Irfan Razack นักพัฒนาที่ดินมือฉมังแห่ง ‘อินเดีย’

<h2>2 สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจากอินเดีย เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า</h2>
<figure><img class="wp-image-48291" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-60e7fb38f82c3329b5ca0980-960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Info Edge" width="720" height="480" /><figcaption> Sanjeev Bikhchandani ผู้ก่อตั้งและรองประธานบริหาร Info Edge เจ้าของ Naukri.com</figcaption></figure>

สตาร์ทอัพแห่งแรก ได้แก่ <a href="https://www.forbes.com/sites/nramakrishnan/2021/07/11/two-indian-unicorns-plan-mega-ipos/?sh=67583898705c">Zomato</a> เว็บค้นหาร้านอาหาร ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 โดยเริ่มจากการเป็นเว็บไซต์รวบรวมรายชื่อร้านอาหารใน 41 เมืองของอินเดีย ก่อนที่จะขยายไปสู่บริการสั่งอาหารและจองโต๊ะอาหาร

โดย Zomato จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 14 กรกฎาคม ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนให้ได้ราว 9.375 หมื่นล้านรูปี (ประมาณ 1.25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ผ่านการออกหุ้นใหม่และหุ้นที่เสนอขายโดย Info Edge บริษัทแม่ ที่ราคาระหว่าง  72 ถึง 76 รูปีต่อหุ้น

Info Edge ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 18.6 ในแพลตฟอร์มส่งอาหาร ก่อตั้งโดย <a href="https://www.forbes.com/profile/sanjeev-bikhchandani/?sh=5294f83436eb">Sanjeev Bikhchandani </a>ผู้ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ตชาวอินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 3.1 พันล้านเหรียญในการจัดอันดับมหาเศรษฐีแบบเรียลไทม์

นักลงทุนรายอื่นๆ ของ Zomato ได้แก่ Uber B.V., Alipay Singapore, Antfin Singapore, Tiger Global, Sequoia Capital, D1 Capital Partners, Temasek, Kora Management, VY Capital และ Glade Brook Capital อ้างอิงตามข้อมูลที่จัดทำโดย Venture Intelligence ซึ่งติดตามข้อมูลการเงินของบริษัทเอกชน

<figure><img class="wp-image-48292" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-60e84eadef18cdaf76118143-960x0.jpgcropX1109cropX22873cropY1262cropY22004.jpg" alt="Paytm" width="720" height="454" /><figcaption> Vijay Shekhar Sharma ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Paytm กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม SoftBank World 2019 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น</figcaption></figure>

ลำดับถัดไปคือ Paytm แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งเพิ่งปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท และมีแผนเสนอขายหุ้น IPO ประมาณ 1.66 แสนล้านรูปี (2.23 พันล้านเหรียญ)

Paytm ก่อตั้งโดย Vijay Shekhar Sharma ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.3 พันล้านเหรียญ โดยได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Alibaba, SoftBank, SAIF (ปัจจุบัน คือ Elevation Capital), Berkshire Hathaway, T Rowe Price และ MediaTek

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทั้ง 2 บริษัทจะยังไม่สามารถทำกำไรได้ แต่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวนับเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำหรับพนักงานในการสร้างรายได้ด้วยการขายหุ้นที่ตนได้มาในราคาต่ำ

“ยุคสมัยของสตาร์ทอัพอินเดียกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ” Mohit Bhatnagar กรรมการผู้จัดการ Sequoia India ซึ่งเป็นนักลงทุนรายแรกใน Zomato กล่าว “การเข้าทำ IPO ถือเป็นก้าวสำคัญ และที่สำคัญกว่านั้น ยังบ่งบอกถึงความทะเยอทะยานและความกล้าหาญของทีมผู้ก่อตั้งและความปรารถนาที่จะสร้างบริษัทที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา”

“ปีนี้ เราได้เห็น Indigo Paints, Appier, Stovecraft จากพอร์ตโฟลิโอของ Sequoia Capital India เดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับบริษัทสตาร์ทอัพรายอื่นๆ อีกหลายรายที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” Bhatnagar กล่าวเสริม 

ปัจจุบัน Zomato ระดมทุนได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญจากธุรกิจเงินร่วมลงทุนในหลายรอบ ขณะที่ Paytm ระดมทุนได้ประมาณ 4.1 พันล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของ Zomato ระบุว่าบริษัทมีมูลค่าการขาดทุนลดลงอยู่ที่ 8,164 ล้านรูปีในปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2021 จาก 23,856 ล้านรูปีในปีก่อน 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานลดลงเหลือประมาณ 19,938 ล้านรูปีจาก 26,047 ล้านรูปีในปี 2019-2020 ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 21,184 ล้านรูปีในปี 2020-21 เทียบกับ 27,427 ล้านรูปีเมื่อปีที่แล้ว

ด้าน One 97 Communications ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Paytm (ซึ่งย่อมาจาก Pay through mobile) มีรายได้ 31,150 ล้านรูปีในปีงบประมาณสิ้นสุด ณ เดือนมีนาคม 2020 โดยมีบริษัทจดทะเบียนเป็นบริษัทโฮลดิ้ง บริษัทย่อย และบริษัทร่วม 39 แห่ง รวมทั้งกิจการร่วมค้า

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Two Indian Unicorns Plan Mega IPOs เผยแพร่บน Forbes.com

<article id="post-48215" class="post-48215 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-asia category-world tag-bank-permata tag-7288 tag-3307">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ชาติศิริ-โสภณพนิช-เผยเหต.html">ชาติศิริ โสภณพนิช เผยเหตุผลการเข้าซื้อ Bank Permata อินโดนีเซีย</a>

</div>
</article>

นักลงทุนจับตา 2 สตาร์ทอัพยูนิคอร์นอินเดีย เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์

<h2>Subhash Runwal เศรษฐีอินเดียผู้ที่ล่าสุดติดโผบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศอินเดียเมื่อต้นปี 2015 โดยปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 87 ของทำเนียบเศรษฐีในอินเดีย แม้จะไม่เคยติดอันดับ Forbes มาก่อน แต่ประวัติการสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาน่าสนใจไม่น้อย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในวันนี้ ที่เริ่มมาจากศูนย์เมื่อ 37 ปีก่อน</h2>
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์แห่งเมือง Mumbai ผู้นี้ เกิดที่ Dhulia เมืองเล็กๆ ในรัฐ Maharashtra ทางฝั่งตะวันตกของประเทศอินเดีย แม้จะมีปู่เป็นถึงพ่อค้าจิวเวลลี่ แต่ชีวิตในวัยรุ่นกลับเป็นช่วงที่ลำบากของพี่น้อง 5 ชีวิต Runwal ดิ้นรนหาทางเรียนต่อที่เมือง Pune โดยเลือกเรียนด้านบัญชีเพราะเขาเป็นคนที่ชอบเรื่องตัวเลขมาก หลังจากจบการศึกษา

เขามุ่งหน้าไปเมือง Mumbai ทันที และหางานด้านการตรวจสอบบัญชีเพื่อเลี้ยงชีพ โดยขณะนั้น Runwal ในวัย 21 ปีมีเงินติดตัวอยู่ในกระเป๋าเพียง 100 รูปีหรือไม่ถึง 2 เหรียญเท่านั้น เขาเริ่มงานครั้งแรกกับ Ernst &amp; Ernst หรือ EY (Ernst &amp; Young) ในปัจจุบัน หนึ่งในบริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ของโลก ที่เมือง St. Louis มลรัฐ Missouri เพียง 6 เดือนเขาก็แพ็กกระเป๋ากลับบ้าน เพราะไม่ชอบไลฟ์สไตล์แบบอเมริกัน

หลังจากกลับมาที่ Mumbai ก็ทำงานด้านบัญชีให้กับบริษัทเคมีภัณฑ์แห่งหนึ่ง ด้วยทัศนคติ “ผมทำได้”ของเขาที่สามารถจัดการปัญหาให้กับบริษัทในหลายๆ เรื่อง ทำให้เขาเลื่องชื่อในด้านการเป็นนักแก้ปัญหา งานไหนที่ว่ายากหรือจบไม่ได้ ให้โยนมาที่ Runwal โดยเฉพาะงานที่จะต้องดีลกับราชการที่ค่อนข้างหัวโบราณ

นอกจากนี้ การที่เขาสามารถพูดภาษา Marathi ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นได้อย่างคล่องแคล่วจึงสามารถเชื่อมสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองท้องถิ่นได้อย่างลื่นไหล ภายหลังนักบัญชีอยู่เกือบ 10 ปี จึงตัดสินใจกระโจนเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในกฎหมายการกำหนดเพดานการถือครองที่ดินในเมือง จึงไม่รอช้าที่จะศึกษากฎหมายดังกล่าวอย่างละเอียดโดยที่ดินผืนแรกที่เขาซื้อเป็นที่ดินขนาด 22 เอเคอร์หรือราว 55 ไร่ในเมือง Thane ซึ่งต่อมากลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเขา และสามารถโกยกำไรมหาศาลจากดีลนั้นเอง

ในปี 1978 Runwal วัย 35 ปี ได้ตั้งบริษัท Runwal Group ที่เน้นการพัฒนาอพาร์ตเมนต์สำหรับกลุ่มลูกค้าชนชั้นกลางในแถบชานเมือง โครงการส่วนใหญ่จะมีคำว่า Runwal อยู่ในชื่อโครงการด้วย โครงการแรกเป็นอพาร์ตเมนต์ขนาด 1 หมื่นตารางฟุตในเมือง Thane แต่โครงการที่สร้างความฮือฮา คือ Runwal Nagar ซึ่งเป็นอะพารต์เมนต์จำนวน 16 ตึกแถบชานเมือง Thane ที่มีราคาพุ่งขึ้นกว่าเท่าตัวหลังจากเปิดขายไปเพียงปีครึ่งเท่านั้น

แม้จะสนใจในโครงการอื่นๆ อย่าง อุตสาหกรรมเหล็ก และยา แต่ที่สุดแล้ว Runwal ก็กลับมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์โดยนอกจากโครงการที่เน้นกลุ่มชนชั้นกลางแล้ว ยังได้ขยับไปทำโครงการระดับไฮเอนด์บริเวณทางใต้ของเมือง Mumbai และสนใจทำศูนย์การค้าหลังจากลูกชายทั้งสองเริ่มเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวโครงการแรกคือ R Mall ศูนย์การค้าที่มีพื้นที่ 2.5 แสนตารางฟุตหรือราว 2.3 หมื่นตารางเมตรในเมือง Mulund เปิดตัวในปี 2002

นอกจากนี้ ยังมี R City Mall ในเมือง Ghatkopar ศูนย์การค้าพื้นที่ 1.2 ล้านตารางฟุตหรือราวแสนกว่าตารางเมตรที่เปิดตัวในปี 2009 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกองทุน GIC (Government of Singapore Investment Corp.) หรือบรรษัทการลงทุนของรัฐบาลสิงโปร์ และ Runwal Group ยังได้ CapitaLand บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากสิงคโปร์มาร่วมลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2006 อีกด้วย แต่ทั้งสองพันธมิตรร่วมทุนเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ CapitaLand จะถอนทุนกลับไป

ปัจจุบัน Runwal Group พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยไปแล้วกว่า 65 โครงการ รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 20,000 ยูนิต และยังซื้อที่ดินเตรียมพัฒนาโครงการใหม่อีกมากมาย โดย Sundeep และ Subodh Runwal ลูกชายทั้ง 2 คนเข้ามาช่วยงานของพ่อมากขึ้น ทำให้ Runwal มีเวลาให้กับงานการกุศลในบ้านเกิดของเขา โดยในแต่ละปีเขาจะบริจาคเงิน 1.5 ล้านเหรียญให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ และทุนการศึกษาแก่ผู้ยากไร้อีกด้วย

<hr />

<a href="http://goo.gl/r8jc9k">คลิ๊กอ่าน "Lee Shau-Kee 1 ใน 5 มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้จับอะไรเป็นทอง" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2015</a>

<a href="http://goo.gl/r8jc9k"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/November%202015/cover---forbes-Life.png" alt="" width="363" height="434" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events