<h2 class="entry-title">นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2565 – สินีนุช โกกนุทาภรณ์
ต่อยอด TEGH ผลิตยางแท่งพรีเมียม</h2>
<span style="color: #008000;">สินีนุช โกกนุทาภรณ์ ต่อยอด TEGH ผลิตยางแท่งพรีเมียม</span> - จากโรงงานผลิตน้ำยางข้นป้อนวัตถุดิบให้โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ เมื่อผู้บริหารรุ่น 2 รับช่วงดูแลธุรกิจพวกเขาใช้เวลา 25 ปีนำพากิจการเติบใหญ่ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่งมาตรฐานพรีเมียม และค้าขายโดยตรงกับผู้ผลิตยางรถยนต์แบรนด์ชั้นนำของโลก สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
<div>

<span style="color: #008000;">ชนินทร์ เย็นสุดใจ เดินเกมรุกเสริมแกร่ง STARK</span> - ทัพหน้าการขยายอาณาจักรให้สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วสู่ผู้นำการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมลงทุนต่อเนื่องเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจดันผลงานสร้างสถิติรายได้ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ด้วยเป้าหมายมาร์เก็ตแคปหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน 5 ปี

<span style="color: #008000;">วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ TEKA ปักธง Top 5 Building Contractors</span> - ด้วยความตั้งใจที่จะวางรากฐานความมั่นคงให้กับครอบครัว ทำให้วิศวกรหนุ่มเริ่มเตรียมการตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน โดยชวนเพื่อนมารวมหุ้นเป็นเถ้าแก่ด้วยกัน แม้ปีต่อมาจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กระทั่งเงินทุนหมด เพื่อนถอนตัว แต่เขายังไม่ถอดใจยังคงมุ่งมั่นทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างด้วยความใส่ใจในคุณภาพทุกรายละเอียด มีชื่อเสียงเป็นที่ไว้วางใจในกลุ่มดีเวลลอปเปอร์

<span style="color: #008000;">จารุวรรณ โชติเทวัญ ต่อยอดธุรกิจปั้นแบรนด์พรีเมียม</span> - ธุรกิจฟาร์มไก่เพื่อการส่งออกสร้างรายได้ระดับหมื่นล้านให้ “สหฟาร์ม” อย่างต่อเนื่องแม้ต้องอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการมาหลายปี จนกระทั่งถึงเวลาหลุดพ้นจากแผนการฟื้นฟูในปีนี้ โดยมี จารุวรรณ โชติเทวัญ หนึ่งทายาทธุรกิจที่มีแนวคิดและการบริหารจัดการแบบคนรุ่นใหม่ซึ่งได้รับการฟูมฟักเป็นอย่างดีนั่งบริหารธุรกิจ

<span style="color: #008000;">นันทิยะ ดารกานนท์ WINMED ยกระดับอาวุธเฮลธ์เทค</span> - สงครามโรคที่ทั่วโลกต้องเข้าร่วมพัฒนาวัคซีนเป็นเกราะกำบังและเทคโนโลยีเป็นอาวุธสู้รบกับวิกฤตร้ายแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นโอกาสให้ WINMED เร่งเครื่องขยายฐานกลุ่ม B2C ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ควบคู่แผนลงทุนห้องแล็บเตรียมเซลล์รักษาโรคมะเร็งและการตรวจหาเชื้อ HPV พร้อมสร้างการเติบโตรับเทรนด์โลก

พบการจัดอันดับ "50 OVER 50 ยอดหญิงวัยเก๋าแห่งเอเชีย” และร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับกรกฎาคม 2565 และอ่านในรูปแบบ e-magazine

</div>
<div></div>
<div><img class="size-full wp-image-64983 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Forbes-Thailand-ฉบับกรกฎาคม-2565_เนื้อหา_001.jpg" alt="" width="650" height="853" /></div>
<div></div>
<div><img class="size-full wp-image-64984 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Forbes-Thailand-ฉบับกรกฎาคม-2565_เนื้อหา_002.jpg" alt="" width="650" height="853" /></div>
<div><img class="size-full wp-image-64985 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Forbes-Thailand-ฉบับกรกฎาคม-2565_เนื้อหา_003.jpg" alt="" width="650" height="853" /></div>
&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2565 – สินีนุช โกกนุทาภรณ์ ต่อยอด TEGH ผลิตยางแท่งพรีเมียม

น.สพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ “BIS” พลังเพื่อน Synergy

<h2>ท่ามกลางสงครามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกยังคงต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะและหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีอาวุธหลักคือ “วัคซีน” จากบริษัทด้าน Biotechnology</h2>
ซึ่งหากลองย้อนดูจากประเทศพัฒนาแล้วจะพบว่า แม้ว่าจะฉีดให้ประชาชนยังไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม แต่ก็เริ่มพิสูจน์ได้แล้วว่าวัคซีนสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้

บรรดาบริษัทด้าน Biotechnology ตามระดมสรรพกำลังผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่นับได้ว่าเป็นวัคซีนสร้างขึ้นมาใช้กับมนุษย์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และบางชนิดยังเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีไบโอเทคมาเพิ่มประสิทธิภาพให้วัคซีนเป็นครั้งแรกของโลกซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว คือ การสังเคราะห์สารพันธุกรรม mRNA (Messenger Ribonucleic Acid)

โดยวัคซีนชนิดนี้จะทำให้ร่างกายสังเคราะห์โปรตีนที่มีลักษณะคล้ายๆ โปรตีนหนาม หรือที่เรียกว่า สไปค์ (Spike) ของเชื้อไวรัส เพื่อเป็นการจำลองลักษณะของไวรัสเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ โดยโปรตีนหนามนี้จะไม่ทำให้ร่างกายติดเชื้อและจะมากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อโควิด-19

ซึ่งบริษัทไบโอเทคโนโลยีที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ในการสร้างวัคซีนและได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ปัจจุบันมี 2 บริษัท คือ BioNTech/Pfizer (BNT162b2) และ Moderna (mRNA–1273) ซึ่งวัคซีนทั้งสองบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

<figure><img class="wp-image-49665 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Bearwalk_Moderna_Lab_15_2.jpeg" alt="" width="320" height="480" /><figcaption> เครดิตภาพ: Moderna</figcaption></figure>

สำหรับ <strong>Moderna</strong> ก่อนหน้านี้เป็นบริษัทที่หลายคนไม่รู้จัก แต่หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ก็กลายมาเป็นบริษัทนวัตกรรมการแพทย์ชั้นนำระดับโลก และถูกนำมาร่วมคำนวนในดัชนี S&amp;P 500 และทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทขึ้นมาอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 Moderna มีรายได้รวมอยู่ที่ 6.29 พันล้านเหรียญฯ จำนวนนี้มาจากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ถึง 5.9 พันล้านเหรียญฯ และรายได้รวมครึ่งแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 8,310 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 74.79 ล้านเหรียญฯ  และจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการจำหน่ายวัคซีน หนุนให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 Moderna พลิกมีกำไรสุทธิ 4 พันล้านเหรียญฯ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 241 ล้านเหรียญฯ

นอกจากนี้ประเด็นบวกดังกล่าวยังส่งผลให้อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) มาอยู่ที่ 9.3 เหรียญฯ และราคาหุ้นบริษัท Moderna ก็ปรับตัวขึ้นได้ถึงเกือบ 248 เปอร์เซ็นต์ (ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) นับตั้งแต่ต้นปี 2564

สำหรับด้านการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทุ่มค่าใช้จ่ายของยาและวัคซีน เช่น วัคซีน RSV, ZIKA, HIV และโรคหายยากอื่นๆ อย่างโรคมะเร็งอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ผู้บริหารคาดว่า ในปี 2564 จะสามารถผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ราว 800 - 1,000 ล้านโดส และได้ทำสัญญาจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ล่วงหน้า สำหรับปี 2564 อีกราว 2 หมื่นล้านเหรียญฯ และปี 2565 อีกราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญฯ และยังมีดีลที่กำลังเจรจาเพิ่มอีกสำหรับปี 2566 นอกจากนี้ผู้บริหารคาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีกราว 450 - 550 ล้านเหรียญฯ ในปีนี้ รวมถึงขยายกำลังการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วย

<figure><img class="wp-image-49664 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/AstraZeneca.jpg" alt="" width="600" height="397" /><figcaption> เครดิตภาพ: AstraZeneca.com</figcaption></figure>

อีกบริษัทหนึ่งที่มีการจำหน่ายวัคซีนไปทั่วโลก คือ <strong>AstraZeneca</strong> บริษัทที่มีการเติบโตของรายได้รวมจากการจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ในครึ่งปีแรก 2564 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 50 โดยรายได้หลักของบริษัท AstraZeneca มาจากการจำหน่ายยารักษาที่เกี่ยวกับโรคมะเร็งวิทยา (Oncology) โรคหลอดเลือดหัวใจ ไต และเมแทบอลิซึม (CVRM) และกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันและโรคติดเชื้อ (Respiratory, Immunology and Infectious Disease หรือ RIID)

ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายวัคซีนไตรมาสสอง 2564 อยู่ที่ 894 ล้านเหรียญฯ เมื่อรวมครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายวัคซีนกว่า 700 ล้านโดส คิดเป็นมูลค่า 1,169 ล้านเหรียญฯ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตร้อยละ 9 และเมื่อดูรายได้รวมของบริษัทครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านเหรียญฯ เติบโตร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 2.110 พันล้านเหรียญฯ เมื่อเทียบกับกำไรที่ 1.536 พันล้านเหรียญฯ ในครึ่งปีแรก 2563

ส่งผลให้อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ครึ่งปีแรก 2564 ออกมาที่ 1.27  เหรียญฯ เทียบกับ 1.01 เหรียญฯ ในครึ่งปีแรก 2563 คิดเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 25.74  ด้านราคาหุ้นบริษัท AstraZeneca ADR ก็ปรับตัวขึ้นได้ถึงเกือบร้อยละ 17 (ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) นับตั้งแต่ต้นปี 2564

สำหรับการเติบโตในอนาคตของ AstraZeneca ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท Alexion ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 โดย Alexion เป็นบริษัทในกลุ่ม Biotech ที่เน้นผลิตยารักษาโรคหายากที่เกี่ยวกับระบบเลือด ไต ระบบประสาท เมแทบอลิซึม (Metabolism) และหัวใจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การเติบโตของ AstraZeneca มีรายได้เติบโตเกิน 2 หลัก จนถึงปี 2025 และคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทด้วย

โลกของเราอาจจะต้องอยู่กับเชื้อ โควิด-19 อีกนาน Biotechnology จึงเป็นอาวุธที่จะใช้ต่อสู้กับ โควิด-19 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ใช้มีเพียงแค่ 2 บริษัทนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายบริษัททั่วโลกที่กำลังพัฒนายาและวัคซีนกว่า 1,200 แบบ<a href="http://www.statista.com" name="_ftnref1">[1]</a> เพื่อเอาชนะ โควิด-19 เช่นกัน

นอกเหนือจากนี้ Biotechnology ไม่เพียงแต่จะเอาชนะการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ในอนาคต Biotechnology ยังมีโอกาสที่จะเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมการแพทย์ (Innovative Healthcare) ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ อย่าง เช่น โรคมะเร็งที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

<img class="alignnone wp-image-41940 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/ณัฐกฤติ-เหล่าทวีทรัพย์-150x150.jpg" alt="ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์" width="150" height="150" />
บทความโดย
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์
CFP<sup>® </sup>Head of Wealth Advisory
ธนาคารทิสโก้

<em>ภาพเปิด: Pixabay.com</em>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a><strong> </strong>

“Biotechnology” อาวุธลงทุนที่เอาชนะโควิด-19

วัคซีน Game Changer เศรษฐกิจโลกฟื้นแรง ปรับพอร์ตลงทุนให้ทัน

ปี 2020 ถือว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง แต่ด้วยผลของรัฐบาลและธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่ต่างช่วยกันประคับประคองผ่านนโยบายการเงินและการคลัง ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจยังพอจะประคับประคองผ่านไปได้ สำหรับในด้านการลงทุนในปี 2020 ข้อมูลจนถึงวันที่เขียนพบว่า ดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ อาทิ  สหรัฐฯ เกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น ต่างมีผลตอบแทนเป็นบวก เมื่อเทียบกับปลายปี 2019 โดยมีปัจจัยสำคัญคือสภาพคล่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงมาก และสำหรับปี 2021 จะมี 10 สิ่งอะไรบ้างที่จะต้องจับตาว่าอาจจะกระทบกับการลงทุนของเรา พอสรุปได้ ดังนี้

&nbsp;

<strong>1.วัคซีน กับ การฟื้นตัวเศรษฐกิจ
</strong>ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจจะเร็วหรือช้า ขึ้นกับวัคซีน ดังนั้น ต้องจับตาว่า <strong>1)</strong> ประสิทธิภาพของวัคซีนจะเป็นไปตามผลรายงานการทดลองหรือไม่ <strong>2)</strong> อุปสรรคในการแจกจ่ายวัคซีนที่ต้องการที่เก็บรักษาอุณหภูมิต่ำมาก และ 3) ประชาชนยอมรับหรือปฏิเสธการฉีดวัคซีน

<strong>2.เศรษฐกิจประเทศสำคัญคาดฟื้นตัวดี</strong> แต่หากเทียบกับระดับเศรษฐกิจปี 2019 คาดว่าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น จะยังไม่สามารถกลับไปยืนสูงกว่าปี 2019 ได้ ยกเว้น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้

&nbsp;

<em><strong>แผนภาพที่ 1: แสดงการคาดการณ์เศรษฐกิจ Real GDP Growth (%)</strong></em><img class="wp-image-38964 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/การคาดการณ์เศรษฐกิจ-01.jpg" alt="" width="900" height="600" />

ที่มา: Bloomberg Data as of 15 2020

<strong>3.ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น แต่ไม่น่ากังวล
</strong>เนื่องจาก <strong>1</strong>) เป็นผลของฐานคำนวณต่ำ <strong>2) </strong>การเริ่มฉีดวัคซีนคาดจะสร้างความเชื่อมั่น ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้า บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Pent up Demand) <em>- แต่เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อจะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะ </em><em>Fed เองเคยส่งสัญญาณล่วงหน้าตั้งแต่ ส.ค. ว่าจะยังปล่อยให้บางเวลาเงินเฟ้ออาจสูงกว่ากรอบเป้าหมายได้ </em>

<strong>4.อัตราดอกเบี้ยยังต่ำต่อไป</strong> ประเมินว่าปี 2021 ยังเป็นปีของที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแต่เปราะบาง อีกทั้งที่เคยได้เห็นภายหลังเหตุการณ์ Global Financial Crisis กว่าธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยจะใช้เวลาอีกหลายปี และเชื่อว่าจะเห็นการปรับลดสภาพคล่อง (QE Tapering) ก่อนการขึ้นดอกเบี้ย

<strong>5.สภาพคล่องในตลาดการเงินยังสูง </strong>ธนาคารกลางประเทศขนาดใหญ่ยังคงอัดฉีดสภาพคล่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปี 2021

<strong>
<em>แผนภาพที่ 2: แสดงดัชนี Dollar Index ในกรอบระยะเวลา 5 ปี</em></strong><em>  </em>

<figure><img class="wp-image-38965" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/การคาดการณ์เศรษฐกิจ-02.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> ที่มา: Bloomberg Data as of 15 2020</figcaption></figure>

&nbsp;

<strong>6.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า</strong> เนื่องจาก <strong>1) </strong>ปัจจัยพื้นฐานสหรัฐฯ เองที่ยังเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้า <strong>2) </strong>การถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะ Safe Haven จะน่าสนใจลดลงภายหลังวิกฤตโรคระบาดคลี่คลาย <strong>3) </strong>อัตราดอกเบี้ยตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ต่ำมาก เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ในขณะที่ความเสี่ยงหลายอย่างลดลงไปแล้ว <em>-  จับตา</em><em> Dollar Index หากปรับลดลงต่ำกว่า 89 อาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าในกลุ่มประเทศ Emerging Market
</em><em>
</em><strong>7.สำหรับการลงทุน ตลาดหุ้น ยังคงมีความน่าสนใจ</strong> แม้ว่าในปี 2020 จะเห็นการฟื้นตัวในหลายดัชนี แต่ยังมองว่าเป็นการฟื้นตัวในเฉพาะบางประเทศ และ ราย Sector เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังน่าสนใจโดยเฉพาะกลุ่ม Emerging Market

<strong>8.พิจารณาตลาดหุ้นราย </strong><strong>Sector </strong>ยังคงเน้นกลุ่ม Megatrends เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Technology และ Healthcare แม้ปี 2020 ดัชนีทั้ง 2 กลุ่มจะปรับเพิ่มขึ้นได้ดี ทำให้ความน่าสนใจในปี 2021 จะลดลงไปบ้าง หรือกลุ่ม Technology ที่อาจจะมีประเด็นการผูกขาดการค้า แต่การปรับฐานของราคายังคงน่าสนใจในการทยอยสะสม นอกจากนี้กลุ่มที่ฟื้นตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจถือว่าควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน เช่น กลุ่ม Financial, Tourism Energy และ REITs

&nbsp;

<strong>แผนภาพที่ 3 </strong><strong>: แสดง EPS Growth (%) ราย Sector ในดัชนี S&amp;P 500 (กลุ่ม Energy, Industrial และ Consumer Discretionary เติบโตสูงจากฐานที่ต่ำ)</strong>

<img class="alignnone size-full wp-image-38966" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/การคาดการณ์เศรษฐกิจ-03.jpg" alt="" width="900" height="600" />

<em>ที่มา: </em><em>Bloomberg Data as of 15 2020</em>

<strong>9.การลงทุนทางเลือก</strong> การกระจายในสินทรัพย์ที่หลากหลายยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เรามองว่าการลงทุนในทองคำยังคงน่าสนใจ โดยเฉพาะใช้เพื่อ Hedging ความเสี่ยงเงินเฟ้อ  รวมถึง กลุ่ม REITs ในหลายภูมิภาคยังถือว่าปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ และกลับน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอัตราดอกเบี้ยยังต่ำ และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว

<strong>10.ความเสี่ยงที่ต้องระวัง</strong> <strong>1) </strong>ผลข้างเคียงของวัคซีน การกระจายวัคซีนอาจล่าช้า และระยะเวลาที่วัคซีนจะมีภูมิคุ้นกัน <strong>2) </strong>การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ปี 2021 ที่ยังไม่มีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง และการระบาดที่ยังสูงในช่วงฤดูหนาว  <strong>3) </strong>ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ แม้การเข้ามาของว่าที่ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าจะใช้วิธีทางเจรจามากกว่า แต่ในด้านความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าเป็นการแข่งขันมากกว่า Partner <strong>4) </strong>อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นระหว่างปี แม้จะเป็นการคาดเพียงชั่วคราว แต่อาจเป็นปัจจัยกดดัน Sentiment ลงทุนได้

<strong> </strong>

<img class="alignnone wp-image-25971 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/คุณกันติพัฒน์-150x150.jpg" alt="" width="150" height="150" />
บทความโดย
กันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์
Head of  Wealth  Advisory
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้

&nbsp;
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events