<h2><span style="font-size: 20px;">เมืองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หมดจดกำลังเกิดขึ้นทั่วทวีปเอเชียและแอฟริกา หลังจากตลาดเกิดใหม่ทวีความสำคัญในระดับสากลและท้าทายกรอบความคิดเดิมๆ ของวิถีความเป็นไปในโลก</span></h2>
มีประเทศมากกว่า 40 ประเทศที่กำลังก่อสร้างเมืองใหม่นับร้อยแห่ง อาทิ Cyberjaya (มาเลเซีย), Naypyidaw (เมียนมา), Nanhui (จีน), Gracefield Island (ไนจีเรีย), Dompak (อินโดนีเซีย), Tbilisi Sea New City (จอร์เจีย) ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนบทบาทใหม่ของประเทศในสนามเศรษฐกิจโลก และเหล่านี้คือ <strong>5 เมืองสร้างใหม่ที่น่าจับตามอง </strong>ทั้งในแง่บวกและลบรอบทวีปเอเชีย

&nbsp;
<h2>Forest City, มาเลเซีย</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a403617ae22db6d72db5b962339715e6.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption>  (Photo Credit: Country Garden)</figcaption></figure>

โครงการเมืองสร้างใหม่ที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา โครงการมูลค่าการลงทุน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ แห่งนี้ลงทุนร่วมกันระหว่าง <strong>Country Garden</strong> บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากจีน ร่วมกับ <strong>Esplanade Danga</strong> บริษัทของสุลต่านแห่ง Johor <span style="color: #ff0000;">ตัวโครงการมีเป้าหมายที่จะเป็น “คำตอบ” ให้กับชาวสิงคโปร์และชาวจีนที่ต้องการโยกย้ายทรัพย์สิน</span> เพราะพื้นที่ตั้งอยู่ห่างจากประเทศสิงคโปร์เพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น

Forest City คือโครงการที่ต้องการเป็น eco-city บนพื้นที่ 14 ตารางกิโลเมตร ภายในจะมีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอที่ทำให้เมืองปราศจากการใช้รถยนต์ เมื่อสร้างเสร็จในปี 2035 โครงการจะมีทั้งออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า ที่พักอาศัยแนวสูง และโรงแรม ซึ่งรองรับประชากรได้ 7 แสนคน เป็นแหล่งงาน 2.2 แสนตำแหน่ง และสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของมาเลเซีย

<span style="color: #ff0000;">อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้โครงการถูกวิพากษ์วิจารณ์คือการวางเป้าเป็นเมืองอนุรักษ์ธรรมชาติแต่กลับใช้ทรายถึง 162 ล้านลูกบาศก์เมตรมาถมทะเลสร้างเมือง </span>ซึ่งสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงจำนวนคน 7 แสนคนในพื้นที่ 14 ตารางกิโลเมตรนั้นจะทำให้ Forest City กลายเป็นเมืองที่มีคนอยู่หนาแน่นที่สุดในโลก ไปจนถึงการสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัฐมาเลเซียและสิงคโปร์ ปิดท้ายด้วยคำถามที่ว่า<a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=2354"> “ใครกันจะมาซื้อและอยู่อาศัยในเมืองนี้?”</a>

&nbsp;
<h2>Xiong’an New Area, จีน</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 374px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fa5718ed0af2b51481ba962794aea428.png" alt="" width="680" height="374" /><figcaption>  (Photo Credit: People’s Daily Online)</figcaption></figure>

การสร้างเขตใหม่ระดับประเทศ (state-level new area) ของจีนแทบจะการันตีความสำเร็จได้เลย เพราะเขตใหม่นี้จะได้รับการสนับสนุนทุกช่องทางจากรัฐบาล เม็ดเงินนับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะมุ่งตรงไปลงทุนที่เขตใหม่ ตัวอย่างเช่น เขต Pudong เมือง Shanghai, เขต Binhai เมือง Tianjin, เขต Liangjiang เมือง Chongqing เป็นต้น และเขตใหม่เหล่านี้ก็กลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของจีนไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อจีนประกาศการพัฒนาเขตใหม่ระดับประเทศแห่งใหม่อย่าง Xiong’an ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Beijing เพียง 100 กม. นักลงทุนย่อมตื่นตัวที่จะเทเม็ดเงินไปที่นั่น ราคาอสังหาฯ ปรับขึ้น 72% ภายในไม่กี่วัน จนหน่วยงานรัฐต้องสั่งระงับการขายอสังหาฯ ท้องถิ่นในทันที

ทั้งนี้ ตัวเมือง Xiong’an เบื้องต้นจะมีขนาด 100 ตารางกิโลเมตร และวางแผนจะขยายไปให้ถึง 2,000 ตารางกิโลเมตร โดย<span style="color: #ff0000;">วางเป้าเป็นเมือง “ทดลอง” ด้านเศรษฐกิจ คือมีการเปิดเสรีการค้าสูงขึ้น และเป็นฮับของศูนย์วิจัย เทคโนโลยีขั้นสูง และการศึกษา Xiong’an จะเป็นเหมือนเมืองน้องของ Beijing ที่ทำหน้าที่ทางเศรษฐกิจ</span> และให้ตัวเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง

&nbsp;
<h2>Nurkent, คาซัคสถาน</h2>
<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0a1cec6de2542f62971588b9ea285e67.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption>  (Photo Credit: Wade Shepard)</figcaption></figure>

ดินแดนยูเรเชีย พื้นที่ที่แทบจะอยู่ห่างไกลจากมหาสมุทรมากที่สุดในโลก ณ ขอบชายแดนจีน-คาซัคสถานคือ<span style="color: #ff0000;">โซนการพัฒนาสองสัญชาติที่อาจจะเปลี่ยนมุมมองของเราต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของการขนส่งทางบกระหว่างเอเชียและยุโรป</span>

ฝั่งประเทศจีนนั้นคือเมือง Horgos เมืองใหม่มูลค่า 3.25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่มีประชากร 2 แสนคน ขณะที่ฝั่งคาซัคสถานคือเขตเศรษฐกิจพิเศษ Khorgos East Gate ซึ่งบริษัทจีนเข้าไปตั้งท่าเรือบก (Dry Port) และพื้นที่นี้ยังมีโซนการค้าปลอดภาษีที่กำกับร่วมกัน 2 ประเทศอีกด้วย

ฝั่งจีนนั้นพัฒนาไปไกล แต่ฝั่งเมือง Khorgos เรียกได้ว่า มีแต่ด่านศุลกากรกับสถานีรถไฟ แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อรัฐสนับสนุนการพัฒนาเมืองใหม่ Nurkent ที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อเชื่อมต่อการขยายตัวด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมจากเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว โดย <strong>Nursultan Nazarbayev </strong>ประธานาธิบดีของคาซัคสถานประกาศว่า Nurkent จะเป็นกุญแจสำคัญของนโยบายการผลักดันทั้งประเทศให้เติบโตด้วยโลจิสติกส์

&nbsp;
<h2>Colombo Port City, ศรีลังกา</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/75eb65fb5593f0b9f77eb047271ee3e8.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption>  (Photo Credit: portcitycolombo.lk)</figcaption></figure>

อีกเมืองสร้างใหม่ของโลกที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากประเทศจีนเข้าไปสนับสนุนด้านการลงทุน Colombo Port City ถูกสร้างขึ้นริมชายฝั่งของเมืองหลวงแห่งศรีลังกา จุดระหว่างกลางเส้นทางเดินเรือของโลก เชื่อมต่อทั้งเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

ด้วยทำเลทองเช่นนี้ เมื่อปี 2014 รัฐวิสาหกิจจีน <strong>China Harbor Engineering Corporation</strong> จึงนำเม็ดเงิน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มาลงทุนสร้างเขตเศรษฐกิจตามแนวชายฝั่งศรีลังกา และเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องการครอบครองที่ดิน บริษัทนี้จึงวางแผนถมพื้นที่ราว 2.69 ตารางกิโลเมตรยื่นออกไปในทะเล

<span style="color: #ff0000;">หากสร้างเสร็จตามแผนในปี 2041 เมือง Colombo Port City จะเป็นเมืองท่าต้อนรับคนหลากสัญชาติ และมีกฎหมายการลงทุนรวมถึงนโยบายพิเศษของตัวเอง </span>เมืองจะมีโรงแรมลักชัวรี ศูนย์การค้าหรู ออฟฟิศบิลดิ้งจำนวนมาก ไปจนถึงสนามแข่งรถฟอร์มูล่า วัน ทุกอย่างเพื่อแข่งขันกับเมืองท่าเดิมอย่างสิงคโปร์และ Dubai

อย่างไรก็ตาม Colombo Port City เป็นโครงการที่ประเทศอินเดียไม่ชอบใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากที่นี่แล้ว จีนยังมีการลงทุนทั้งในบังคลาเทศ ปากีสถาน มัลดีฟส์ ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์การเมืองโลก และใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจีนอาจจะมีกลยุทธ์ทางทหารหรือกองทัพที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เหล่านี้...ซึ่งตั้งอยู่รายล้อมประเทศอินเดีย

&nbsp;
<h2>Duqm, โอมาน</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/51a0c233fe82128fabde728e55d9aded.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption>  (Photo Credit: arabianbusiness.com)</figcaption></figure>

โอมานกำลังหาทางสร้างความหลากหลายให้เศรษฐกิจที่เคยพึ่งพิงแต่ทรัพยากรธรรมชาติ โดยสิ่งที่ประเทศเลือกคือการพัฒนาภาคธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อให้สอดรับกับ <strong>นโยบาย Belt and Road</strong> ของประเทศจีน

ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมือง Duqm กำลังพัฒนาพื้นที่ขนาด 11 ตารางกิโลเมตร เม็ดเงินลงทุนมูลค่า 1.07 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ไหลสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลอาระเบียที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุง Muscat 550 กม.

โครงการนี้ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน <strong>Oman Wanfang</strong> บริษัทจากเขตปกครองตนเอง Ningxia Hui พื้นที่ของประชาชนชาวจีนมุสลิม ผู้มีองค์ความรู้ในการพลิกที่ดินทะเลทรายว่างเปล่าสู่เขตอุตสาหกรรม โดย<span style="color: #ff0000;">วางแผนให้ Duqm เป็นเขตอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงกลั่นน้ำมัน เมธานอล อุปกรณ์ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง</span> รวมถึงมีเขตที่พักอาศัยครบครันทั้งบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และแหล่งบันเทิง

แม้ผู้ลงทุนจะเป็นบริษัทเอกชน แต่คาดว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เพราะจีนประกาศเต็มตัวว่าโครงการในเมือง Duqm คือสุดยอดสวนอุตสาหกรรมในต่างประเทศของจีน ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันของโอมาน 80% มีปลายทางที่จีน จึงอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งของการลงทุนครั้งนี้

&nbsp;

<em>แปลและเรียบเรียงบางส่วนจากบทความ</em> <em><a href="https://www.forbes.com/sites/wadeshepard/2018/03/29/5-new-cities-that-are-set-to-shake-up-the-future-for-better-or-worse/#126df1aa7250">5 New Cities That Are Set To Shake Up The Future (For Better Or Worse)</a> </em><em>โดย </em><em>Wade Shepard </em><em>ใน </em><em>forbes.com</em>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events