<h2 class="p1">หลังราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐอเมริกาลดลงต่ำกว่า 0 เหรียญต่อบาร์เรลในวันจันทร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) หรือเรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าติดลบ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และถือเป็นสัญญาณที่น่าห่วงว่าปริมาณเชื้อเพลิงทั่วโลกอาจล้นตลาดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่าส่งผลให้ทั่วโลกต้องหยุดการเดินทาง และลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง</h2>
สาเหตุดังกล่าวทำให้บริษัทน้ำมันต้องหันไปเช่าเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อเก็บอุปทานน้ำมันส่วนเกิน ทำให้ในตลาดสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าติดลบ
ทั้งนี้ สัญญาซื้อขายน้ำมันของ West Texas Intermediate หรือ WTI ซึ่งจะกำหนดราคามาตรฐานสำหรับน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกา และเมื่อวันจันทร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) ราคาน้ำมันดิบ WTI ตามสัญญาซื้อขายเดือนพฤษภาคมก็มีลักษณะดังภาพ
&nbsp;
<h2 class="p1">ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าติดลบ หมายความว่าอย่างไร?</h2>
ราคาน้ำมันต่อบาร์เรลนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ซัพพลาย, ดีมานด์ และคุณภาพ ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนหลายพันล้านคนต้องหยุดเดินทาง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันมีมากกว่าอุปสงค์
และเนื่องมาจากปริมาณน้ำมันที่โอเวอร์ซัพพลาย ทำให้การจัดเก็บน้ำมันดิบของ WTI กำลังจะเกินขีดความสามารถ และหาพื้นที่จัดเก็บได้ยากมากขึ้น โดยหน่วยงานการจัดการข้อมูลพลังงานของสหรัฐอเมริกา กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ถังเก็บน้ำมันใน Cushing, Oklahoma ซึ่งเป็นแหล่งกระจายน้ำมันของสหรัฐฯ มีปริมาณน้ำมันถึง 72% ของความจุแล้ว
ราคาน้ำมันที่ลดลงส่วนหนึ่งยังเกิดมาจากวิธีการซื้อขายน้ำมัน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสำหรับน้ำมัน 1,000 บาร์เรล และทำการส่งมอบที่ Cushing บริษัทน้ำมันจะต้องมีที่เก็บน้ำมันที่สามารถจุได้ถึง 76 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ แต่ละสัญญาจะทำการซื้อขายเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งสัญญาซื้อขายของเดือนพฤษภาคมนั้นหมดอายุในวันที่ 22 เมษายนนี้ ทำให้นักลงทุนที่ถือสัญญาเดือนพฤษภาคมไม่ต้องการครองสต็อกน้ำมันไว้ เนื่องจากยังไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ท้ายที่สุดจึงต้องเร่งเทขายน้ำมันออก
<img class="alignnone size-full wp-image-28928" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/pumpjack.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ขณะที่สัญญาซื้อขายเดือนมิถุนายนก็มีการปรับตัวลดลง แต่ยังซื้อขายในระดับที่สูงกว่า 20 เหรียญต่อบาร์เรล
&nbsp;
<h2 class="p1">มีความหมายอย่างไรต่อผู้บริโภค</h2>
“ไม่จำเป็นต้องแปลความหมายก็ทราบได้เลยว่าเมื่อราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าดิ่งลง ราคาน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันก็ต้องลดลงตามไปด้วย” Tom Kloza นักวิเคราะห์จาก Oil Price Information Services กล่าว
“แต่ผมคิดว่ามันอาจจะมีอะไรมากกว่านี้” Kloza กล่าว “แน่นอนว่าเราจะเห็นราคาน้ำมันเบนซิน, น้ำมันดีเซล และราคาน้ำมันสำหรับการบินลดลงในเดือนพฤษภาคม แต่ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าหนทางของสถานการณ์ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะราคาที่ลดลงในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น” Kloza กล่าว
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ต่ำลงอย่างมาก Kloza คาดว่าในเดือนนี้ชาวอเมริกันน่าจะประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิงไปได้ถึง 150-170 เหรียญเลยทีเดียว
&nbsp;
<h2 class="p1">มีความหมายอย่างไรต่อสายการบิน</h2>
สำหรับสายการบินที่ขาดกระแสเงินสด ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจะส่งผลให้ต้นทุนในการบริหารจัดการเที่ยวบินถูกลง แม้การเดินทางแทบจะว่างเปล่าเนื่องจากผู้คนต้องปฏิบัติตามมาตรการอยู่ที่บ้านเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า
Raymond James นักวิเคราะห์จาก Savanthi Syth กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่ลดลงยังบ่งชี้ได้ว่า ตลาดไม่คาดว่าสายการบินต่างๆ จะกลับมามีเที่ยวบินมากแบบเดิมได้ในเร็วๆ นี้
&nbsp;
<h2 class="p1">สัญญาณบ่งชี้เศรษฐกิจ?</h2>
ขณะที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่า การที่ราคาน้ำมันดิ่งลง ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านเทคนิคของตลาดน้ำมัน แต่หลายคนกลับมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้เศรษฐกิจ เนื่องจากปริมาณน้ำมัน 30 ล้านบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน (ซึ่งคิดเป็น 30% ของดีมานด์น้ำมันโลกในอดีต) ได้ถูกเก็บเข้าแหล่งเก็บทั่วโลกในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
และแม้ว่าความต้องการน้ำมันจะกลับไปสู่ในระดับก่อนสถานการณ์ไวรัส ก็จะต้องใช้เวลานานในการดึงน้ำมันทั้งหมดที่เก็บไว้ออกมาใช้
“สิ่งที่ตลาดกำลังบอกคุณคือ ดีมานด์นั้นจะไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ และซัพพลายก็มีเหลือเฟือ” Kevin Flanagan หัวหน้างานกลยุทธ์รายได้คงที่แห่ง Wisdomtree Asset Management ใน New York กล่าว
สำหรับราคาในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเดือนมิถุนายนปรับตัวลงอย่างมากเมื่อวันจันร์ที่ผ่านมา โดยลดลง 18.4% สู่ 20.43 เหรียญต่อบาร์เรล เห็นได้ชัดว่าผู้ค้าน้ำมันต่างกำลังคิดถึงความต้องการน้ำมันของผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้ โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะไม่ติดลบ แต่ก็น่าจะลดลงอย่างรวดเร็ว
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/investment-outlook/%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%83%e0%b8%99-%e0%b8%95%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%81.html">ภาวะสงครามใน “ตะวันออกกลาง” จะไม่ทำให้ราคาน้ำมันสูงเหมือนอดีต</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.reuters.com/article/us-global-oil-crash-explainer-idUSKBN22301M?utm_campaign=trueAnthem%3A+Trending+Content&amp;utm_medium=trueAnthem&amp;utm_source=facebook&amp;fbclid=IwAR225TzUW49O4ZHoRRwoxSV72ptHU1sSnnX9OeceklCCz7s5rPQup8CdEAQ">Explainer: What is a negative crude future and does it mean anything for consumers?</a>

'ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าติดลบ' คืออะไร และมีความหมายอย่างไรต่อผู้บริโภค

ในงานสัมมนา 2017 The Annual Petroleum Outlook Forum ซึ่งจัดขึ้นโดยทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่มบริษัท ปตท. (PRISM) และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 61 อย่างน่าสนใจว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่มีการคาดการณ์กันว่าจะฟื้นตัวขึ้นจาก 3.6% มาอยู่ที่ 3.7% คือดัชนีสำคัญที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกว่า มีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 52-57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ความต้องการน้ำมันดิบจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับราว 1.4-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

<img style="width: 680px; height: 452px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c2d94a02186087456ef8180b61f3784c.png" alt="" />

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ในฐานะประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลุ่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และผลพวงจากการปรับลดกำลังการผลิต ตามข้อตกลงของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) และผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งแม้สหรัฐฯจะกลับมาเพิ่มการผลิตเชลออยล์ แต่ด้วยภาวะต้นทุนจากการกระจายการผลิตไปยังแหล่งใหม่ๆ จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันปิโตรเลี่ยมในปีหน้ายังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกรอบแคบๆ

อย่างไรก็ตาม นายสุกฤตย์ ย้ำว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องติดตามว่าจะเข้ามามีผลต่อทิศทางและแนวโน้ม สถานการณ์น้ำมันของโลกทั้งเรื่องของเทคโนโลยี นโยบายการเมือง เศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อมของซีกโลกตะวันออกและตะวันตกตลอดจนทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีแนวโน้มมุ่งสู่การผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหันมาใช้พลังงานไฟฟ้า และพลังงานทดแทน

“สำหรับผลกระทบจากเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) ต่อราคาน้ำมัน ผมเชื่อว่าจะมาช้ากว่าที่หลายคนคิด ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างของยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งเรื่องราคาที่สูง การใช้งานยังได้เพียงระยะสั้นๆ บวกกับสถานีจ่ายไฟฟ้ายังไม่ทั่วถึง แม้รัฐบาลหลายประเทศจะเริ่มขีดเส้นตายให้มีการเลิกใช้รถยนต์ที่มีการสันดาปเชื้อเพลิงแต่ก็ยังไม่ได้ให้หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 100% ยังคงให้ใช้รถยนต์แบบปลั๊กอิน ไฮบริด (รถยนต์ที่ยังต้องใช้น้ำมันร่วมด้วย) เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่ากลุ่มธุรกิจโรงกลั่นฯ ยังสดใสไปอีก 1 - 2 ปี ความท้าทายอย่างเดียวของเราในเวลานี้ คือภาวะเศรษฐกิจโลก ตราบที่เศรษฐกิจโต ธุรกิจเราโตตามแน่นอนถึงปีห้นาจะโตจากปีนี้แค่ 0.1% แต่ผมมองว่าดี เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป”

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5b0c25d7b872e26d4be75bf8c55e5283.png" alt="" />

ส่วนความท้าทายของเทคโนโลยีที่คืบคลานเข้ามาพลิกโฉมหลายธุรกิจในเวลานี้ แม่ทัพใหญ่แห่ง IRPC มองว่า สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมไม่ใช่ปัญหา เพราะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนานแล้ว ทำให้วันนี้กลุ่มธุรกิจไม่เพียงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ยังอยู่ในจุดที่มองหาเทคโนโลยีเพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/cb6f830525a2b76b030d2c9268acfc16.png" alt="" />

ปัจจุบัน IRPC มีนโยบายที่จะยกระดับองค์กรไปสู่ “IRPC 4.0” โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ใน 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ด้านปฏิบัติการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยประเมินผลและตรวจสอบการทำงานของหน่วยผลิตได้แบบรายวันว่าสามารถผลิตได้ตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ จากในอดีตที่ต้องประเมินเป็นรายเดือน ด้านการบำรุงรักษา ในอดีตมี 2 วิธีหลัก คือ Breakdown Maintenance คือ เสียแล้วซ่อม กับ Preventive Maintenance คือ ตรวจซ่อมบำรุงตามเงื่อนเวลาแต่ในอนาคตอันใกล้จะมีการนำระบบ Predictive Maintenance หรือการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์มาใช้ถัดมา คือ ด้านการจัดซื้อ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้บริษัทสามารถเข้าถึง Supplier จากทั่วโลกได้แบบไร้ขีดจำกัด ช่วยย่นระยะเวลาในการติดต่อเพื่อขอใบเสนอราคาจนถึงการสั่งซื้อให้สั้นลง ตลอดจน สามารถเปิดประมูล ผ่านระบบ e-bidding เพื่อคัดเลือก Supplier ที่เสนอราคาต่ำที่สุดได้

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/debd1000d54e10f871d9cab59b1fe9a9.png" alt="" />

ทั้งนี้นับตั้งแต่ IRPC เริ่มใช้ระบบจัด ซื้อดังกล่าวเมื่อ 2 ปีก่อน สามารถช่วยลดต้นทุนการจัดซื้อไปได้ 10-20% ในส่วนของการเงิน IRPC ได้นำเทคโนโลยี Block chain ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการโอนเงินระหว่างประเทศมาใช้เพื่อให้ได้รับเงินทันที ไม่ต้องรอ 1-3 วัน เหมือนอดีตสร้างความได้เปรียบในเวทีธุรกิจ เพราะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและคู่ค้ายังได้รับสินค้าเร็วขึ้นด้วยสุดท้าย คือ ในเชิงพาณิชย์ IRPC ได้พัฒนา Application เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ผ่านสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ในอนาคตยังมีแผนจะสร้าง Single Platform เพื่อบูรณาการทุกผลิตภัณฑ์ของ IRPC ให้มารวมอยู่ใน App เดียว

“จากนี้เรามองว่า เราต้องเป็น Quick Follower เป็นผู้ติดตามได้เร็วเทคโนโลยีอะไรมาเราต้องพร้อมเปิดรับ และเลือกนำมาใช้อย่างถูกต้องและถูกจุดเพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์กรไปควบคู่กัน ที่ผ่านมาเรามีโครงการ Phoenix และ Delta และล่าสุดได้ต่อยอดมาสู่โครงการ “EVEREST” เพื่อพัฒนาต้นทุนมนุษย์ ผมเชื่อว่า ถ้านำ “EVEREST” รวมกับเทคโนโลยีล่าสุด จะนำพาให้ IRPC พิชิตเป้าหมายการเป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำของเอเชีย (Top Quartile) ได้ภายในปี 2020 อย่างแน่นอน” นายสุกฤตย์ ทิ้งท้ายด้วยแววตามุ่งมั่น

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events