<h2>ธุรกิจเทรดดิ้งสินค้านำเข้าจากอิตาลีคือจุดเริ่มต้นของ “อิตาเลเซีย” บริษัทตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชื่อดัง จากตัวแทนขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขยับสู่ธุรกิจนำเข้าไวน์ สุราจากอิตาลี ล่าสุดได้พอร์ตสุราจากญี่ปุ่นมาเสริมทัพยิ่งขยายโอกาสทางการตลาดมากขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครอบครัว “เบเนเดทตี้” (Benedetti) ผู้ก่อตั้งและขับเคลื่อนกิจการค้าขายสินค้านำเข้าจากอิตาลีในนาม “อิตาเลเซีย” มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากว่า 60 ปี จากรุ่นบุกเบิกส่งต่อสู่ทายาทรุ่น 2 มาถึงรุ่น 3 ในปัจจุบัน จักรกฤต เบเนเดทตี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตาเลเซีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด คือ ทายาทธุรกิจที่คร่ำหวอดในธุรกิจของครอบครัวมาไม่น้อยกว่า 20 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจของครอบครัวเบเนเดทตี้ที่เริ่มต้นโดยคุณปู่ซึ่งเป็นชาวอิตาลี (Othello Benedetti) สมรสกับคุณย่าชาวไทยและลงหลักปักฐานทำธุรกิจในไทยอย่างจริงจัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงเริ่มต้นคุณปู่ของเขาเปิดบริษัท อิตาเลเซีย เทรดดิ้ง ขึ้นมาเพื่อจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าจากอิตาลีเป็นรายแรกในไทย “แบรนด์ที่นำมาขายคือ Zoppas Zanussi มีเครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ก่อนที่เครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่นจะตีตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นเป็นยุคที่ 2 บิดาของเขา (Adolfo Benedetti) รับช่วงกิจการมาทำได้ไม่นาน พออายุ 50 ก็ได้เสียชีวิตลงในช่วงปลายปี 2542 ทำให้จักรกฤตต้องรับช่วงบริหารธุรกิจต่อ ขณะนั้นเขาอายุเพียง 24 ปี สำเร็จการศึกษาจาก Thunderbird School of Global Management ด้านการบริหารธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จักรกฤตเริ่มต้นบริหารจากปี 2542 จนกระทั่งปัจจุบันสร้างความเติบโตให้อิตาเลเซียสามารถยืนหยัดเป็นผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งไวน์และวิสกี้ติดท็อป 3 ของตลาดในไทย ด้วยยอดขายในปี 2565 ทำได้กว่า 2.2 พันล้านบาท เติบโตต่อเนื่องแม้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบหนักยืนหยัดสู้วิกฤต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราผ่านช่วงวิกฤตโควิดมาได้ มันค่อนข้างหนักแต่ก็สามารถประคองกิจการมาได้ ไม่ได้เลิกจ้างหรือปรับลดเงินเดือนพนักงานเกือบ 400 คน” จักรกฤตบอกว่า สิ่งที่ทำในช่วง 3 ปีท่ามกลางโควิดคือ ทุกคนช่วยกันปรับลดค่าใช้จ่าย และพยายามหาช่องทางใหม่ในการขาย เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ให้สินค้าไปถึงผู้บริโภค ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นภาพการปรับตัวชัดเจนคือ การตัดสินใจไปเปิดสาขาใหม่ในภาคอีสานที่นครราชสีมา ขอนแก่น และบุรีรัมย์ ช่วงนั้นเนื่องจากธุรกิจโรงแรมหยุดชะงัก พนักงานโรงแรมส่วนใหญ่กลับภูมิลำเนารวมถึงเหล่าเชฟ พ่อครัวต่างๆ กลับบ้านและเริ่มต้นทำร้านของตัวเอง จึงมีร้านอาหารเครื่องดื่มที่ต้องการซื้อเครื่องดื่มเพื่อจำหน่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิตาเลเซียเห็นโอกาสนี้ ประกอบกับยังไม่มีร้านสาขาในภาคอีสาน เขาจึงตัดสินใจไปเปิดสาขาใน 3 จังหวัดดังกล่าว ซึ่งได้การตอบรับดีมาก ผู้บริหารระดับท้องถิ่นต่างยินดีที่ร้านไปเปิด ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด ถือเป็นการคว้าโอกาสในจังหวะที่เหมาะสม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตอนนั้นทุกคนช่วยกัน พนักงานพยายามช่วยนำสินค้าออกไปขาย เราเปลี่ยนสต็อกมาเป็นรายได้จ่ายเงินเดือนพนักงานโดยไม่ลดเงิน ไม่เลิกจ้าง แต่ปรับค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น” เป็นบทเรียนจากวิกฤตมีส่วนทำให้อิตาเลเซียได้ขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ๆ จากเดิมที่นอกจากกรุงเทพฯ จะมีสาขาตามเมืองท่องเที่ยวหลักเท่านั้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/zcx7MgXurvp6MDDKqopg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zcx7MgXurvp6MDDKqopg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,600" style="" data-index="0"></figure></div> ​ “ท่องเที่ยวเอาคืน” ฟื้นตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย การท่องเที่ยวกลับมา เริ่มมีกระแสท่องเที่ยวแบบเอาคืน (revenge tourism) ซึ่งผู้คนออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่ จนทำให้การฟื้นตัวของโรงแรมให้บริการไม่ทัน เกิดปัญหาซัพพลายเชนสะดุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตอนนั้นไวน์กลับมาขายดี เพราะส่วนใหญ่คนไม่ได้สต็อกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการบินไทยหรือโรงแรมต่างๆ” เป็นสถานการณ์ที่พลิกผันขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว โชคดีอิตาเลเซียมีการสต็อกสินค้าไว้จำนวนหนึ่งทำให้ขายดีเพราะลูกค้ารายใหญ่ๆ หลายรายกลับมา เช่น การบินไทย เลาจน์ต่างๆ รวมถึงร้านค้ากลุ่มยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ทุกคนต่างต้องการสินค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเหตุนี้ทำให้ยอดขายในปี 2565 ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่า 2.2 พันล้านบาท แต่มาในเดือนเมษายนปีนี้สถานการณ์เริ่มเบาบาง revenge tourism ลดลง สินค้าราคาแพงขึ้น ค่าน้ำมันแพง ตั๋วเครื่องบินแพง ทุกอย่างแพงหมด คนเริ่มชะลอการเดินทาง รอดูทิศทางราคา ประจวบเหมาะกับไทยมีประเด็นเรื่องการเมืองเปลี่ยนรัฐบาล สถานการณ์จึงกลับมาชะลออีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะมองว่าตลาดเริ่มชะลอตัวหลังกระแสการท่องเที่ยวเอาคืนซาลง แต่จักรกฤตยังมั่นใจว่าอิตาเลเซียจะสามารถทำยอดขายที่เติบโตได้ เนื่องจากเมื่อต้นปี 2566 อิตาเลเซียได้สิทธิ์เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าให้กับ บริษัท บีม ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กว้างทุกระดับราคา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/BNxCZgkx3UecTyBkB3Yk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BNxCZgkx3UecTyBkB3Yk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,386" style="" data-index="1"></figure></div> ​ ตลาดใหม่อาเซียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปีนี้คิดว่าการเติบโตคงน้อยลง แต่เราน่าจะทำรายได้ใกล้ 3 พันล้านด้วยพอร์ตใหม่ๆ ถ้าในอนาคตมีสาขาที่เป็นโลเกชั่นใหม่และเริ่มทำโมเดลแฟรนไชส์ อยากให้มีถึง 50 สาขา ตอนนี้มีแฟรนไชส์แล้ว 3 สาขา” เป็นอีกหนึ่งแผนขยายตลาดที่จักรกฤตมองไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จักรกฤตยังมองเห็นโอกาสตลาดใหม่ๆ และช่องทางใหม่สำหรับการทำตลาดต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยนำร่องด้วยการตั้งซัพเอเย่นต์ในลาว กัมพูชา พม่า ซึ่งเจ้าของสินค้าทำสัญญาให้เราเข้าไปดูแลตลาดประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีบริษัทสุราบางรายที่ครอบคลุมดูแลประเทศเหล่านี้ในลักษณะตั้งซัพเอเย่นต์กระจายสินค้าต่ออยู่แล้ว ตลาดที่น่าสนใจ เช่น กัมพูชา ลาว สามารถส่งสินค้าทางบกเข้าประเทศเหล่านี้ได้เลย และวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเข้าไปตั้งซัพเอเย่นต์ และหากอนาคตดีก็อาจเข้าไปในลักษณะการร่วมทุน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/T5mEngeNTXFFi4tL4ZPn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="T5mEngeNTXFFi4tL4ZPn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,600" style="" data-index="2"></figure></div> ​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากภารกิจในฐานะนักธุรกิจเจ้าของกิจการทั้งการนำเข้าและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอุปกรณ์เครื่องครัว ตลอดจนสินค้าอื่นๆ เช่น กาแฟ น้ำหวาน และน้ำแร่แล้ว จักรกฤตยังรับบทบาทกรรมการหอการค้าไทย-อิตาลี โดยรับต่อเนื่องมาแล้วถึง 22 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และในปี 2565 ที่ผ่านมาเขาได้รับเลือกให้เป็น “Keepers of the Quaich” หรือผู้รักษาวัฒนธรรมสินค้า ประเทศสกอตแลนด์ และก่อนหน้านั้นในปี 2564 ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสาธารณรัฐอิตาลี Knighthood in the order of Merit of the Italian Republic 2021 (Cavaliere Ordine al Merito della Repubblica Italiana) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/people/small-giants/santiphol-jpark-made-income-400-millions" alt="สันติพล เจนวัฒนไพศาล JPARK ลานจอดรถเงินล้าน">สันติพล เจนวัฒนไพศาล JPARK ลานจอดรถเงินล้าน</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/45e2f9e5-2f0f-459c-a701-432192052e12" alt="​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jWEcb6zPnswnNk6YAoHU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="320,420" style="" data-index="3"></figure></div>

จักรกฤต เบเนเดทตี้ ขยายน่านน้ำใหม่ “อิตาเลเซีย”

<h2>จากปี 1881 ที่ปู่ทวดของเขาประกาศนาม Pio Cesare ให้ก้องวงการไวน์ชั้นเลิศในอิตาลี ถึงวันนี้ Pio Boffa ทายาทรุ่น 4 ยังสืบทอดปรัชญาการทำไวน์ของตระกูลไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมแผ่กิ่งแตกก้าน ขยายแบรนด์ไปใน 50 ประเทศทั่วโลก</h2>
“ผม ไม่ได้ทำไวน์ด้วยเหตุผลว่านี่คือธุรกิจ แต่ผมทำด้วย passion ที่มีมาตั้งแต่เกิด” ชายหนุ่มผมสีดอกเลาที่นั่งตรงหน้า Forbes Thailand

Pio Boffa วัย 60 ปี ทายาทรุ่น 4 และผู้บริหารของ Pio Cesare หนึ่งในแบรนด์ไวน์ชั้นนำของอิตาลี Boffa เกิดที่ Alba ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งของเขต Piedmont ในประเทศอิตาลี ในตระกูลผู้ผลิตไวน์เก่าแก่ของ Piedmont

ปู่ทวดของเขาคือ Cesare Pio เป็นผู้ก่อตั้ง Pio Cesare Winery ในปี 1881 หลังจบศึกษาด้านบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัย Boffa ในวัย 18 ปี เขาเดินทางไปเรียนรู้เรื่องไวน์ที่ Robert Mondavi Winery ในรัฐ California สหรัฐอเมริกา ตลอด 3 เดือนที่นั่น Boffa ได้เรียนรู้เทคนิคและนวัตกรรมใหม่ในการผลิตไวน์ ช่วยเปิดโลกทัศน์เรื่องไวน์ของเขาให้กว้างขึ้น

ปัจจุบัน ตระกูล Pio มีไร่องุ่นอยู่ในความดูแลราว 70 เฮคตาร์ หรือ 7 แสนตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่แถบ Barolo, Barbaresco เป็นต้น ไร่องุ่นภายใต้การดูแลของ Boffa สามารถผลิตไวน์สัญชาติอิตาลีได้ราว 480,000 ขวด หรือราว 360,000 ลิตร

Boffa เล่าถึงจุดเด่นของไร่องุ่นของเขาว่า ปลูกบนผืนดินที่มีสภาพอุดมสมบูรณ์ มีปริมาณน้ำ มีอุณหภูมิ และมีแสงที่พอเหมาะต่อการเติบโตขององุ่น เขาจึงภูมิใจนำเสนอไวน์ที่ผลิตด้วยองุ่นเพียงสายพันธุ์เดียว ด้วยเหตุผลหลัก คือ คงคุณภาพ เอกลักษณ์ของพื้นที่ปลูกไวน์ และสายพันธุ์องุ่น

สำหรับประเทศไทยในทศวรรษที่ 1980 บริษัท วานิชวัฒนา (กรุงเทพฯ) จำกัด เป็นผู้แทนจัดจำหน่าย ก่อนที่ตั้งแต่ปี 2002 จะผลัดมือเป็น บริษัท อิตาเลเซีย เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งขณะนี้ดูแลแบรนด์ Pio Cesare แบ่งเป็นไวน์ขาว 4 รายการ และไวน์แดง 9 รายการ เสิร์ฟในโรงแรมและภัตตาคารชั้นนำของไทย

ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของธุรกิจที่แข่งขันเข้มข้น กิจการไวน์ของหลายตระกูลต้องปิดตัวลง ทว่า Boffa ยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่หวั่น “ผมอายุ 60 ปีแล้ว แต่ก็ตัดสินใจจะอยู่ในสมรภูมินี้ต่อไป ตราบเท่าที่พระเจ้ายังให้ผมมีชีวิตอยู่” เขาบอกยิ้มๆ

 “หากเป็นธุรกิจที่คุณรัก นั่นจะเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าคุณไม่รัก นั่นจะเป็นธุรกิจที่แย่ที่สุดในโลก”
<div></div>
<div>

เรื่อง: สุทธาสินี จิตรกรรมไทย ภาพ: ทวีศักดิ์ ภักดีหุ่น

</div>

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">ติดตามอ่าน “เปิดอาณาPio Boffa: หนุ่มใหญ่ผู้หลงใหลในไวน์มาตั้งแต่เกิด” ฉบับเต็มได้ใน Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2015</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events