เมื่อ “เพชรสังเคราะห์” จากห้องแล็บ ตอบโจทย์ “คนดัง” และสิ่งแวดล้อม

<h2>การทัวร์คอนเสิร์ตนานหลายเดือนและดีลโฆษณาสินค้าให้บริษัทต่างๆ อย่าง Sprite และ Hennessy ช่วยส่งให้กลุ่มศิลปินฮิปฮอปที่ทำรายได้สูงสุดเข้ามาในลิสต์ประจำปี 2561 ของเราด้วยรายได้เฉลี่ย 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และ แร็ปเปอร์ ส่วนหนึ่งก็ยังซื้อหุ้นกันเป็นล่ำเป็นสันด้วย รวมถึง Nas วัย 45 ปี ซึ่งเพิ่งเข้าลิสต์มาเป็นครั้งแรกนับจากวันที่เขาเปิดตัวอัลบั้มแรกเมื่อเกือบ 25 ปีก่อน</h2>
Nas เริ่มผูกมิตรกับนักร่วมลงทุน (VC) Ben Horowitz ในงานดินเนอร์ปาร์ตี้เมื่อ 2-3 ปีก่อน และเริ่มโกยหุ้นดาวเด่นใน Silicon Valley (Lyft และ Coinbase) และสื่อออนไลน์ (Genius และ Mass Appeal) มาตั้งแต่ตอนนั้น เขากล่าวว่าการที่เขาสนใจในสตาร์ทอัพเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ “(ศิลปินฮิปฮอป) พัฒนาเทคโนโลยีอยู่ตลอด ตั้งแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบจานเดียวมาเป็นจานคู่และเฟดเดอร์ปรับระดับเสียงขึ้นลง” และเขาก็ได้เงินจากการที่ขายกิจการของสตาร์ทอัพบางตัว ซึ่งรวมถึงสตาร์ทอัพผลิตกริ่งหน้าประตูชื่อ Ring ที่ขายกิจการให้ Amazon ไป 1.1 พันล้านเหรียญเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ “ไม่มียุคไหนหรอกที่ (แร็ปเปอร์) จะไม่คิดเรื่องการลงทุน แต่โลกเพิ่งเปิดโอกาสให้เราเท่านั้นเอง”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ forbes.com/hip-hop
<h2>10 อันดับแร็ปเปอร์ทำเงินประจำปี 2561</h2>
<img class="alignnone wp-image-3301 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/jay-z.jpg" alt="Jay-Z" width="350" height="245" />
ลำดับที่ 1  Jay-Z
รายได้รวม 76.5 ล้านเหรียญ
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1440">จากแร็ปเปอร์สู่นักธุรกิจ Jay-Z ลงทุนเทคสตาร์ทอัพ</a></li>
</ul>
<img class="alignnone wp-image-3289 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Sean-John-Combs-01.jpg" alt="Diddy" width="250" height="296" />
ลำดับที่ 2 Diddy
รายได้รวม 64 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-3291 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Kendrick-Lamar.jpg" alt="Kendrick Lamar" width="350" height="238" />
ลำดับที่ 3 Kendrick Lamar
รายได้รวม 58 ล้านเหรียญ
<ul>
 	<li>อ่านเรื่องราวของ Kendrick Lamar หนึ่งใน 3 <a href="http://forbesthailand.com/people-detail.php?did=2270">เซเลปรุ่นใหม่ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง บนทำเนียบ 30 under 30 2018</a></li>
</ul>
<img class="alignnone wp-image-3293 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Drake.jpg" alt="Drake" width="350" height="345" />
ลำดับที่ 4 Drake
รายได้รวม 47 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-3294 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/cole.jpg" alt="cole" width="350" height="430" />
ลำดับที่ 5 cole
รายได้รวม 35.5 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-3295 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Dr.-Dre.jpg" alt="Dr. Dre" width="350" height="391" />
ลำดับที่ 6 Dr. Dre
รายได้รวม 35 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-3299 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Nas.jpg" alt="nas" width="250" height="365" />
ลำดับที่ 7 nas
รายได้รวม 35 ล้านเหรียญ

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-3290 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/pitbull-01.jpg" alt="Pitbull" width="250" height="197" />
ลำดับที่ 8 Pitbull
รายได้รวม 32 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-3296 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Future.jpg" alt="Future" width="350" height="244" />
ลำดับที่ 9 Future
รายได้รวม 30 ล้านเหรียญ

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-3298 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/Kanye-West.jpg" alt="Kanye West" width="250" height="375" />
ลำดับที่ 10 Kanye West
รายได้รวม 27.5 ล้านเหรียญ

&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านลิสท์ของปีก่อนที่นี่<a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=1988"> แร็ปเปอร์ผู้มั่งคั่ง: พบ 5 นักร้องเพลงแร็ปที่รวยที่สุดในโลก ปี 2017</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX">คลิกอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2561</a>

<img class="alignnone size-full wp-image-2348" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/%E0%B8%9B%E0%B8%81-NOV-2018.jpg" sizes="(max-width: 250px) 100vw, 250px" srcset="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018.jpg 250w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018-229x300.jpg 229w" alt="" width="250" height="328" />

สุดยอด "แร็ปเปอร์" ทำเงิน ประจำปี 2561

<h2>มีเพียงสิ่งเดียวที่คาดเดาได้ง่ายกว่าการเปลี่ยนชื่อของ Diddy นั่นก็คือเขาเป็นผู้ครองอันดับหนึ่งในการจัดอันดับศิลปินเพลงฮิปฮอปที่ร่ำรวยที่สุดประจำปีของ Forbes แต่ปัจจุบันชายผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในนาม Sean Combs กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งตัวจริง</h2>
ทรัพย์สินของ Jay-Z ทะยานขึ้น 30% ในปีที่ผ่านมาหลังการร่วมลงทุนมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก Sprint ซึ่งตามรายงานระบุว่าได้มีการประเมินมูลค่าของ Tidal บริการมิวสิคสตรีมมิ่งของเขาไว้ที่ 600 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินที่ Jay-Z จ่ายไปเมื่อสองปีที่แล้วเพื่อแลกกับการครอบครองบริษัทดังกล่าวถึงกว่าสิบเท่า

เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าศิลปินเพลงแร็ปคนใดจะได้ขึ้นทำเนียบอภิมหาเศรษฐีเป็นคนแรก Diddy ทำธุรกิจวอดก้าแบรนด์ Cîroc ร่วมกับ Diageo ส่วน Jay-Z เพิ่มความมั่งคั่งของตนเองด้วยธุรกิจแชมเปญแบรนด์ Armand de Brignac และบริษัทที่ทำธุรกิจบันเทิงซึ่งกำลังเติบโตอย่าง Roc Nation

อันดับ 1 DIDDY (Sean Combs)
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 820 ล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/78a92d9a8222ecf7f92684c9415c172c.png" alt="" />

2 ทศวรรษในวงการศิลปิน เขาเปลี่ยนชื่อถึง 3 ครั้งจาก Puff Diddy เป็น P.Diddy และล่าสุดตัดเหลือเพียงแค่ Diddy แต่ต่อจากนี้เขาอาจจะมีชื่อเล่นใหม่คือ “เศรษฐีพันล้าน” มานำหน้าชื่ออีกด้วย มูลค่าทรัพย์สินของเขานอกจากผลงานเพลงแล้ว เขายังเซ็นสัญญาลงทุนในธุรกิจวอดก้า Cîroc ร่วมกับ Diageo ซึ่งทำเงิน 10 หลักให้กับเขา นอกจากนี้ Diddy ยังมีหุ้นในเครือข่ายโทรทัศน์ Revolt, น้ำดื่มอัลคาไลน์ยี่ห้อ Aquahydrate และเหล้าเตกีล่า DeLeon

อันดับ 2 JAY Z
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 810 ล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d516160eafe6e3e4aae66c22dba55ceb.png" alt="" />

Sprint บริษัทเวนเจอร์แคปิตอลเพิ่งเทเงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับ Tidal บริการสตรีมมิ่งเพลงออนไลน์ที่ Jay Z เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ทำให้ Tidal มีมูลค่าตลาดสูงถึง 600 ล้านเหรียญในขณะนี้ คิดเป็น 10 เท่าตัวจากที่ Jay Z เคยลงทุนไปเมื่อ 2 ปีก่อน หุ้นส่วนที่เขามีใน Tidal ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Jay Z ก้าวกระโดดเหนือกว่า Dr.Dre ไปโข รวมถึงการเติบโตของธุรกิจบันเทิง Roc Nation และการร่วมลงทุนในธุรกิจแชมเปญ Armand de Brignac อาจจะส่งให้เขาล้มแชมป์ Diddy ก็เป็นได้

อันดับ 3 DR. DRE
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 740 ล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2ef3e3d1d6d10b0fd8458ef50deeb19a.png" alt="" />

Apple เข้าซื้อบริษัทเครื่องเสียง Beats ที่ Dre เป็นผู้ก่อตั้งด้วยเม็ดเงิน 3 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2014 ซึ่งทำให้เขาสร้างสถิติเป็นศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่ที่สามารถทำเงินได้มากที่สุดภายในปีเดียว หลังจากดีลการขายกิจการให้ Apple ประกาศอย่างเป็นทางการ สุดยอดโปรดิวเซอร์เพลง Dr.Dre ก็เข้าซื้อคฤหาสน์ขนาด 1.4 หมื่นตารางฟุตใน Los Angeles มูลค่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯทันที ตามสถิติจากภาครัฐพบว่าคฤหาสน์หลังนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแล้ว 20% ภายใน 3 ปี

อันดับ 4 BIRDMAN
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 110 ล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6aa2ebe2ed7f97635be7753541b26830.png" alt="" />

เขาและ Ronald “Slim” Williams พี่ชาย ร่วมกันก่อตั้งค่ายเพลง Cash Money Records ซึ่งเป็นต้นสังกัดศิลปินดาวรุ่งของโลก 3 คน นั่นคือ Drake, Nicki Minaj และ Lil Wayne ทั้ง 3 คนเคยมีข่าวลือหนาหูว่าต่างเตรียมจะย้ายต้นสังกัด แต่จนถึงบัดนี้สัญญาของ Cash Money ก็ยังรักษาพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด

อันดับ 5 DRAKE
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 90 ล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2ea1d8d60bbcd9dacafd9337f68690f7.png" alt="" />

View อัลบัมใหม่ของ Drake แร็ปเปอร์วัยเพียง 30 ปีเปิดตัวเมื่อปีก่อน และกลายเป็นอัลบัมแรกที่มียอดสตรีมมิ่งฟังเพลงบน Apple Music ได้ถึง 1 พันล้านครั้ง ทั้งยังเป็นเชื้อเพลิงให้การเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตของ Drake จาก Atlanta ถึง Amsterdam ยิ่งร้อนแรง เขาสามารถโกยเงินได้เฉลี่ยคืนละมากกว่า 100 ล้านเหรียญตลอดการทัวร์ นอกจากนี้ สัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ Apple, Nike และ Sprites จะทำให้เขามีเงินเข้ากระเป๋าได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคตแม้ไม่ได้จัดคอนเสิร์ต

<hr />

<a href="http://goo.gl/4PSEG2">คลิกเพื่ออ่านบทความอื่นๆ จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคมได้ในรูปแบบ e-Magazine </a>

<a href="http://goo.gl/4PSEG2"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b94d33238d01a8ccb0bd6d9a085deb57.png" alt="" /></a>

แร็ปเปอร์ผู้มั่งคั่ง: พบ 5 นักร้องเพลงแร็ปที่รวยที่สุดในโลก ปี 2017

<h2>จำนวนการดาวน์โหลดเพลงผ่านสื่อดิจิทัล ตลอดจนยอดขายอัลบั้มซีดีกำลังลดลงเรื่อยๆ ทั้งที่จริงแล้วทุกวันนี้เราฟังเพลงกันมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับศิลปินที่มีช่องทางสื่อสารกับแฟนๆ อย่ำงเช่น THE WEEKND</h2>
หาก Steve Jobs ยังมีชีวิตอยู่ตอนที่ Apple เปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง Apple Music เมื่อ 2 ปีก่อน เขาก็คงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้เป็นผู้นำในการเปิดตัวครั้งนั้น แต่ในเวลานั้น Jobs คงง่วนอยู่กับการสร้างผลงานฝากไว้ในโลกอื่นๆ เสียแล้ว

ส่วนที่ปรากฏในงานตัวจริงคือ Drake และ The Weeknd 2 ศิลปินหนุ่มเจ้าของแนวดนตรีผสมผสานระหว่างฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง The Weeknd ซึ่งเปิดการแสดงสดเป็นครั้งแรกกับเพลงใหม่ “Can’t Feel My Face” สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ “Can’t Feel My Face” เปิดตัวเป็นครั้งแรกผ่านช่องทาง Apple Music ก่อนจะเรียกจำนวนการเข้าชมได้กว่า 1.5 พันล้านครั้งในทุกช่องทางสตรีมมิ่งหลายๆ คน รวมทั้ง The Weeknd เองรู้ดีว่าสตรีมมิ่งไม่ใช่ช่องทางดนตรีแห่งอนาคตอีกต่อไปเพราะมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แม้ยอดดาวน์โหลดสื่อดิจิทัลกับยอดขายอัลบั้มจริงจะทรุดตัวอย่างหนัก แต่สตรีมมิ่งกลับผลักดันให้ปริมาณการฟังดนตรีรวมทุกช่องทางเพิ่มขึ้น หลังจากที่ Drake (ติดอันดับ 4 ด้วยรายได้ 94 ล้านเหรียญ) กับ The Weeknd (อันดับ 6 ที่ 92 ล้านเหรียญ) มีการสตรีมมิ่งรวมกันทั้งสิ้น 1.75 หมื่นล้านครั้ง นำมาสู่โอกาสทำเงินช่องทางใหม่ๆ เช่น รายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ต

“เราอยู่ในโลกที่ศิลปินไม่ได้ทำเงินจากผลงานดนตรีในรูปแบบที่เราเคยมีในยุครุ่งเรืองกันแล้ว รายได้จริงๆ จะมาก็ตอนเราขึ้นเวทีแสดงนั่นแหละครับ” The Weeknd วัย 27 ปีกล่าว

“ปัจจัยที่หนุนให้แฟนคลับของ The Weeknd และ Drake ทั่วโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นคือการผสมผสานระหว่างฐานแฟนคลับทั่วโลกที่ได้ฟังดนตรีของพวกเขาแบบฟรีๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่พวกเขาเองก็ปล่อยเพลงใหม่ออกมาเรื่อยๆ บวกกับมีการสื่อสารกับแฟนๆ อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด” Michael Rapinหัวหน้า Live Nation กล่าว “มันคือรูปแบบการปล่อยเพลงให้ฟังกันในราคาถูก จากนั้นจึงทำรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตและผู้สนับสนุน"

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Chance the Rapper (อันดับ 95 ที่ 33 ล้านเหรียญ) ศิลปินหนุ่มวัย 24 ปีไม่เคยขายอัลบั้มเพลงหรือเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอะไรเลย แต่ใช้วิธีปล่อยผลงานผ่านบริการสตรีมมิ่งไปเรื่อย วิธีการนี้ทำให้เขามียอดการเข้าฟังมากพอที่จะสร้างรายได้มหาศาล

นอกจากนี้ยังทำเงินได้อีกมากมายจากการแสดงคอนเสิร์ตสุดอู้ฟู่ทั้งตามงานเทศกาลและเวทีการแสดงของตนเอง ตลอดจนสัญญากับแบรนด์ดังอย่าง Apple และ Kit Kat ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการทำธุรกิจแบบ “ฟรีเมียม” ที่แอพพลิเคชั่นต่างๆ นำไปใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วไม่ว่าจะเป็น Tinder หรือ Candy Crush นั่นคือแจกของฟรีให้คนส่วนมาก ก่อนจะเก็บค่าบริการจากแฟนพันธุ์แท้กลุ่มเล็ก The Weeknd เลือกใช้รูปแบบดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพศิลปิน

เขาเป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวเอธิโอเปียที่หนีจากภาวะอดอยากที่ระบาดทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาในยุค 1980 The Weeknd เกิดที่ Toronto โดยมีคุณแม่และคุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู พออายุได้ 17 ปี เขาก็หนีออกจากบ้านและเลิกเรียนหนังสือ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งเกือบจะเป็นจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่างเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ในปี 2010 เขาก็เริ่มบันทึกผลงานดนตรี ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวดนตรีที่เหมาะสำหรับเปิดในงานปาร์ตี้ พร้อมจัดทำเป็นอัลบั้มเผยแพร่ให้ชมกันฟรีๆ ทาง YouTube โดยเลือกชื่อ The Weeknd มาใช้เป็นนามปากกาลับ “ผมไม่อยากเปิดเผยตัวจริง เพราะอยากจะให้แฟนๆ ชอบผมจากผลงานศิลปะทางดนตรีของผมจริงๆ”

ถ้าหากเป็นธุรกิจบันเทิงสมัยก่อน The Weeknd อาจจะต้องรอให้ค่ายเพลงเห็นแวว แต่ในกรณีนี้กลับเป็นฐานแฟนคลับต่างหากที่มองเห็นแววของเขาขณะที่บริการสตรีมมิ่งนั่นเองที่ผลักดันให้ค่ายเพลงต่างๆ หันมาควักเงินลงทุน

สำหรับในอนาคตนั้น The Weeknd ก็ฉลาดไม่น้อย โดยเขากำลังจับตามองธุรกิจบันเทิงด้านอื่นๆ ที่เคยได้รับอิทธิพลจากนวัตกรรมสตรีมมิ่ง “ตอนที่ผมเขียนเพลง ผมมองว่ามันเป็นหนังคือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวสำคัญๆ สักเรื่อง” The Weeknd กล่าว ก่อนจะเปิดเผยก้าวต่อไปของตัวเองว่า “ผมจะทำเพลงออกมาอีกเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสได้ทำงานศิลปะที่ถือเป็นรักแรกของผม คืองานภาพยนตร์นั่นเอง” Netflix ได้ยินแว่วๆ ไหม?

เรื่อง: Zack O,Malley Greenburg เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม

<a href="http://forbesthailand.com/world-detail.php?did=1964">ติดตาม 10 อันดับแรกของการจัดอันดับ CELEB100 คนดังที่ทำรายได้สูงสุดในโลกประจำปี 2017 ที่นี่</a>

<hr />

<a href="http://goo.gl/4PSEG2">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจจากทั่วโลกได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ สิงหาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://goo.gl/4PSEG2"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b94d33238d01a8ccb0bd6d9a085deb57.png" alt="" /></a>

ดนตรีดีและฟรีมีในโลก

<h2 class="p1">HIP-HOP CASH KINGS</h2>
<h2 class="p2">ศิลปินแร็พผู้ทำรายได้สูงสุด</h2>
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/063_489180611-re.jpg" alt="" />
1.DIDDY 60 ล้านเหรียญ
“Don't worry if I write rhymes, I write checks (ไม่สำคัญว่าผมจะแต่งเพลงเองหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ผมมีเงิน)” นี่คือท่อนแร็พหนึ่งในเพลงของ Sean Combs และตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องจริง ศิลปินชื่อดังที่รู้จักกันในนาม Diddy กวาดรายได้ 60 ล้านเหรียญในช่วง 12 เดือนที่ผ่าน นับว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับศิลปินแนวฮิปฮอปรายอื่นๆ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ค่อยมีผลงานเพลงแล้ว แต่ Diddy ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งด้วยรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจย่อยของเขา  ได้แก่ Revolt ช่องรายการเพลงบนเคเบิลทีวี ธุรกิจเสื้อผ้า Sean John น้ำดื่มคุณสมบัติเป็นด่างภายใต้ยี่ห้อ Aquahydrate และวอดก้ายี่ห้อ Cirocซึ่งธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ทำเงินให้เขามหาศาล
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/063_493493968-re.jpg" alt="" />
2. JAY Z 56 ล้านเหรียญ
คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นทั้งหมด 21 ครั้งซึ่ง Beyoncé ภรรยาของเขาร่วมขึ้นแสดง Roc Nation บริษัทสื่อและบันเทิงครบวงจรของเขา และแชมเปญยี่ห้อ Armand de Brignac ทั้งหมดนี้สร้างรายได้มหาศาลช่วยให้เขาติดในอันดับผู้ทำรายได้สูงสุด

<h2><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/063_509880058-re.jpg" alt="" /></h2>
3. DRAKE 39.5 ล้านเหรียญ
ศิลปินเพลงชาวแคนาดาพบกับปีที่ดีที่สุดในเส้นทางอาชีพของเขา รายได้ส่วนใหญ่มาจากการจัดทัวร์คอนเสิร์ต ในช่วงที่เราทำการประเมินรายได้เขาจัดแสดงคอนเสิร์ตทั้งหมด 50 ครั้ง และมีรายได้เข้ากระเป๋าเฉลี่ยคืนละเกือบ 1 ล้านเหรียญ
 <img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/066_DPPI_40216051_056-re.jpg" alt="" />
4. DR.DRE 33 ล้านเหรียญ
การขายธุรกิจหูฟังให้ Apple ช่วยให้เขากวาดรายได้เข้ากระเป๋า 620 ล้านเหรียญพร้อมขึ้นแท่นทำเงินได้สูงสุดในการจัดอันดับของเราในปีก่อน สำหรับปีนี้เขาต้องทำใจว่ารายได้จะน้อยลง 95% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์เพลงและเงินจำนวนหนึ่งจาก Apple นอกจากนี้เขายังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ถ่ายทอดชีวประวัติเรื่อง Straight Outta Compton อันโด่งดังและออกอัลบั้มชุดที่ 3 หลังปล่อยให้แฟนเพลงรอมานาน
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/000_DV2222460-re.jpg" alt="" />
5. PHARRELL 32 ล้านเหรียญ
นักร้องเจ้าของเพลงดัง “Happy” มีรายได้จากหลายทาง ทั้งรายได้วันละหลายร้อยล้านเหรียญจากทัวร์คอนเสิร์ต การจำหน่ายผลงานเพลงและการรับหน้าที่โค้ชในรายการ The Voice นอกจากนี้เขายังผสมผสานรสนิยมทางแฟชั่นเข้ากับความสามารถด้านการเป็นผู้ประกอบการเพื่อเปิดธุรกิจเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ Billionaire Boys Club และ Ice Cream

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events