<h2>Horacio Fernandez ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Tajin ได้เปลี่ยนเครื่องปรุงเม็กซิกันต้นตำรับซึ่งทำจากพริกพื้นเมืองที่มีความสำคัญระดับชาติให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องเทศมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยการขายให้ชาวอเมริกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทผลิตเครื่องปรุงรสจากพริก Industrias Tajin บนพื้นที่ 20 เอเคอร์ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขาของเมือง Jalisco ประเทศเม็กซิโก มีทางเข้าเป็นถนนยาวครึ่งไมล์ที่มีต้น Montezuma Bald Cypress เรียงรายอยู่ข้างทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อไปถึงครึ่งทางถนนจะตีโค้งรอบ molcajete หรือครกและสากขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนัก 70,000 ปอนด์ และทำจากหินภูเขาไฟก้อนเดียว มีธงใหญ่ยักษ์ 3 ผืน ยาว 26 ฟุต สูง 13 ฟุต ปักอยู่เหนือตึกสำนักงานใหญ่ที่เป็นกระจก ธงหนึ่งมีโลโก้ Tajin ที่ใช้รูปพริกแทนตัว i ตรงกลางคือธงเม็กซิโก และทางซ้ายคือธงอเมริกา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเห็นสัญลักษณ์ของอเมริกาขนาดใหญ่เบิ้มห่างจากเมือง Houston ไปทางใต้ราวพันไมล์นั้นอาจทำให้คุณฉงน เว้นแต่คุณจะรู้ที่มาที่ไปของมัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Horacio Fernandez ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Tajin วัย 66 ปี อธิบายว่า “ความฝันแบบอเมริกันเป็นแรงบันดาลใจให้ผม คุณต้องสร้างธุรกิจด้วยการทำงาน ด้วยความคิด และด้วยนวัตกรรมของคุณเอง ซึ่งเป็นเรื่องยากในเม็กซิโก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Fernandez คิดค้นส่วนผสมเครื่องปรุงนี้เมื่อ 40 ปีก่อนในครัวที่บ้านโดยได้ไอเดียมาจากสิ่งที่คุณยายเคยใช้ เป้าหมายของเขาคือ การขายรสชาติแบบเม็กซิกันแท้ๆ ในตลาดสหรัฐฯ นับเป็นแผนธุรกิจที่หาญกล้ามากในยุคที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกาบางแห่งไม่มีแม้แต่พริกฮาลาเปญโญวางขาย และ Chi-Chi’s ซึ่งก่อตั้งในเมือง Minneapolis เป็นหนึ่งในร้านอาหาร “เม็กซิกัน” ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาประสบความสำเร็จจากการผลิตสินค้าเม็กซิกันที่มุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันโดยตรง ในขณะเดียวกันก็ช่วยอนุรักษ์ (ผ่านการค้า) พริกพื้นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะเอกลักษณ์ประจำชาติเม็กซิโกนั่นคือ chile de arbol de Jalisco ซึ่งปรากฏอยู่ในโลโก้ของ Tajin โดย Fernandez ที่สวมหมวกคาวบอยผู้ซึ่งแทบไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ที่ไหนบอกว่า ปัจจุบันบริษัทขายในอเมริการาว 40 ล้านปอนด์ต่อปี โดยส่วนใหญ่ขายที่ Walmart ทั้งนี้สหรัฐฯ เป็นตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังกระแสความคลั่งไคล้แบรนด์นี้ โดยคิดเป็น 60% ของธุรกิจทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes คาดว่า รายได้ต่อปีของ Industrias Tajin จะอยู่ที่ 300 ล้านเหรียญ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 70% และอัตรากำไรสุทธิ 30% ทั้งยังประเมินว่า ธุรกิจนี้มีมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ Fernandez ผู้ก่อตั้งบริษัทในปี 1985 และ Aldo น้องชายของเขาซึ่งเข้าร่วมหลังจากนั้น 11 ปี ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัท ส่วน Sergio Arias นักธนาคารที่มาเป็นประธานเจ้าหน้าที่การเงินในปี 1996 ถือหุ้น 3% ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ยอดขายของ Tajin เติบโตในอัตราทบต้น 15% ซึ่งเร็วกว่าหมวดสินค้าเครื่องเทศของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญถึง 3 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Fernandez บอกว่า Tajin ซึ่งได้รับสิทธิในการทำเมนูร่วมกับแบรนด์ต่างๆ ตั้งแต่ Taco Bell ไปจนถึงมายองเนสของ Hellmann’s ได้รับข้อเสนอจาก Nestle, ConAgra, Unilever และ Kraft แต่เขายังไม่รู้สึกอยากขายกิจการ “ผมไม่ได้ทำเพราะเงินอย่างเดียว” Fernandez กล่าว เขาใช้สมบัติบางส่วนไปกับโรงเรียนส่งเสริมศิลปะเครื่องปั้นดินเผาเม็กซิกันแบบดั้งเดิม รวมถึงบ้านไร่ยุคอาณานิคมในรัฐ Jalisco ที่สร้างขึ้นในปี 1564 และถูกซื้อมาในปี 2021 สำหรับจัดงานต่างๆ เรื่อง: Chloe Sorvinoเรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะภาพ: Ethan Pine เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/asia/manoj-punjabi-md-entertainment-indonesia-billionaire" alt="Manoj Punjabi เศรษฐีอินโดฯ ผู้ซื้อช่องทีวีขาดทุนเพื่อสร้างช่องที่เติบโต">Manoj Punjabi เศรษฐีอินโดฯ ผู้ซื้อช่องทีวีขาดทุนเพื่อสร้างช่องที่เติบโต</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/?action=book_details&amp;book_id=359573" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 300px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/DrNGgArnC5hj441hT4H9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="DrNGgArnC5hj441hT4H9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="312,406" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></figure></div>

Horacio Fernandez เปลี่ยนพริกพื้นเมืองเม็กซิโกเป็นธุรกิจมูลค่าหลักพันล้านด้วยการขายให้ชาวอเมริกัน

<h2>สิ่งหนึ่งที่ Donald Trump ประกาศในการหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ คือการเปลี่ยนชื่อ ‘อ่าวเม็กซิโก’ (Gulf of Mexico) เป็น ‘อ่าวอเมริกา’ (Gulf of America) ซึ่งหากถามว่าจะมีใครเข้าร่วมกับเขาบ้าง อย่างน้อยก็มี Google แล้วหนึ่ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Google ประกาศว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อ ‘อ่าวเม็กซิโก’ (Gulf of Mexico) เป็น ‘อ่าวอเมริกา’ (Gulf of America) บนแอปพลิเคชัน Google Maps หลังจากที่หน่วยงานภายใต้รัฐบาล Trump ได้ทำการแก้ไขข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่เก็บรวบรวมชื่อสถานที่ต่างๆ (Geographic Names Information System หรือ GNIS) เสร็จสมบูรณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากอ่าวเม็กซิโกแล้ว Google ยังเตรียมเปลี่ยนชื่อ ‘ยอดเขาเดนาลี’ (Mount Denali) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือและตั้งอยู่ในรัฐอลาสกา กลับเป็น ‘ยอดเขาแมกคินลีย์’ (Mount McKinley) ด้วยเช่นกัน โดยหากสืบสาวย้อนกลับไป เดนาลีเป็นชื่อดั้งเดิมของยอดเขาแห่งนี้ในภาษาพื้นถิ่น แต่ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อเป็นยอดเขาแมกคินลีย์เพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตประธานาธิบดี William McKinley แน่นอนว่าทางรัฐอลาสกาก็เรียกร้องให้เปลี่ยนกลับเป็นชื่อเดิม ซึ่งคำขอของพวกเขาก็ได้รับการตอบสนองในสมัยของประธานาธิบดี Barack Obama&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Google อธิบายว่า “ชื่อทางการของสถานที่ต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ผู้ใช้งาน Google Maps จะเห็นชื่อตามพื้นที่ที่ตัวเองอยู่” กล่าวคือผู้ใช้งานในสหรัฐฯ จะเห็นชื่ออ่าวอเมริกา ส่วนผู้ใช้งานในเม็กซิโกจะเห็นชื่ออ่าวเม็กซิโก ในขณะที่ผู้ใช้จากประเทศอื่นจะเห็นทั้ง 2 ชื่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะชวนให้สับสน แต่การเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่างๆ ของ Trump ก็มีเหตุผลเช่นกัน โดยเขาประกาศว่าเป็นไปเพื่อเชิดชูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา ตามที่ระบุไว้ในคำสั่งว่า “ถือเป็นผลประโยชน์ของชาติในการสร้างความตระหนักรู้ถึงมรดกแสนวิเศษของประเทศของเราและเพื่อให้อนุชนอเมริกันในอนาคตได้เฉลิมฉลองให้กับความยิ่งใหญ่ของวีรชนเหล่านี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอ่าวเม็กซิโกเป็นพื้นที่ซึ่งสหรัฐฯ และเม็กซิโก มีความขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน ด้วยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งด้านการประมง การผลิตไฟฟ้า และการผลิตน้ำมัน ซึ่งในระยะหลังดูจะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะเกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้านความมั่นคงและผู้อพยพ ซึ่ง Trump ก็มีแนวทางจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ Trump ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ ต่อเนื่องไปถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดน ยกระดับมาตรการกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมาย เพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนทางใต้ และเสริมรั้วลวดหนาม ตลอดจนผลักดันผู้อพยพจากเม็กซิโกกลับประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เม็กซิโกก็ได้ปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินที่ขนส่งผู้อพยพมาจากสหรัฐฯ ลงจอด นอกจากเม็กซิโกแล้ว โคลอมเบียก็ทำเช่นเดียวกัน ซึ่ง Trump ก็โต้กลับด้วยการประกาศเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากโคลอมเบียทั้งหมด และมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะนำวิธีการเดียวกันมาใช้กดดันเม็กซิโกในเร็วๆ นี้ แหล่งที่มา:​<a href="https://www.theguardian.com/technology/2025/jan/28/google-maps-will-rename-gulf-of-mexico-as-gulf-of-america-in-us" alt="Google Maps will rename Gulf of Mexico as Gulf of America in US">Google Maps will rename Gulf of Mexico as Gulf of America in US</a>​ ​<a href="https://www.cnbc.com/2025/01/27/google-maps-to-show-gulf-of-america-after-government-updates.html" alt="Google says it will change Gulf of Mexico to ‘Gulf of America’ in Maps app after government updates">Google says it will change Gulf of Mexico to ‘Gulf of America’ in Maps app after government updates</a>​ ​<a href="https://apnews.com/article/trump-tariffs-canada-mexico-colombia-a5ee8bc89b7fbb459ee574c002c90df1" alt="Trump’s tariff threat worked on Colombia, but his plans for Canada and Mexico carry higher stakes">Trump’s tariff threat worked on Colombia, but his plans for Canada and Mexico carry higher stakes</a>​ ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/other/japan-government-is-considering-to-boost-matcha-production" alt="รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมดันเกษตรกรผลิต ‘มัทฉะ’ เพิ่มมากขึ้น หลังได้รับความนิยมจนสินค้าขาด - ราคาพุ่ง">รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมดันเกษตรกรผลิต ‘มัทฉะ’ เพิ่มมากขึ้น หลังได้รับความนิยมจนสินค้าขาด - ราคาพุ่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events