<a href="https://news.artnet.com/art-world/damien-hirst-the-currency-1988535">เลือกว่าจะรับโทเคนดิจิทัลหรือชิ้นงานที่ตับต้องได้กลับบ้านไป</a> แต่สำหรับโปรเจ็กต์ NFT ครั้งนี้ ผู้ซื้อจะได้รับทั้งสองอย่างไปครอบครอง
บทความแปลและเรียบเรียงจากบทความ Prada expands Web3 offer with product-linked NFT drop and Discord launch เผยแพร่บน Voguebusiness.com และ The Disruptive Idea Behind Prada’s New Timecapsule NFT Collection With Damien Hirst’s Son เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/experiential-flagships-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4.html">Experiential Flagships กลยุทธ์ใหม่ของธุรกิจลักชัวรี</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Prada เดินหน้าพัฒนากลยุทธ์ก้าวสู่โลก Web 3.0 ด้วย NFT

10 ระบบนิเวศ 'คริปโต' ที่โตเร็วที่สุดในปี 2021

<h2>ราคาเหรียญ Ether ได้พุ่งขึ้นสูง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในฐานะสกุลเงินดิจิทัล ส่งผลให้ Ethereum ได้รับความสนใจไม่ใช่น้อย แต่อะไรอยู่เบื้องหลังราคาสูงแตะดวงจันทร์ในครั้งนี้</h2>
<a href="https://www.coindesk.com/price/ethereum/">ข้อมูลจาก CoinDesk</a> แสดงให้เห็นว่า เหรียญ Ether นับเป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่เป็นอันดับสองเมื่อวัดจากมูลค่าตลาดโดยรวม และได้ราคาพุ่งถึง 4,865.57 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้

ตัวเลขเพิ่มเติมจาก CoinDesk ยังเผยให้เห็นอีกว่ากว่าจะพุ่งมาถึงจุดนี้ ทรัพย์สินดิจิทัลนี้ก็ขึ้นมาถึงร้อยละ 560 โดยนับจากต้นปีจนถึงวันนี้ (YTD)

หลังจากการพุ่งทะยานนี้ ก็ได้ตกลงเล็กน้อย โดยตกไปจนมีราคาต่ำกว่า 4,500 เหรียญฯ และเทรดอยู่ที่ราคาราว 4,600 เหรียญฯ 

<figure><img class="size-full wp-image-53927" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/ETHER-e1636616879152.png" alt="" width="720" height="477" /><figcaption> Photo from Getty Image</figcaption></figure>

เมื่ออธิบายการเพิ่มนี้ นักวิเคราะห์ตลาดได้พูดถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น การใช้งานแพลตฟอร์ม Ethereum ที่เพิ่มขึ้น และจำนวนการเทรดเหรียญ Ether ที่บางเบาลง

“ETH ทะยานขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งปี และการพุ่งแตะราคาสูงสุดนี้แสดงให้เห็นว่าโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่สร้างอยู่บนบล็อกเชนของ ​Ethereum ก็น่าจะได้รับการผลักดันอยู่เรื่อยๆ” Jesse Proudman ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้นั่งเก้าอี้ CTO ของบริษัทเฮดจ์ฟันด์ด้านคริปโตอย่าง <a href="https://strixleviathan.com/">Strix Leviathan</a> ได้กล่าวไว้

“ตั้งแต่ NFTs จนไปถึง DeFi ตัวอีเทอคือที่ที่เกิดการพัฒนาต่างๆ มากที่สุด” เขากล่าว

“อีกอย่าง ไม่ต้องมองไปไกลเลย มองดูตัว Total Value Locked ที่เป็นตัววัดสินทรัพย์ต่างๆ ที่อยู่ในแพลตฟอร์ม DeFi และ TVL นี้ก็สูงสุดเป็นปรากฏการณ์​ โดยมีมูลค่าเกือบแตะ 1.14 แสนล้านเหรียญฯ เลย” Proudman กล่าว

ทาง Konstantin Boyko-Romanovsky ผู้ก่อตั้งและ CEO แห่ง <a href="https://www.allnodes.com/">Allnodes Inc.</a> ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

โดยเขากล่าวว่า “DeFi ที่มาแรงส่งผลโดยตรงต่อราคา Ethereum ที่พุ่งขึ้น” 

“ณ ตอนนี้กว่า 1.1278 แสนล้านถูกล็อคอยู่ในโปรเจ็กต์ DeFi ต่างๆ และร้อยละ 70 ของโปรเจ็กต์พวกนี้ก็พึ่งพาเครือข่าย Ethereum นี้มันน่าสนใจมากเพราะเมื่อช่วงนี้ปีก่อน Total Value Locked ใน DeFi อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้าน” Boyko-Romanovsky กล่าวเพิ่ม

“ดังนั้นถ้าราคาอีเทอที่เพิ่มขึ้นเมื่อปีก่อนผลักให้คนหันไปหา DeFi มากขึ้น มันก็ไม่แปลกถ้าเราจะมองว่าตอนนี้มันได้เลี่ยนไปแล้ว” กล่าวอีกคำก็คือ ระบบนิเวศ DeFi กำลังส่งผลต่อราคาเหรียญ ไม่ใช่ราคาเหรียญส่งผลต่อระบบนิเวศนั่นเอง
<h2>บทบาทสำคัญของการเทรด</h2>
นักวิเคราะห์มากหน้าหลายตาก็ได้ออกมาพูดถึงเงื่อนไขของอุปสงค์ อุปทานในระบบเทรดที่มีสกุลเงินดิจิทัล โดยเน้นว่าเงื่อนไขนั้นจะส่งผลต่อราคาคริปโตเคอร์เรนซีอย่างไร

นักกฎหมายด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีอย่าง Andrew Rossow ก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

“อุปทานที่ไม่ได้สูงมากนี้เป็นปัจจัยหลัก” ในการทำให้ราคาสูงขึ้น โดยกล่าวเน้นว่าเหรียญ Ether กำลังถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว

<figure><img class="size-full wp-image-53926" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/DeFi-e1636616924666.png" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Photo from Getty Image</figcaption></figure>

Sean Rooney หัวหน้าวิจัยที่ <a href="https://valkyrieinvest.com/">Valkyrie Investments</a> ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ด้วย

“อุปทานของเหรียญอีเทอในการเทรดมันลดลง จากที่มีอุปทานถึงร้อยละ 20 เมื่อสิงหาคม 2020 เหลือเพียงแค่ร้อยละ 12 กว่าๆ เองในวันนี้” เขากล่าว

Rooney ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “มันสมเหตุสมผลนะ ด้วยระบบนิเวศ DeFi ที่ตัว Ethereum ยังเป็นผู้เล่นหลักที่มาแรงแบบนี้” 

ทาง David Keller หัวหน้ากลยุทธ์การตลาดประจำ <a href="https://stockcharts.com/">StockCharts.com</a> ได้พูดถึงราคา Ether ที่ขึ้นสูงในปีนี้ รวมถึงนัยยะของปรากฏการณ์นี้

“ในปีก่อนๆบิตคอยน์เป็นคริปโตเคอร์เรนซีเดียวที่เหล่านักลงทุนติดตาม แต่ราคาเหรียญนี้ที่พุ่งขึ้นในปี 2021 ทำให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้โตขึ้นเรื่อยๆ จนเหรียญอื่นๆ นอกจาก Bitcoin ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว” เขากล่าว “กำไรจาก Ethereum พุ่งขึ้นกว่า 500 เปอร์เซ็นต์นับจากต้นปีจนถึงวันนี้เมื่อเทียบกับ Bitcoin ที่ขึ้นมา 126 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน”

“กำไรอีเทอที่มหาศาลขนาดนี้สื่อให้เห็นว่า นักลงทุนทั้งหลายเริ่มตระหนักถึงเหรียญใหญ่ๆ อย่างอื่นนอกเหนือจากบิตคอยน์” Keller กล่าว

“พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าบิตคอยน์และอีเทอเกี่ยวกับ DeFi มากขนาดไหน เมื่อเทียบกับ ‘altcoins’ เล็กๆที่มีประโยชน์ค่อนข้างจำกัด และน้อยกว่ามาก” Keller ทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Ether Prices Reached Their Latest High Above $4,800—What Drove These Gains? เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/female-invest-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%99-4-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">Female Invest รับเงินหนุน 4.5 ล้านเหรียญฯ มุ่งผลักผู้หญิงเป็นนักลงทุน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อะไรเป็นแรงผลักให้เหรียญ Ether พุ่งแตะ 4,800 เหรียญสหรัฐฯ

<h2>กระแสเงินดิจิทัลที่มาแรงอย่างฉุดไม่อยู่หนุนให้ Joseph Lubin กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน และเขาตั้งเป้าวาดแผนสร้างอาณาจักรธุรกิจแห่งอนาคต แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มสะท้อนภาพความจริง</h2>
Forbes ได้จัดอันดับให้ Joseph Lubin ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีผู้ถือครองเงินดิจิทัลมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าเงินคริปโตสุทธิราว 5 พันล้านเหรียญ โดยประเมินจากรายงานข่าวที่ระบุว่าเขาเป็นเจ้าของเงิน Ethereum ประมาณ 5-10% ของทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ซึ่งตอนต้นปี 2018 มูลค่าตลาดของเงินสกุลนี้พุ่งขึ้นทะลุระดับ 1 แสนล้านเหรียญ

“เทคโนโลยีนี้มีโอกาสมหาศาล” Lubin วัย 54 ปีกล่าวกับ Forbes ระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ “มูลค่าที่แท้จริงมากกว่าระดับปัจจุบันหลายเท่าเพราะสกุลเงินดิจิทัลนี้จะแทรกซึมเข้าไปทั่วทุกมุมของสังคม เราจะพัฒนาทุกอย่างบนพื้นฐานของเทคโนโลยีนี้”

ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2014 เพียงไม่กี่เดือนหลังจาก Ethereum เปิดระดมทุนผ่านการขายเหรียญต่อสาธารณะที่ราคา 30 เซนต์ Lubin ได้ดำเนินการจัดตั้ง ConsenSys บริษัทโฮลดิ้งที่เขาให้คำจำกัดความอย่างยิ่งใหญ่ว่าเป็นเหมือน “ระบบนิเวศเทคโนโลยี” สำหรับสร้างแอพพลิเคชั่นและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโลกอนาคตที่ข้อมูลจะเชื่อมโยงกันเหมือนห่วงโซ่ ไม่ได้กระจุกตัวเพียงที่ใดที่หนึ่ง

ความจริงแล้ว ConsenSys ถือเป็นเครือบริษัทผู้บุกเบิกวงการคริปโตรายแรกโดยประกอบด้วยธุรกิจย่อยมากมายที่พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Ethereum ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญที่สุดของ Bitcoin ในโลกบล็อกเชน ธุรกิจมากกว่า 50 แห่งแตกกิ่งก้านสาขาจาก ConsenSys ขณะเดียวกัน Ethereum ก็ต้องรับมือกับการท้าทายจากแพลตฟอร์มบล็อกเชนคู่แข่งที่พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนแอพพลิเคชั่นอื่น อย่างเช่น EOS ซึ่งประมวลผลธุรกรรมได้ในปริมาณที่มากกว่าวันละประมาณ 10 เท่า และ Dfinity ที่เพิ่งระดมทุนไป 102 ล้านเหรียญจากนักลงทุนเมื่อไม่นานมานี้ โดยหนึ่งในผู้ลงทุนคือธุรกิจร่วมลงทุนรายใหญ่อย่าง Andressen Horowitz แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเทคโนโลยีบล็อกเชนเกือบทั้งหมดยังมีความสามารถในการประมวลผลที่ช้าอยู่ โดย Ethereum ประมวลผลได้เพียงราว 20 ธุรกรรมต่อวินาที ขณะที่ Visa จัดการธุรกรรมมากกว่า 24,000 รายการต่อวินาที

<img class="alignnone size-full wp-image-7019" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/fintech-02.jpg" alt="" width="638" height="481" />

ช่วงต้นปี 2011 Lubin มีโอกาสได้อ่านเอกสารเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ bitcoin ซึ่งจุดประกายให้เขาตาสว่างขึ้นมาทันที “การกระจายตัวของฐานข้อมูลคือสิ่งที่จะเปลี่ยนโลก” เขาตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับ Bitcoin เท่าที่จะสามารถทำได้และในที่สุด Di Iorio ก็ได้แนะนำ  Lubin ให้พบกับ Vitalik Buterin เด็กหนุ่มอัจฉริยะในวงการคริปโตผู้คิดค้น Ethereum ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปี เขาได้อ่านเอกสารสรุปรายละเอียดของ Ethereum ที่ Buterinนำเสนอเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 และ จากนั้น Lubin ได้ลงไปคลุกคลีร่วมปลุกปั้นโครงการ Ethereum ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นพร้อมเข้าประชุมตั้งต้นบริษัทร่วมกับผู้ก่อตั้งรายอื่นๆ

ธุรกิจแรกๆ ที่แตกหน่ออยู่ภายใต้เครือบริษัท ConsenSys คือธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านบัญชีสำหรับการธุรกรรมในสกุลเงินดิจิทัลและระบบปฏิบัติการจัดการลิขสิทธิ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักดนตรีซึ่งมีการนำาเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ แนวคิดสำหรับธุรกิจใหม่ส่วนใหญ่มาจากพนักงานของ ConsenSys และเมื่อโครงการผ่านการอนุมัติ Lubin จะสนับสนุนเงินทุนประมาณ 250,000 ถึง 500,000 เหรียญให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่เพื่อตั้งต้นธุรกิจเป้าหมายคือเพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้พัฒนาจนพึ่งพาตัวเองได้ และเพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย ก็จะดำเนินการแยกตัวธุรกิจย่อยออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ในบางครั้ง

เป้าหมายที่ไกลกว่าของ Lubin คือการเปลี่ยนระบบนิเวศ Ethereum ให้เชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายในรูปแบบใยแมงมุม ซึ่งจุดแข็งก็มาจากความเชื่อมต่อกันของเหล่าธุรกิจในเครือทั้งนี้ ธุรกิจย่อยในเครือของ ConsenSys เพียงไม่กี่รายประสบความสำเร็จตาม เป้าหมาย Balanc3 โครงการซอฟต์แวร์ด้านบัญชีระบุว่าพวกเขามีลูกค้าองค์กร 25 ราย (แต่ไม่ได้ระบุชื่อ) ซึ่งลูกค้าแต่ละรายจ่ายค่าบริการอย่างน้อยปีละ 25,000 เหรียญ

นอกจากนี้ ConsenSys ยังมีบริการแนะนำให้คำปรึกษาต่างๆ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับบล็อกเชน จนถึงปัจจุบันบริการนี้นับว่าเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดของ ConsenSys ในระยะสั้นบริการเหล่านี้จะไปได้สวย จนกระทั่งบริษัทต่างๆ ตระหนักว่าบล็อกเชนไม่ได้เหมาะที่จะนำาไปประยุกต์ใช้กับทุกธุรกิจและบางครั้งอาจแย่กว่าเทคโนโลยีอื่นๆ ด้วยซ้ำ ทั้งนี้ที่ปรึกษาจากบริการของ ConsenSys ได้ช่วยพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์ เช่น Komgo ที่เกิดจากการร่วมมือของธนาคารรายใหญ่ 15 แห่งซึ่งรวมถึง Citi, BNP Paribas และ ABN AMRO โดย Komgo ต้องการนำระบบบล็อกเชนไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการแหล่งเงินทุนของสินค้าที่มีการขนส่งไปยังทั่วโลก อย่างเช่น น้ำมัน นอกจากนี้ที่ปรึกษาของ ConsenSys ยังได้ร่วมงานกับ UnionBank ในฟิลิปปินส์ในการย่นระยะเวลาโอนเงินจนถึงปัจจุบัน

<img class="alignnone size-full wp-image-7022" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/fintech.jpg" alt="" width="638" height="646" />

หากไม่นับรวมบริการให้คำปรึกษาแล้ว สิ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ ConsenSys ก็คือเครื่องมือบนแพลตฟอร์ม Ethereum สำหรับนักเขียนโปรแกรม MetaMask ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบ Ethereum ผ่านหน้าเว็บมีจำนวนการดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง (ไม่มีค่าบริการ) ส่วน Truffle เครื่องมือช่วยนักพัฒนาบริหารจัดการและทดลองรหัสก่อนนำาไปใช้บนเครือข่าย Ethereum ก็มียอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งเช่นกันการเก็บค่าบริการสำหรับเครื่องมือเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยากเนื่องจากลักษณะของสังคมการพัฒนาบล็อกเชนที่มีความเป็นสาธารณะ และไม่มีผู้ใดมีอำานาจควบคุมเด็ดขาด ConsenSys อ้างว่าในอีกไม่ช้าบริษัทจะเริ่มเรียกเก็บค่าบริการจากการใช้ Infura โครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่ทำาให้การเปิดใช้งานสู่เครือข่าย Ethereum สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

“ConsenSys มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของระบบนิเวศเครือข่าย Ethereumมากกว่าบริษัทอื่นๆ ในช่วง 5 ปีแรก” Meltem Demirors ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล CoinShares กล่าวทั้งหมดนี้ดูจะไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงต่อ Lubin ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ลงทุนลงแรงในโครงการต่างๆ เพื่อสร้างผลกำไร

“ความตั้งใจไม่ได้อยู่ที่การตั้งบริษัทและปลุกปั้นธุรกิจให้เติบโตเพื่อทำกำไร” เขากล่าว “แต่เป้าหมายคือการสร้างระบบนิเวศซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวขยายที่แตกกิ่งก้านสาขาเหมือนต้นไม้”

คลิกอ่าน 10 อันดับ มหาเศรษฐีผู้ถือครองเงินดิจิทัลมากที่สุดในโลก

<hr />

<a href="https://bit.ly/2Vz02jN">ติดตามอ่านฉบับเต็ม "ความหวังสุดท้ายเงินดิจิทัล" ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2562 และติดตามได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2Vz02jN"><img class="alignnone wp-image-6384 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/-e1554115232435.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events