<h2>แอปพลิเคชัน Kept by krungsri เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ กระปุก “Happy tax free” หวังกระตุ้น สร้างแรงดึงดูดใจกลุ่มผู้ใช้งาน Gen Y และ Gen Z ที่มีอยู่ 86% ออมเงินในรูปแบบ 'เงินฝากประจำปลอดภาษี' มากขึ้น คาดภายในสิ้นปีจะมีผู้ใช้งานจาก 705,000 เป็น 750,000 ราย และมียอดเงินฝากเพิ่มจาก 80,000 ล้านบาท เป็น 90,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดาริกา ภคภาสน์วิวัฒน์ หัวหน้าทีมสร้างสรรค์ Kept by krungsri &nbsp;กล่าวว่า Kept by krungsri เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยปลูกฝังวินัยการออมในชีวิตประจำวัน ผ่านการออกแบบกระปุกออมเงินหลากหลายประเภทแบ่งตามเป้าหมายการเก็บที่แตกต่างกัน เช่น กระปุก Grow, Together, Fun และต่อยอดเงินออมได้กับกระปุกลงทุน Kept Invest ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างฐานผู้ใช้งานที่เติบโตทุกปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ กระปุก “Happy tax free” เงินฝากประจำปลอดภาษีในแอป Kept เพียง 500 บาทต่อเดือน พร้อมดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป รับดอกเบี้ยได้เต็มๆ โดยไม่ต้องเสียภาษี เลือกวันฝากอัตโนมัติได้ตามใจ มีระบบแจ้งเตือนทุกเดือนเพื่อไม่พลาดการออม และสามารถเลือกฝากได้ทั้งแบบ 24 เดือน (ดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี*) หรือ 36 เดือน (ดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี*) ที่ให้ประสบการณ์การออมใหม่ ออมง่าย มีตัวช่วยตลอดการออมนี้ให้ไปถึงเป้าหมาย มีวินัยแค่นี้ก็แฮปปี้ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบัน Kept by krungsri มีผู้ใช้งานกว่า 705,000 ราย และมีสัดส่วน&nbsp;Gen Y และ Gen Z สูงถึง 86% ซึ่งเราเรียกลูกค้าของเราว่า Gen Kept ล่าสุดเราได้ช่วยให้ Gen Kept มียอดเงินฝากเติบโตขึ้นถึง 18% (จากปี 2567) สะท้อนบทบาทของ Kept by krungsri ในการเป็นแพลตฟอร์มการออมที่เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง มาตลอด 5 ปี และเป็นสิ่งยืนยันว่าเราไม่เคยหยุดพัฒนา” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/RA8i5NyFNgttnQAohZSJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RA8i5NyFNgttnQAohZSJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลสำรวจพฤติกรรมและทัศนคติทางการเงิน จากงานวิจัยของกรุงศรี&nbsp;<a href="https://protect.checkpoint.com/v2/r01/___https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/gen-z-finance-survey-2025___.YzJ1OmtydW5nc3JpOmM6bzo3OGEwYjA3YTgxYWY1MmFiZTlmMmIxMjBiNTc5MWFkMDo3OjlkZWY6NTYxODU3MDE0Yjc4YzQzMDQ1NTlkYTczZmU1ZTA5NzZhMGQ2NjNkODMzNjIzNThmYWNmYTY2ZjQ3YTdmYWMxMDpwOlQ6Tg" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px;"> Gen Z Finance Survey 2568</a> พบว่า&nbsp;69% ของ Gen Z มีความกังวลมากที่สุดในเรื่องค่าครองชีพสูง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 จึงให้ความสำคัญกับความมั่นคง ปลอดภัย และการวางแผนทางการเงินระยะยาว&nbsp; &nbsp; โดย 70% ของ Gen Z เริ่มเก็บเงิน เลือกลงทุนเป็นประจำ และเป้าหมายในการออมเงินอันดับหนึ่งคือ การออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน (67.6%) รองลงมาคือ การออมเพื่อท่องเที่ยว (52.1%) และ การออมเพื่อซื้อของขวัญให้ตนเอง (50.0%) แต่ทั้งนี้ แม้ Gen Z จะเห็นความสำคัญของการเก็บออม แต่เกือบครึ่งหนึ่งก็มีแนวคิดที่ว่า “ใช้จ่ายตอนนี้แฮปปี้กว่าออม” ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคทำให้ออมไม่ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรูปแบบการออมของ Gen Z ผลสำรวจพบว่า 80% ของ Gen Z เลือกออมในบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นรูปแบบการออมที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูง ส่วนใหญ่ฝากในรูปแบบออมทรัพย์ธรรมดา หรือ ออมทรัพย์ดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดย 2 เหตุผลหลักที่บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษีไม่เป็นที่นิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ คือ “ไม่รู้จัก” หรือ “หากรู้จัก ก็อาจเข้าใจผิดว่าต้องมีเงินก้อนใหญ่ฝากทุกเดือน” ทำให้เสียโอกาสออมที่ได้รับดอกเบี้ยเต็มๆ โดยไม่ต้องเสียภาษีนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ Kept by krungsri ยังเผยด้วยว่า ภายในสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้งานดาวน์โหลดแอปมากขึ้นเป็น 750,000 ราย และมีเงินฝากผ่านบัญชีจากแอปเพิ่มมากขึ้นจาก 80,000 ล้านบาท หลังเปิดตัวแอปมาได้ 5 ปี กลายเป็น 90,000 ล้านบาท&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/v7rkEJgSDGboCVKUsDYH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="v7rkEJgSDGboCVKUsDYH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ ภาพ :&nbsp;&nbsp;Kept by krungsri เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ylg-reveals-that-thai-gold-prices-surged-33-percent-from-the-beginning-of-the-year" alt="YLG เผยจากต้นปีทองไทยพุ่ง 33% ทองโลกพุ่ง 43% ให้ผลตอบแทนดีสุดในรอบ 46 ปี ชี้มีโอกาสเห็น 60,000 บาท หากค่าเงินยังอ่อน">YLG เผยจากต้นปีทองไทยพุ่ง 33% ทองโลกพุ่ง 43% ให้ผลตอบแทนดีสุดในรอบ 46 ปี ชี้มีโอกาสเห็น 60,000 บาท หากค่าเงินยังอ่อน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Kept by krungsri เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ 'เงินฝากประจำปลอดภาษี' คาดสิ้นปียอดเงินฝากพุ่ง 90,000 ล้านบาท

<h2>AppsFlyer ผู้นำระดับโลกด้านการกำหนดแหล่งที่มาของข้อมูล เปิดเผยรายงานประจำปี 2564 เกี่ยวกับการ สถิติและการใช้จ่ายด้านการทำตลาดแอปฯ การเงิน ในประเทศไทย</h2>
AppsFlyer เผยข้อมูลสำคัญ จาก State of Finance App Marketing report รายงานประจำปี 2564 ที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านการทำตลาดแอปฯ การเงินในประเทศไทย โดยมีหนึ่งในประเด็นที่สำคัญอันได้แก่ การติดตั้งแอปฯ แบบนอนออแกนิค (NOI) ที่ไม่สมสัดส่วนกันกับค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

การเปรียบเทียบดังกล่าว นับตั้งแต่ไตรมาสแรกในปี 2563 ถึง ไตรมาสแรกปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายในการทำตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 แต่มีการติดตั้งแอปฯ การเงินแบบนอนออแกนิคเพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่าที่ร้อยละ 56 ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลมาจากความต้องการแอปฯ ฟินเทคในประเทศไทย ซึ่งพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 64 ในช่วงเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้แล้วมีจุดที่น่าสนใจ คือ ในช่วงล็อคดาวน์ในไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ความต้องการของผู้บริโภคไม่ตกลงเลย แต่กลับมีความต้องการแอปฯ ฟินเทคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนร้อยละ 9

รายงานการทำตลาดแอปฯ การเงิน ประจำปี 2564 ของ AppsFlyer เก็บข้อมูลการติดตั้งแอปพลิเคชั่นเป็นจำนวน 2.7 พันล้านครั้งในเอเชียแปซิฟิค ในช่วงระหว่างไตรมาสแรก ปี 2560 โดยไตรมาสแรกปี 2564 มีการติดตั้งเป็นจำนวน 4.7 พันล้านครั้งทั่วโลก

โดยรายงานดังกล่าวได้วิเคราะห์ออกมาว่ามีการติดตั้งแบบนอนออแกนิค เป็นจำนวน 600 ล้านครั้ง จาก 1,230 แอปพลิเคชั่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม โดยแอปฯ การเงิน แบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ ประกอบด้วย ธนาคารดิจิทัล (Digital Banks), ธนาคาร (Traditional Banks), บริการทางการเงิน (Financial Services), การกู้ยืม (Loans) และ การลงทุน (Investments)

<img class="alignnone size-full wp-image-47102" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/AppsFlyer_001.jpg" alt="" width="600" height="417" />

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้นจะผลักดันฐานผู้ใช้งานจากนอนออแกนิค แต่ก็ไม่ใช่กรณีนี้ในช่วงล็อกดาวน์ในไทย จากรายงานระบุว่าประเทศไทยมียอดผู้ใช้งานจากนอนออแกนิคเติบโตขึ้นร้อยละ 32 (จาก 13.9 เป็น 18.3) ในช่วงระหว่างไตรมาสสอง – ไตรมาสสาม ในปี 2563 แม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการตลาดจะลดลงในช่วงเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ดี นักการตลาดในไทยก็ระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน และเลือกที่จะทำรีมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นและหาผู้ใช้ใหม่ ภายหลังปิดล็อกดาวน์ เพื่อให้ทันกับความต้องการแอปฯ ฟินเทค ที่เพิ่มขึ้น นักการตลาดชาวไทยได้เพิ่มงบใช้จ่ายในการทำตลาดโดยรวมเป็นร้อยละ 94

โรนีน เมนส์ กรรมการผู้จัดการ และประธาน AppsFlyer กล่าวว่า “ปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อวิธีดำเนินธุรกิจ และวิธีการที่ผู้บริโภคตอบสนองและดำเนินการ ภาคส่วนฟินเทคได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่กำลังพัฒนาซึ่งหลายแห่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่มีหลักฐานสำหรับการกู้ยืมเงิน แม้ว่าประเทศไทยจะประสบความสำเร็จตลอดช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลก แต่นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ โดยการทำแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งและการสร้างฐานผู้ใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางการแข่งขันรอบด้าน”

<img class="alignnone size-full wp-image-47104" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/AppsFlyer_003.jpg" alt="" width="600" height="489" />

โดยรวมแล้ว นักการตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 244 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือคิดเป็นเงินไทยราว 7,320 ล้านบาท) ลงทุนในแอปฯ ฟินเทค เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ในปี 2563 ที่ผ่านมาซึ่งคิดเป็นยอดการใช้จ่ายร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับตลาดโลก

รายงานดังกล่าวยังได้บอกเหตุผลว่าทำไมแอปฯ การเงินจึงมีความต้องการสูงในไทย เพราะผู้บริโภคชาวไทยเข้าสู่วิถีชีวิตแห่งฟินเทค ใช้งานแอปการเงินบนมือถือหลากหลายประเภท โดยแอปด้านการลงทุนเป็นแอปฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดร้อยละร้อยละ 31 แอปฯ กู้ยืมเงิน และการบริการการเงิน ซึ่งรวมแอปการชำระเงินผ่านโมบายเพย์เม้นท์ และแอปฯ เครดิตการ์ด ด้วยสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ร้อยละ 25 และ 24 ตามลำดับ

หากกล่าวถึงการฉ้อฉลทางไซเบอร์ อัตราส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงสูง แม้ว่าตัวเลขจะดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 - 2564 การฉ้อฉลทางไซเบอร์ลดลงร้อยละ 20 อันเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญของโซลูชั่นด้านการต่อต้านการฉ้อโกงทางไซเบอร์ (anti-fraud) นักการตลาดในภูมิภาคเองก็พยายามต่อสู้กับภัยร้ายนี้

จากรายงานของ AppsFlyer ได้แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนการฉ้อฉลของแอปฟินเทคในไทยลดลง โดยแอปฯ บริการทางการเงินลดลงร้อยละ 48 แอปการลงทุนลดลงร้อยละ 36 ในขณะที่แอปกู้เงินลดลงร้อยละ 33

<img class="alignnone size-full wp-image-47105" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/AppsFlyer_004.jpg" alt="" width="600" height="457" />

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/strategies/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%95%E0%B8%B4.html">ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล ภารกิจติดสปีด “เงินติดล้อ” ผงาดในอาเซียน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events