<h2 class="p1">กว่า 3 ทศวรรษแล้วที่ Gail Miller เฝ้ามอง Larry สามีของเธอทำงานสัปดาห์ละ 100 ชั่วโมง และบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านมาเจอลูกๆ ทั้งห้าคนเกือบทั้งเดือนในช่วงที่เขากำลังสร้างอาณาจักรธุรกิจ ซึ่งทุกวันนี้ประกอบด้วยศูนย์จำหน่ายรถยนต์ 60 แห่ง โรงภาพยนตร์ 16 โรง และทีมบาสเกตบอล Utah Jazz</h2>
Gail Miller เขียนว่า “ฉันมีชีวิตอยู่ใต้เงาที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน” ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอที่ชื่อ Courage To Be You: Inspiring Lessons From An Unexpected Journey

เมื่อ Larry Miller เสียชีวิตในปี 2009 Gail เปลี่ยนสถานะจากแม่บ้านมาเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวและประธานของ Larry H. Miller Group ซึ่งมีฐานอยู่ในเมือง Sandy รัฐ Utah

สตรีวัย 74 ปีผู้นี้ยังไปสำนักงานเกือบทุกวัน และเมื่อปีที่แล้วเธอรับประกันว่าทีม Jazz จะยังเป็นทีมของ Utah ต่อไปเรื่อยๆ โดยนำทีมเข้ากองทรัสต์เพื่อป้องกันไม่ให้ทีมถูกขายจนต้องย้ายออกไปจากรัฐรวงผึ้งแห่งนี้

Miller กลายเป็นเศรษฐีรวยที่สุดของ Utah หลังจาก Jon Huntsman มหาเศรษฐีสารเคมีเสียชีวิตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เธอถือกำเนิดหลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ไม่นาน และเติบโตในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิก 10 คน เธอไม่เคยมีปริญญา และมีประสบการณ์ทำงานเพียงอย่างเดียวคือเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ซึ่งเป็นงานที่เธอยังทำต่อมาอีกหลายปี

<img style="width: 638px; height: 478px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c6361b0248c76d45bcd4205ea6c80d11.png" alt="" />
รัฐ Utah
ประชากร: 3.1 ล้านคน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของรัฐ (GSP) ปี 2016: 1.56 แสนล้านเหรียญ (เติบโต 3%)
GSP ต่อหัว: 51,243 เหรียญ (อันดับ 29 จากทั่วประเทศ)
จำนวนมหาเศรษฐีพันล้าน: 1 คน
คนรวยที่สุด: Gail Miller
สินทรัพย์สุทธิ: 1.2 พันล้านเหรียญ
&nbsp;

<hr />

<a href="http://bit.ly/2Jqfqwo">คลิกอ่านความทางด้านธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มิถุนายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2sscxRI"><img style="width: 250px; height: 328px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f88efffd328103b25d80f6c20d7f1bea.jpg" alt="" /></a>

Gail Miller เศรษฐีที่รวยที่สุดในรัฐ Utah

<h2>บางสิ่งที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเห็นพ้องกันคือ ชัยชนะของ Donald Trump เมื่อปี 2016 จะทำให้คนอื่นๆ ในบรรดาผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศพิจารณาสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างไม่ต้องสงสัย </h2>
ในขณะนี้ Donald Trump คือตัวเก็งปี 2020 โดย Betfair บริษัทรับแทงพนันออนไลน์มองว่าเขามีโอกาสชนะ 5/2 แต่ยังมีผู้ท้าชิงร่ำรวยเงินสิบหลักอีกมากมาย แม้ว่าบางส่วนปฏิเสธว่าไม่สนใจงานนั้นก็ตาม 

เราเลยไปเอาแต้มต่อวงพนันมาจาก Ladbrokes และเว็บพนัน Bet365 แล้วขอให้ Mark Penn อดีตนักทำโพลผู้ช่ำชองให้พรรคเดโมแครตลองวิเคราะห์สนามนี้

MARK ZUCKERBERG

<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/71c446298ac10c75554b5d7d4635bc66.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 7.58 หมื่นล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 28/1
Penn: (หัวเราะ) “เขาไม่มีทักษะที่จะใช้การได้จริงๆ ในแวดวงการเมือง”

JEFF BEZOS

<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0096167a026d3a74281bd1c1735134d4.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 1.14 แสนล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 50/1
“ไม่ใช่รอบนี้ แต่ผมสงสัยว่าอาจจะในอีก 2-3 รอบ...ผู้ซึ่งกลายเป็นคนร่ำรวยที่สุดในโลก และบริหาร Amazon มีศักยภาพบางอย่าง”

MICHAEL BLOOMBERG

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a3c4c48537a77a94fd64312771635f53.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 5.29 หมื่นล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 50/1
“เขาควรเข้ามาร่วมวงเมื่อครั้งที่ผ่านมา ผมสงสัยว่าเขาคงจะไม่เข้ามาชิงชัยอีกแล้ว”

JAMIE DIMON
(ประธานกรรมการธนาคาร JP Morgan Chase)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/505f908077088a89e3adc529bc07569d.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 1.3 พันล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 50/1
“ผมไม่เห็นว่าอเมริกาจะเอานายแบงก์มานั่งในทำเนียบขาวเร็วๆ นี้”

OPRAH WINFREY

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fd6b19b7e32dd5943d64081e9f41b536.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 2.9 พันล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 66/1
“ผมมองว่าโอกาสเธอต่ำกว่าภาพลักษณ์ที่สื่อออกมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งฝั่งเดโมแครตกำลังมองหาใครบางคนที่มีประสบการณ์ในรัฐบาลและการเมือง”

MARK CUBAN
(นักลงทุน เจ้าของทีมบาสเกตบอล Dallas Mavericks)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/41d639baaf2fa7c4a0d879e6dcbd0db8.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 3.3 พันล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 80/1
“รู้วิธีทำเสียงดังสร้างความสนใจ”

BILL GATES

<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d46840c6e76e56f2c999e64998d18519.png" alt="" />
สินทรัพย์สุทธิ*: 9.25 หมื่นล้านเหรียญ
แต้มต่อ: 150/1
“ขอพูดแบบเต็มที่: ผมทำงานกับเขามาหลายปีแล้ว เขาเข้าใจเรื่องบริการสุขภาพ สถานการณ์ต่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ เขาคงจะลงแข่งขันในฐานะผู้สมัครอิสระ”

*ข้อมูลก่อนการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกครั้งล่าสุดของนิตยสาร FORBES

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HaFurN">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://bit.ly/2HaFurN"><img style="width: 250px; height: 327px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/97891240d6b165e726b23c91d5985a6d.png" alt="" /></a>

7 เศรษฐีอเมริกันที่อาจลงสมัครชิงตำแหน่ง ‘ประธานาธิบดี’ ตามอย่าง Donald Trump

<h2>มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน 400 อันดับแรกของสหรัฐฯ จบการศึกษาจากที่ไหนกันบ้าง? นี่คือโผการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ปั้นเศรษฐีจำนวนมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยนับเฉพาะการศึกษาระดับปริญญาตรีเท่านั้น</h2>
อันดับ 1 University of Pennsylvania (18 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a93d8014d10a474fed2240ec86581fa.png" alt="" />

ศิษย์เก่าที่จบจากที่นี่ เช่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump (รวมถึงลูกๆ ของเขา คือ Donald Trump Jr., Ivanka และ Tiffany ล้วนจบจาก UPenn เช่นกัน) และยังมี Steve Cohen มหาเศรษฐีเจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์, Elon Musk ซีอีโอแห่ง Tesla และ SpaceX, Steve Wynn เจ้าพ่อวงการคาสิโน ส่วน Warren Buffett ตำนานนักลงทุนเคยเรียนที่ UPenn 2 ปี ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่ University of Nebraska ที่รัฐ Omaha บ้านเกิดของเขา

&nbsp;
อันดับ 2 Stanford University (13 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f4ed15f61ccd7323945c5bd75b80039.png" alt="" />

Stanford พุ่งขึ้นมาบนโผนี้จากสถานที่ที่ใกล้ชิดกับ Silicon Valley มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตมหาเศรษฐีจากธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมาก เช่น Brian Acton ผู้ถูกปฏิเสธจาก Facebook และไปร่วมก่อตั้ง Whatsapp, Bobby Murphy ผู้ร่วมก่อตั้ง Snapchat เมื่อปี 2011 พวกเขาทั้งคู่เคยเดินอยู่ในโถงมหาวิทยาลัยในฐานะนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

&nbsp;
อันดับ 3 Yale University (13 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/682a314f7350aea35939d345b180b132.png" alt="" />

อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยจาก Ivy League มีมหาเศรษฐีที่จบจากที่นี่ เช่น Stephen Schwarzman ซีอีโอของ Blackstone, Fred Smith ผู้ก่อตั้ง FedEx ซึ่ง Smith เริ่มออกแบบธุรกิจชิปปิ้งสไตล์ FedEx ตั้งแต่เรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย แต่ศาสตราจารย์ที่ปรึกษาของเขากลับไม่เห็นด้วยและไม่ให้เกรดเอกับเขา อย่างไรก็ตาม ช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2017 FedEx ทำรายได้พุ่งเกินกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกไปเรียบร้อยแล้ว

&nbsp;
อันดับ 4 University of Southern California หรือ USC (11 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/efccc0f50195f5487bc14cba079885a7.png" alt="" />

USC มีบัณฑิตที่กลายเป็นเศรษฐีที่แตกต่างหลากหลายมากที่สุด ย้อนไปในปี 1966 George Lucas ผู้สร้าง Star Wars จบการศึกษาจากที่นี่ในสาขาศิลปะภาพยนตร์ 20 ปีต่อมา Mark Benioff ผู้ก่อตั้ง Salesforce จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ และไม่กี่ปีต่อมา Mark Stevens ซึ่งปัจจุบันเป็นนักลงทุนเวนเจอร์แคปิตอลแห่ง Silicon Valley ก็จบปริญญาตรีควบ 2 ใบในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและเศรษฐศาสตร์

&nbsp;
อันดับ 5 Harvard University (11 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c97d3e634e30e5b0ba814c9fe8d6f60d.png" alt="" />

เศรษฐีที่ติดอันดับส่วนใหญ่จบปริญญาโทจาก Harvard แต่ในมุมของการศึกษาระดับปริญญาตรีนั้นอาจจะมีไม่มากเท่า 4 อันดับด้านบน โดยมีเศรษฐีอเมริกันที่จบปริญญาตรีจาก Harvard เช่น Nathan Blecharczyk ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb, Steve Ballmer อดีตซีอีโอของ Microsoft รวมถึงมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่าง Bill Gates และ Mark Zuckerberg (ที่ขอลาออกไปกลางทาง)

&nbsp;
อันดับ 6 Columbia University (8 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a2167b9b516a8e6d33c40961d51efbe1.png" alt="" />

ทำเนียบศิษย์เก่าผู้ร่ำรวยของที่นี่ เช่น Robert Kraft เจ้าของทีม New England Patriots และ Jerry Speyer เศรษฐีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท Tishman Speyer ของเขาคือเจ้าของตึกอันโด่งดังอย่าง Rockefeller Center และตึก Chrysler ใน Manhattan โดยเขาจบจาก Columbia เมื่อปี 1962 ในสาขาภาษาเยอรมัน

&nbsp;
อันดับ 7 University of Michigan (7 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5f8c08eb991f71067252506555032ecb.png" alt="" />

เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลชายฝั่งแห่งเดียวที่ไต่อันดับมาขนาดนี้ ศิษย์เก่าที่รวยที่สุดของ Michigan คือ Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google เขาจบปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมศาสตร์เมื่อปี 1995 ก่อนจะเรียนต่อจนจบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ Stanford อีกหนึ่งเศรษฐีชื่อดังคือ Stephen Ross เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลอย่าง Miami Dolphins โดยเขาจบสาขาบริหารธุรกิจ

&nbsp;
อันดับ 8 Dartmouth College (7 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/05ebd9306a4f4c1438103272a401bf4f.png" alt="" />

Leon Black ผู้ร่วมก่อตั้ง Apollo Global Management จบจากที่นี่ในสาขาปรัชญาเมื่อปี 1973 และในปีเดียวกันนั้นเอง Trevor Rees-Jones ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจน้ำมันและก๊าซก็เรียนจบในสาขาประวัติศาสตร์

&nbsp;
อันดับ 9 Duke University (6 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8993096ec1bf000ba0ba6ff8a193545b.png" alt="" />

เศรษฐีคนดัง เช่น J.B.Pritzker จบจาก Duke ในปี 1987 ในสาขารัฐศาสตร์ และเขายังคงใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที่เพราะเขากำลังทำแคมเปญหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ Illinois หวังว่าการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2018 จะทำให้ตัวเขาจากพรรคเดโมแครตเอาชนะผู้ว่าฯ คนก่อนคือ Bruce Rauner จากพรรครีพับลิกันได้ เศรษฐีคนอื่นๆ ที่เป็นศิษย์เก่ายังมี Marijke Mars ทายาทของอาณาจักรขนมหวาน Mars และ David Rubenstein ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไพรเวทอิควิตี้ Carlyle Group

&nbsp;
อันดับ 10 Cornell University (6 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ec37a46f04077a5ec019afc394604bfc.png" alt="" />

Cornell ต้องขอบคุณ SC Johnson ยักษ์ใหญ่วงการอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เข้ามาเรียนที่นี่ เพราะหลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็มาเรียน Cornell กันหมด ได้แก่ลูกของเขาทั้งสามคน และน้องชายคนเล็ก Winifred Johnson-Marquart ก็ด้วย แม้ว่าจะขอพักการเรียนไปก็ตาม

&nbsp;

และมีเศรษฐีอเมริกันที่เรียนในมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีก 218 คน เก็บสถิติจากฐานข้อมูลจากจำนวนสมาชิก 318 คนของ Forbes 400

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/2JcAAK">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ </a><a href="https://goo.gl/2JcAAK">เพิ่มเติมได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

<a href="https://goo.gl/2JcAAK"><img style="width: 250px; height: 328px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45f4e2f83d6739461ddb245b45757a27.png" alt="" /></a>

10 สถาบันการศึกษายอดนิยมของมหาเศรษฐีอเมริกันจาก Forbes 400

เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา เรื่อง: George Anders
<h2>Howard Schultz CEO ของ Starbucks ไม่ได้อยากลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในทำเนียบขาว แต่ด้วยผลประกอบการที่โตวันโตคืนของกิจการของเขา ทำให้มหาเศรษฐีพันล้านผู้นี้ อยากใช้เม็ดเงินที่ได้จากธุรกิจกาแฟมาช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ สังคมอเมริกัน</h2>
คุณรู้ไหมว่า Howard Schultz CEO ของ Starbucks เก็บอะไรไว้ในกระเป๋าของเขา? ที่เห็นชัดที่สุดก็คือกุญแจสองดอก ดอกแรกเป็นกุญแจของโรงคั่วกาแฟขนาด 15,000 ตารางฟุต ซึ่งถือเป็นร้าน Starbucks ที่อลังการที่สุดในโลก ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Capitol Hill ใน Seattle โดยเป็นทั้งร้านกาแฟระดับบน ซึ่งลูกค้าที่หลงใหลในเสน่ห์ของกลิ่นรสกาแฟสามารถนั่งชมสายพานของกาแฟคั่วสด ที่เพิ่งบรรจุลงถุงผ่านหน้าไปได้  ส่วนกุญแจดอกที่สองของเขา มีไว้สำหรับไขเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เก่าๆ ที่อยู่บริเวณริมน้ำที่ Seattle ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกาแฟ Starbuck ทุกอย่างในร้านนี้ยังคงบรรยากาศแบบเดิมๆ เอาไว้ “บางครั้ง ผมก็จะมาที่ร้านนี้คนเดียวตอนตีสี่สิบห้านาที” Schultz ซึ่งปีนี้มีอายุ 62 ปีบอก “มันเป็นที่ที่เหมาะมาก เวลาผมต้องการจะทบทวนเรื่องอะไรบางอย่าง”

ในขณะที่ CEO ระดับอภิมหาเศรษฐีส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับตัวเลขทางการเงินเป็นหลัก แต่ Schultz ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขามักจะนำสิ่งที่เขาสนใจเข้ามาพิจารณาร่วมกับการทำกำไรในทางธุรกิจ ด้วยเสมอ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามารับหน้าที่ผู้บริหารสูงสุดของ Starbucks ในทศวรรษที่ 1980 เขาได้ทำให้ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐฯ กลายมาเป็นแบรนด์ร้านกาแฟอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2015 Starbucks ทำยอดขายได้สูงถึงกว่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากการที่ร้าน Starbucksขายอาหารและกาแฟควบคู่ไปกับบรรยากาศแบบ feel-good ที่เปิดโอกาสให้เพื่อนฝูงมาพบปะกัน นักเรียนนักศึกษามาทำการบ้าน และคู่รักมาออกเดทกันได้ โดยอาศัยสิ่งที่ Schultz เรียกว่า “การให้บริการโดยอาศัยมุมมองของคนธรรมดาทั่วๆ ไป” โดยกิจการที่รุ่งเรืองของเขาทำให้ Shultz มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึงเกือบ 3 พันล้านเหรียญ แต่เมื่อคุยกันไปเรื่อยๆ เขามักจะย้อนกลับไปพูดถึงสมัยที่เขาเป็นคนธรรมดาที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่างเช่นทุกวันนี้

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/ART-starbucks-04.png" alt="" width="332" height="391" />
“ผมยังเป็นคนเดิม เด็กชายจาก Brooklyn ที่พยายามสู้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะออกไปจากย่านนี้ให้ได้”Schultz บอก เขาโตขึ้นมาในช่วงทศวรรษ 1960 ในเขตที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล และได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานและประกอบอาชีพได้ “ผมไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยระดับ Ivy League ที่ไหน” Schultz บอก “และยังไม่เคยเรียนบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยไหนๆ เลยด้วยซ้ำ” แต่แทนที่เขาจะรู้สึกไม่ดีกับความขาดแคลนในช่วงต้นของชีวิต เขากลับเห็นคุณค่าของมัน เพราะ Schultz พบว่าคนอเมริกันหรือที่ถูกคือคนทั้งโลก ชื่นชอบเรื่องราวชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้นมาจากการฝ่าฟันความยากลำบาก

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา Schultz สนับสนุนให้พนักงานชงกาแฟเขียนคำว่า “Race Together” ไปยังที่ร้าน Starbucks 7,000 สาขา โดยหวังว่าจะเป็นการจุดประกายให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจและพูดคุยเกี่ยวกับ ปัญหาเรื่องเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่ปรากฏว่าแคมเปญนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในแถวยาวเฟื้อยที่คนเข้าคิวรอซื้อกาแฟทุกเช้านั้น ผู้คนต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างที่คาดกันไว้ ในขณะที่พนักงานชงกาแฟก็ต้องมารับหน้าที่ใหม่อย่างฉุกละหุกโดยไม่ได้มีการ วางแผนหรือจัดฝึกอบรมล่วงหน้า ในขณะที่บรรดาลูกค้าก็ได้แต่งุนงงกับสิ่งที่พนักงานทำ และในที่สุด หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ Starbucks ก็เลิกแคมเปญนี้ไป (บริษัทบอกว่าเป็นสิ่งที่วางแผนเอาไว้อยู่แล้ว)

เพราะหากใครที่รู้จัก Schultz จะรู้ว่าเขาเป็นบุคคลที่ชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในปัญหาเรื่องเชื้อชาติและ การพัฒนาสังคมอเมริกาให้ดีขึ้นไป ก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่จะแก้ปัญหาของประเทศอเมริกา อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังสามารถทำให้ร้านกาแฟ Starbucks เป็นเหมือนห้องทดลองสำหรับการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ในปีที่แล้ว Starbucks เปิดร้านกาแฟใหม่ 19 สาขาตามชายขอบของฐานทัพ ซึ่งแตกต่างไปจากทำเลปกติ ทั้งนี้เพื่อจะได้จ้างทหารผ่านศึกและคู่สมรสของเจ้าหน้าที่กองทัพให้มีงานทำ

Bryant Simon ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของ Temple University บอกว่า “สิ่งที่ Howard Schultz ต้องการมาตลอดก็คือการทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การขายกาแฟ” Simon เป็นผู้เขียนหนังสือ Everything but the coffee ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับร้าน Starbucks ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในปี 2009 Simon เป็นผู้ที่เกาะติดเรื่องราวของ Starbucks อย่างต่อเนื่อง และลงความเห็นว่าความริเริ่มต่างๆ ของ Schultz เป็นเหมือนภาพลวงตาที่ถูกจัดวางตำแหน่งเอาไว้อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น Ethos ซึ่งเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดที่เป็นแบรนด์ของร้าน Starbucks เอง ลูกค้าอาจจะรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ได้รู้ว่าเงิน 5 เซนต์จากการอุดหนุนน้ำดื่มขวดนี้จะถูกนำไปช่วยให้ผู้คนในถิ่นทุรกันดารให้มี น้ำสะอาดไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค แต่ในความเป็นจริงแล้ว จากราคาขายที่ขวดละ 1.80 เหรียญ หมายความว่า Starbucks เก็บเงินไว้เองถึง 97% ของราคาขาย

ในช่วงหลังมานี้ แทนที่ Schultz จะเข้าไปดูหมดทุกเรื่อง เขาหันมาให้น้ำหนักกับโครงการใหม่ล่าสุดของ Starbucks ที่เติบโตเร็วที่สุด จนทำให้เขาได้ชื่อเล่นใหม่ว่า Mr. China เพราะทุกไตรมาสเขาต้องเดินทางไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และอีกหลายเมืองในแผ่นดินใหญ่เพื่อขยายกิจการ Starbucks ซึ่งปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่ในจีนขายน้ำชา Frappucino และขนมไว้พระจันทร์ เป็นของว่างยามบ่าย แต่อีกไม่นาน Schultz พูดพร้อมกับยิ้มว่า คนจีนก็จะต้องหันมานิยมดื่มกาแฟตอนเช้าเหมือนตลาดอื่นๆ ในโลกเช่นกัน

ปัจจุบัน Starbucks มีสาขากว่า 2,000 ร้านในจีน เพิ่มขึ้นจากห้าปีก่อนถึงสี่เท่าตัว โดยจำนวนสาขาของ Starbucks ในเซี่ยงไฮ้ (432 สาขา) แซงหน้าโซล และนิวยอร์ค ไปแล้ว ถึงแม้ว่า CEO ของบริษัทส่วนใหญ่จะเครียดกับภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว แต่ไม่ใช่ Schultz เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจีนจะเป็นอย่างไร จำนวนชนชั้นกลางชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จะส่งผลดีต่อธุรกิจของเขา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Schultz บอกกับบรรดานักวิเคราะห์ว่า “สักวันหนึ่ง ธุรกิจของบริษัทในจีนอาจจะใหญ่กว่าในสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/ART-starbuskc.png" alt="" />

<hr />

<a href="http://goo.gl/lvtWCi">คลิ๊กอ่าน "ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกาแฟ" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2016ในรูปแบบ E-Magazine</a>

<a href="http://goo.gl/lvtWCi"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/APRIL%202016/COVER-Resize.png" alt="" /></a>

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกาแฟ

อันดับที่ 8. Michael Bloomberg 
3.86 หมื่นล้านเหรียญ 
Self-made score: 8 
ที่มาของทรัพย์สิน: BLOOMBERG LP 
อายุ: 73 ปี 
ที่อยู่: NEW YORK CITY 
 
Bloomberg เป็นอดีตนายกเทศมนตรีของ New York City ซึ่งถือเป็นนักการเมืองที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ปัจจุบันเขายุ่งอยู่กับพลิกฟื้นธุรกิจสื่อและการให้บริการข้อมูลทางการเงิน ในบริษัทที่ใช้ชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา โดยตั้งแต่ที่เขากลับมารับตำแหน่ง CEO ของบริษัทอีกครั้งในช่วงต้นปี 2015 เขาก็ได้สร้างความสั่นสะเทือนภายในองค์กร Bloomberg News ด้วยการปรับโยกตำแหน่งบรรณาธิการข่าวระดับสูง และมีรายงานว่าเขาได้เริ่มปลดทีมงานในกองบรรณาธิการแล้วถึง 100 ตำแหน่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นทีมที่ดูแลข่าวการเมือง เพื่อที่จะดึงธุรกิจของบริษัทกลับไปเน้นข่าวธุรกิจซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิม และเป็นจุดแข็งของบริษัท 
 
ทั้งนี้ Bloomberg เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของพรรค Democrat มาเกือบตลอดชีวิต ก่อนที่จะพลิกผันไปลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในโควตาของพรรค Republican และดำรงตำแหน่งต่อเนื่องอย่างยาวนานถึงสามวาระ แม้ในปัจจุบันเขาก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในวงการเมืองสหรัฐ โดยเขาได้ทุ่มเงินไปหลายล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนประเด็นสาธารณะอย่างเช่นการ ควบคุมอาวุธปืน และการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อผู้หญิง สิ่งต่างๆ ที่เขาได้ทำลงไปทำให้เขาได้แรงสนับสนุนจากหลายๆ คนที่เป็นผู้ทรงอิทธิพล โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Rupert Murdoch (อันดับที่ 38) ได้ออกมาพูดผ่านสื่อว่า Bloomberg สมควรที่จะลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่ง Bloomberg ยังไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับอย่างไรในเรื่องนี้ 
 
จนถึงปัจจุบัน Bloomberg ยังไม่ได้ประกาศสนับสนุนผู้สมัครคนใดอย่างเป็นทางการ แต่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ New York Times ว่า &ldquo;มีแค่ Hillary กับ Jeb เท่านั้นที่รู้วิธีที่จะบริหารประเทศนี้&rdquo; นอกจากนี้ Bloomberg ยังเป็นนักการกุศลอีกด้วย โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเขาได้ประกาศว่าจะบริจาคเงิน 100 ล้านเหรียญให้กับ คณะเทคโนโลยี 
ของมหาวิทยาลัย Cornell ซึ่งตั้งอยู่ที่ New York City ซึ่งการบริจาครายการนี้ทำให้ยอดเงินที่เขาได้บริจาคมาแล้วตลอดชีวิตที่ผ่าน มาเพิ่มเป็น 3.7 พันล้านเหรียญ ในเดือนเมษายนของปีนี้ มีรายงานข่าวว่า Bloomberg ซื้อบ้านหลังที่สองที่กรุงลอนดอนด้วยราคา 25 ล้านเหรียญ เขาเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกหลายแห่ง รวมถึงใน Hamptons, Manhattan, Westchester County, Colorado และ Bermuda ด้วย 
<hr />
<a href="http://goo.gl/c1X97V">คลิ๊กอ่าน "The Forbes 400 ทำเนียบอภิมหาเศรษฐีอเมริกัน 2015" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2015</a> 
 
<a href="http://goo.gl/c1X97V"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="435" src="/uploads/userfiles/images/November%202015/Cover.jpg" width="328" /></a>

Michael Bloomberg อภิมหาเศรษฐี แห่ง BLOOMBERG LG จาก The Forbes 400 ทำเนียบอภิมหาเศรษฐีอเมริกัน 2015

อันดับ 17. Phil Knight 
2.44 หมื่นล้านเหรียญ 
 
Self-made score: 8 
ที่มาของทรัพย์สิน: NIKE 
อายุ: 77 ปี 
ที่อยู่: HILLSBORO, OREGON 
 
ในขณะที่ราคาหุ้น Nike วิ่งขึ้นถึง 35% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเดือนมิถุนายน Knight ได้ประกาศว่าเขาจะก้าวลงจากตำแหน่ง chairman ของบริษัท และในขณะเดียวกัน Travis ลูกชายของเขาก็เข้ามานั่งเป็นบอร์ดของบริษัท และเขาก็โยกหุ้น Nike ที่เขาถืออยู่ส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ที่บริษัทที่ใช้ชื่อว่า Swoosh LLC. ต่อจากนี้ไป Mark Parker ซึ่งเป็น CEO ของ Nike ซึ่งร่วมงานกับบริษัทมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของบริษัทโดยเริ่มงานในตำแหน่งนักออกแบบรองเท้าในปี 1979 ก็จะเข้ามารับไม้ต่อจาก Knight ในฐานะ chairman ของบริษัท Knight ได้เริ่มก่อตั้งกิจการ Nike ขึ้นในปี 1964 หลังจากที่เขาจบการศึกษาจาก Standford B-School ได้ไม่นาน โดยเขาได้เดินทางไปทั่วโลกและพยายามเจรจากับผู้ผลิตรองเท้าในญี่ปุ่น ส่วนที่อเมริกาเขากับอดีตโค้ชสอนวิ่งของเขาได้หุ้นกันคนละ 500 เหรียญเพื่อก่อตั้งบริษัทที่ใช้ชื่อว่า Blue Ribbon Sports ซึ่งต่อมาในปี 1978 Knight ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Nike ตามชื่อของเทพีแห่งชัยชนะในตำนานเทพปกรณัมของกรีกโบราณ ทั้งนี้ การออกแบบรองเท้า Nike ในยุคแรกๆ ของ Bowerman ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องทำวาฟเฟิลของภรรยาของเขา เมื่อต้นปีนี้ Knight ได้บริจาคเงินอุดหนุนทางการเมืองแก่ Republican National Committee และ Orrin Hatch วุฒิสมาชิกรัฐ Utah ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำบ่อยๆ
<hr />

	<a href="http://goo.gl/c1X97V">คลิ๊กอ่าน "The Forbes 400 ทำเนียบอภิมหาเศรษฐีอเมริกัน 2015" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2015</a> 
	 
	<a href="http://goo.gl/c1X97V"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="435" src="/uploads/userfiles/images/November%202015/Cover.jpg" width="328" /></a> 
	&nbsp;

Phil Knight อภิมหาเศรษฐี แห่ง NIKE จาก The Forbes 400 ทำเนียบอภิมหาเศรษฐีอเมริกัน 2015

<div>
	ในปี 2014 ที่ผ่านมา พลเมืองสหรัฐฯ ได้ขอถอนสิทธิสัญชาติอเมริกันเป็นจำนวนมาก จนสร้างสถิติใหม่ไปแล้ว แม้จำนวนตัวเลขจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ แต่กลับเป็นแนวโน้มที่ควรจับตามองอย่างยิ่ง&nbsp;</div>
<div>
	 
	&nbsp;</div>
<div>
	แม้ว่ารายชื่อของผู้ขอถอนสัญชาติอเมริกัน หรือขอสละสิทธิพำนักอาศัยในสหรัฐฯ ที่ประกาศเป็นรายไตรมาส จะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกรายก็ตาม แต่เท่าที่ปรากฏเป็นทางการ ตัวเลขผู้สละสัญชาติ-ย้ายไปต่างประเทศตลอดทั้งปี 2014 มีถึง 3,415 คน เทียบกับปี 2013 ที่ 2,999 คน หรือเพิ่มขึ้นราว 14% ซึ่งดูเหมือนไม่มากนัก แต่กระนั้นก็ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการขอเพิกถอนสัญชาติ จากเดิม 450 เหรียญ เป็น 2,350 เหรียญ นับเป็นอัตราค่าธรรมเนียมที่แพงเป็น 20 เท่าของค่าเฉลี่ยค่าธรรมเนียมในกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยด้วยกัน กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า เงินที่เพิ่มขึ้นใช้เป็นค่าตอบแทนให้กับการทำงานพิเศษตามขั้นตอนต่างๆ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทั้งนี้ คนอเมริกันที่ทำงานในต่างแดนต่างวิพากษ์วิจารณ์มาตรการจัดเก็บภาษีสุดแสนจะเข้มงวดของสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาต้องรายงานภาษี รวมทั้งเปิดเผยบัญชีธนาคารและรายงานทางการเงินต่างๆ ทั้งหมดในต่างประเทศ หากไม่ปฏิบัติตามหรือทำผิดพลาดก็ต้องเจอบทลงโทษสถานหนัก ทั้งคดีแพ่งและอาจจะรวมทั้งคดีอาญาก็ได้ คนอเมริกันในต่างแดนจำนวนมากไม่พอใจที่ทางการไม่เคยเข้าใจชีวิตของพวกเขา ซ้ำร้ายยังบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม 
	 
	 
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/World/w640.jpg" /></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	 
	ปัจจัยโน้มน้าวให้ผู้หนึ่งผู้ใดยอมสละสัญชาติตัวเองนั้นมีมากมาย ชาวอเมริกันในต่างประเทศนั้นอาจเกิดแรงจูงใจจากครอบครัว และความสะดวกสบายของชีวิต การจัดเก็บภาษีในอัตราสูงและซับซ้อนของระบบภาษีสหรัฐฯ แม้จะเป็นเพียงหนึ่งปัจจัย แต่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการใช้วิจารณญาณ เพราะคนในต่างแดนจำนวนมากเห็นชัดแล้วว่า การจ่ายภาษีเงินได้ที่เกิดในต่างประเทศ กำลังสร้างภาระและยังเอารัดเปรียบพวกเขา เพิ่มเติมจากที่ต้องจ่ายให้กับประเทศที่เขาพำนักอาศัย</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นอกจากนี้ คนอเมริกันบางรายอาจจะต้องจ่ายภาษีชดใช้ให้กับการเพิกถอนสัญชาติหรือทิ้งสิทธิการอาศัยในสหรัฐ ที่เรียกว่า exit tax &nbsp;หลังจากเกิดกรณีของ Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ได้สละสัญชาติอเมริกันแล้วย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์ (ในปี 2014 เขาคือมหาเศรษฐีอันดับ 6 ของสิงคโปร์ จากการจัดอันดับของ Forbes) ทำให้วุฒิสมาชิก Chuck Schumer และ Bob Casey ต้องเสนอออกกฎหมายจัดเก็บภาษี exit tax เพิ่มเป็นสองเท่า แต่ไม่เกิน 30% สำหรับผู้ที่จงใจจะทิ้งสัญชาติด้วยเหตุผลทางภาษี ทั้งนี้ในกฎหมายปัจจุบันระบุว่าผู้จะถอนสัญชาติ ต้องพิสูจน์ว่าจ่ายภาษีเงินได้ครบถ้วนเป็นเวลา 5 ปี</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ในปี 2014 ผู้ที่ต้องจ่าย exit tax ก็คือคนที่ทรัพย์สินรวมเกินกว่า 2 ล้านเหรียญ หรือจ่ายภาษีเงินได้บุคคลเฉลี่ยในรอบ 5 ปีหลัง ปีละอย่างน้อย 1.57 แสนเหรียญ ส่วนผู้มีรายได้ไม่เกิน 6.8 แสนเหรียญได้รับการยกเว้น &nbsp;สำหรับผู้พำนักอาศัยระยะยาวที่ขอยกเลิกสิทธิตาม &ldquo;กรีนการ์ด&rdquo; ก็ต้องจ่ายภาษีเช่นกัน</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ไม่ว่าเหตุผลในการเพิกถอน &ldquo;ความเป็นอเมริกัน&rdquo; จะเกิดจากประเด็นทางภาษีหรือไม่ก็ตาม แต่ต้องนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ ที่กำลังเกิดขึ้นในดินแดนที่เป็นจุดหมายปลายทางของการอพยพโยกย้ายถิ่นของคนทั่วโลก แต่กลับมี &ldquo;คนใน&rdquo; อีกไม่น้อย อพยพสวนทางออกไปเรื่อยๆ</div>
<div>
	 
	 
	<hr />
	
		เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/robertwood/2015/02/11/thousands-renounce-u-s-citizenship-hitting-new-record-not-just-over-taxes/">Thousands Renounce U.S. Citizenship Hitting New Record, Not Just Over Taxes</a> โดย Robert W. Wood 
		 
		&nbsp;
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events