<h2>Philip Morris International กำลังฟื้นฟูภาพลักษณ์ของนิโคตินด้วยผลิตภัณฑ์แต่งกลิ่นรสบรรจุซอง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากบรรดาคนดัง นักธุรกิจ และนักกีฬาดาวรุ่ง สารกระตุ้นที่เสพติดง่ายสุดๆ นี้ ทำเงินหลายพันล้าน แต่มันดีต่อใครบ้างล่ะนอกจาก PMI</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ ริมแม่น้ำ Ohio ภายในโรงงานอันสะอาดสะอ้านและสว่างไสวในเมือง Owensboro รัฐ Kentucky มีเครื่องจักรสเตนเลสสตีลแวววาวหลายสิบเครื่องซึ่งมีพนักงานสวมตาข่ายคลุมผมและแว่นตานิรภัยคอยควบคุมการผลิตซองผ้าจิ๋วสีขาวหน้าตาเหมือนหมอนที่บรรจุผงนิโคตินเกรดยารสชาติต่างๆ นับล้านชิ้น เครื่องจักรอัตโนมัติเหล่านี้จะบรรจุนิโคติน 15 ซองลงในตลับพลาสติกสีขาวขนาดเท่าลูกฮอกกี้ทุกๆ 15 วินาที ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่กี่วันต่อมาบรรจุภัณฑ์ของ Zyn ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากจะปรากฏที่ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน และร้านของชำทั่วสหรัฐฯ แน่นอนว่าชั้นวางสินค้าจะว่างเปล่าภายในไม่กี่วันหลังจากนั้น และบรรดาร้านค้าปลีกก็จะร้องขอให้ Philip Morris International ซึ่งเป็นเจ้าของ Swedish Match บริษัทผู้ผลิต Zyn จัดหามาเพิ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Elizabeth Leary ผู้จัดการร้าน River’s Edge Tobacco Outlet ในเมือง Owensboro มาเป็น 10 ปีบอกว่า เธอไม่เคยเจอสินค้านิโคตินที่มีสาวกคลั่งไคล้ขนาดนี้มาก่อน “ลูกค้าของฉัน 50% มาที่นี่เพื่อซื้อ Zyn” Leary เล่าพร้อมอธิบายว่า สินค้าตัวนี้ของหมดอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าจะอยู่ห่างจากโรงงานไม่กี่ไมล์ “ฉันไม่เคยเห็นสินค้าที่คนนิยมขนาดนี้มาก่อน”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/EVzj7qAqS25pk4ov9Bzs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EVzj7qAqS25pk4ov9Bzs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในสิ้นปี 2024 PMI ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Stamford รัฐ Connecticut คาดว่าจะขาย Zyn ได้มากถึง 580 ล้านตลับ เพิ่มขึ้น 50% จาก 385 ล้านกระป๋องที่ขายได้ปี 2023 Forbes ประมาณการว่า ยอดขาย Zyn ปี 2023 ซึ่ง PMI ไม่ได้แจกแจงในเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะนั้นอยู่ที่ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.7% ของรายได้รวม 3.5 หมื่นล้านเหรียญของ PMI) และอาจสูงถึง 1.9 พันล้านเหรียญในปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรวมแล้วผลิตภัณฑ์ปลอดควันของ PMI (Zyn, เครื่องสูบไฟฟ้า, บุหรี่ไฟฟ้าไฮบริดหรือ IQOS และยาสูบแบบเคี้ยว) มียอดขาย 1.25 หมื่นล้านเหรียญในปี 2023 เพิ่มขึ้นจาก 9.9 พันล้านเหรียญใน ปี 2022 และคิดเป็นเกือบ 40% ของรายได้รวมของบริษัทในไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะ Zyn นั้นทำเงินได้มหาศาล สินค้ามี 10 รสชาติด้วยกัน รวมถึงอบเชย ซิทรัส และวินเทอร์กรีน ตลับหนึ่งมีราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ 6.50 เหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bonnie Herzog นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ซึ่งรับผิดชอบในส่วนอุตสาหกรรมยาสูบบอกว่า Zyn ทำกำไรเยอะกว่าแผนกบุหรี่ของ PMI ถึง 6 เท่า และที่ต่างจากบุหรี่ซึ่งขายได้น้อยลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคือ Zyn อยู่ในช่วงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปริมาณการซื้อขายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึงถึง 238% นับจากปี 2020&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Zyn เป็นแบรนด์ที่โตเร็วที่สุดของเราในสหรัฐฯ” Stacey Kennedy หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในสหรัฐฯ ของ PMI วัย 51 ปีกล่าว เรื่อง: Will Yakowiczเรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะภาพ: Jamel Toppin และ Zyn เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/brian-armstrong-the-crypto-wisdom-king" alt="Brian Armstrong ราชาปราชญ์แห่งคริปโต">Brian Armstrong ราชาปราชญ์แห่งคริปโต</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/?action=book_details&amp;book_id=348467" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://pintobook.com/ebooks/67a0860bf03db35918fd5a01" alt="https://pintobook.com/ebooks/67a0860bf03db35918fd5a01" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/NDcnECzam27mf4Wkhwo8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="NDcnECzam27mf4Wkhwo8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="550,731" data-image-link="https://pintobook.com/ebooks/67a0860bf03db35918fd5a01" style="width: 300px; height: auto;" data-index="1"></a></figure></div>

สู่อาณาจักร Zyn แต่งกลิ่นนิโคตินบรรจุซอง ชิงส่วนแบ่งตลาดยาสูบสหรัฐฯ

<h2>Forbes Global 2000 ครั้งที่ 20 ประจำปี 2022 จัดอันดับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก จากการประเมินสินทรัพย์ มูลค่าตลาด รายได้ และกำไร </h2>
<figure><img class="wp-image-62663" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/DpVvh9lX4AAC2TZ-1024x538.jpg" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="720" height="378" /><figcaption> Warren Buffet ซีอีโอ Berkshire Hathaway</figcaption></figure>

ท่ามกลางสภาวะที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ อันเนื่องมาจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ บริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกายังคงรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้เนื่องเป็นอย่างดี นำโดย Berkshire Hathaway ของมหาเศรษฐี Warren Buffet วัย 91 ปีและ Charlie Munger วัย 98 ปี ซึ่งกวาดกำไรกว่า 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากถึงร้อยละ 53 แซงหน้า JPMorgan Chase ของ Jamie Dimon ขึ้นแท่น “บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก”

ด้าน JPMorgan Chase รั้งอันดับ 2 ของบริษัทสหรัฐฯ และอันดับ 4 ในทำเนียบ Global 2000 รองจาก ICBC และ Saudi Aramco หลังมูลค่าหู้นปรับตัวลงกว่าร้อยละ 15 ในปีนี้ กระทั่งปิดที่ 126.81 เหรียญในวันที่ 22 เมษายน

ตามมาด้วย Amazon ซึ่งขึ้นมาครองอันดับ 3 จากอันดับ 5 ในปีก่อน และอันดับ 13 ในปี 2020 โดยได้รับอานิสงส์จากการช็อปปิ้งออนไลน์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22 อยู่ที่ประมาณ 4.7 แสนล้านเหรียญ นำโดยหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจำพวกสินค้าตกแต่งบ้าน ความงาม และงานอดิเรก

ด้าน Apple, Bank of America, Alphabet, Microsoft และ Wells Fargo ยังคงเป็นหนึ่งใน 10 บริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ขณะที่ Walmart ผู้ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ตกจากอันดับ 9 มาอยู่ที่อันดับ 13 แต่ยังคงครองอันดับ 1 ในด้านยอดขายทั่วโลก เช่นเดียวกับ Citigroup ที่ร่วงจากอันดับ 8 มาอยู่ที่อันดับ 15 หลังถูกแทนที่โดย ExxonMobil ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซและ Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย

<img class="alignnone wp-image-62671" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Global-2000-US-COM.jpg" alt="" width="720" height="418" />

สำหรับการกลับมาทวงคืนตำแหน่งของ ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในอันดับ 8 ประจำปีนี้ ได้รับอานิสงส์มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 57 จากปีก่อน สู่ระดับ 2.8 หมื่นล้านเหรียญ หลังขาดทุนกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญในปี 2021 ซึ่งในปีนี้สามารถชดเชยด้วยกำไรกว่า 2.3 หมื่นล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย

ในขณะที่กลุ่มบริษัทโทรคมนาคม AT&amp;T ยังคงประสบชะตากรรมที่คล้ายคลึงกับในปีที่ผ่านมา โดยตกลงจากอันดับ 5 มาอยู่ที่อันดับ 106 ในทำเนียบปีนี้ ทว่าคู่แข่งหลักอย่าง Verizon ยังคงสามารถผลงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 5 เป็น 1.34 แสนล้านเหรียญประกอบกับสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 16 จากปีก่อน 

“เรายังคงมองว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอันใกล้นี้” Jamie Dimon แห่ง JPMorgan กล่าวระหว่างรายงานผลประกอบการประจำปี “งบดุลของผู้บริโภคและธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองและเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และสงครามในยูเครน”

พบกับ 10 บริษัทสหรัฐฯ จากการจัดอันดับ Global 2000 ประจำปี 2022 ณ วันที่ 22 เมษายน 2022

<img class="alignnone size-full wp-image-62674" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/BH.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 1

Berkshire Hathaway Inc. Class B

รายได้: 2.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

กำไร: 8.98 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินทรัพย์: 9.58 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 7.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62675" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/JP.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 4

JPMorgan Chase &amp; Co.

รายได้: 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 4.21 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.74 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62676" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Amazon.com-Inc_.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 6

Amazon.com, Inc.

รายได้: 4.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 3.33 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 4.20 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.46 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62677" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Apple-Inc_.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 7

Apple Inc.

รายได้: 3.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.81 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.64 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62678" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Untitled-1.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 9

Bank of America Corporation

รายได้: 9.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.03 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62679 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Alphabet.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 11

Alphabet Inc. Class A

รายได้: 2.57 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 7.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.58 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62680 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Microsoft-Corporation.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 12 

Microsoft Corporation

รายได้: 1.84 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 7.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.05 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62681 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Exxon-Mobil-Corporation.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 15 

Exxon Mobil Corporation

รายได้: 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone wp-image-62682 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Wells-Fargo-Company.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 18 

Wells Fargo &amp; Company

รายได้: 8.41 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62683 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Verizon-Communications-Inc_.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 19 

Verizon Communications Inc.

รายได้: 1.34 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.66 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.18 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Global 2000: Berkshire Hathaway Takes Down JPMorgan As America’s Largest Company โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม:<a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/europe/30-under-30-europe-2022-หนุ่มสาวดาวรุ่งจา.html"> “30 Under 30 Europe 2022” หนุ่มสาวดาวรุ่งจากอุตสาหกรรมค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซ</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

10 บริษัทสหรัฐฯ จากการจัดอันดับ Global 2000 ประจำปี 2022

<h2>Microsoft บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ ซึ่งร่วมก่อตั้งโดยอภิมหาเศรษฐี Bill Gates เมื่อ 46 ปีก่อน ใกล้จะขึ้นแท่นบริษัทแห่งที่ 2 ที่มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา หลังราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเทคโนโลยี</h2>
<figure><img class="wp-image-44752" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/GatesAllen-1024x802.jpg" alt="Bill Gates" width="700" height="548" /><figcaption> Paul Allen และ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft</figcaption></figure>

หุ้นของ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/jonathanponciano/2020/10/27/microsoft-worlds-third-largest-tech-firm-earnings-14-billion-profit-third-quarter/?sh=729cea8be068">Microsoft</a> ค่อนข้างทรงตัวในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดราวร้อยละ 20 ในปีนี้ (เทียบกับดัชนี S&amp;P 500 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 13) ก่อนที่จะสร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ซึ่งทำให้มูลค่าบริษัทตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.97 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งห่างจากเป้าหมาย 2 ล้านล้านเหรียญเพียงร้อยละ 1.5

โดยได้รับอานิสงส์มาจากการยอดขายซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์สำหรับองค์กรในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการก้าวข้ามเกณฑ์ในครั้งนี้ของทางบริษัทเกิดขึ้นเพียง 8 เดือนหลัง <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/sergeiklebnikov/2020/08/19/apple-becomes-first-us-company-worth-more-than-2-trillion/?sh=15891f3e66e6">Apple</a> ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าบริษัทเกือบ 2.3 ล้านล้านเหรียญ ขึ้นแท่นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรก ที่มีมูลค่าบริษัท 2 ล้านล้านเหรียญในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี Microsoft ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Redmond รัฐวอชิงตัน เป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งที่ 3 ที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1 ล้านล้านเหรียญในเดือนเมษายน 2019 ซึ่งเป็นระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีหลังจากที่ Apple และ Amazon <a style="color: #333333;" href="https://www.cnbc.com/2018/09/04/amazon-hits-1-trillion-in-market-value.html">ทำสถิติเป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งที่ 2</a> ในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2018 ตามลำดับ 

ขณะที่บริษัทที่สร้างสถิติมีมูลค่าทะลุหลัก 2 ล้านล้านเหรียญแห่งแรกของโลก คือ <a style="color: #008000;" href="https://www.nytimes.com/2019/12/16/business/energy-environment/saudi-aramco.html#:~:text=Saudi%20Aramco%2C%20the%20world's%20biggest,trillion%20on%20the%20Saudi%20exchange.">Saudi Aramco</a> ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันหลังราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในวันแรกของการเปิดตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 2019

ทั้งนี้หุ้นของ Microsoft ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในปีที่ผ่านมาจนส่งผลให้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า Tesla และ Facebook ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 5 และ 6 ของประเทศ ขณะที่ในปัจจุบันบริษัทที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับ Apple และ Microsoft คือ Amazon (มูลค่า 1.7 ล้านล้านเหรียญ) และ Alphabet (มูลค่า 1.6 ล้านล้านเหรียญ)

<figure><img class="wp-image-44751" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/microsoft-headquarters1.jpg" alt="Bill Gates" width="700" height="466" /><figcaption> สำนักงานใหญ่ Microsoft ตั้งอยู่ในเมือง Redmond รัฐวอชิงตัน</figcaption></figure>

“ในสภาวะที่ Facebook, Amazon, Apple และ Alphabet ต่างเผชิญกับการตรวจสอบที่ว่าด้วยการละเมิดกฎหมายด้านการผูกขาดหรือไม่ Microsoft ซึ่งเคยผ่านบททดสอบ<a style="color: #993300;" href="https://www.forbes.com/sites/jonathanponciano/2021/04/26/microsoft-nears-2-trillion-market-value-second-only-to-apple-in-the-us/?sh=607ca15ec48a">ด้านกฎระเบียบในช่วงปี 1990 และต้นปี 2000</a> มาแล้ว พบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าในการจะขยายธุรกิจคลาวด์” Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าว

ด้านกำหนดการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทในวันอังคารหลังจากตลาดปิด ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทจะมีรายรับประมาณ 4.1 หมื่นล้านเหรียญมากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 17 และอาจเป็นครั้งที่ 2 ที่มีผลประกอบการรายไตรมาสดีที่สุด หลังจากสร้างสถิติไว้ที่ 4.3 หมื่นล้านเหรียญในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021

Bill Gates ก่อตั้ง Microsoft ในปี 1975 ภายในห้องพักมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดร่วมกับ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/paul-allen/?sh=4c4b53274417">Paul Allen</a> เพื่อนสมัยเด็กที่เสียชีวิตลงในปี 2018 

แม้ว่าจะเริ่มต้นในฐานะบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก แต่ Microsoft ก็สามารถเปิดตัวคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองในปี 1981 และค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก พร้อมกับสร้างมหาเศรษฐีถึง 4 คนตลอดเส้นทาง ได้แก่ Gates, Allen และพนักงานรุ่นแรกๆ อย่าง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/steve-ballmer/?sh=46b9bb14818a">Steve Ballmer</a> และ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/charles-simonyi/?sh=62fbf5bc6639">Charles Simonyi </a>

ปัจจุบัน 3 ธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ในรูปของโปรแกรมต่างๆ  (อาทิ Microsoft Office และ LinkedIn) ระบบคลาวด์ (อย่าง Azure) และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Windows ฮาร์ดแวร์ และ Xbox) โดยไตรมาสที่ผ่านมา แต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 1.5 หมื่นล้านเหรียญ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Microsoft Nears $2 Trillion Market Value—Second Only To Apple In The U.S. เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/hermes-ไตรมาสแรกปี-2021-รายได้เติ.html">Hermes ไตรมาสแรกปี 2021 รายได้เติบโต 33 % ผลงานขายจากเอเชีย</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events