<h2 class="p1">หลังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในแคมเปญ “Ichitan X Free Fire รหัสล่าฮายาโตะ” เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ อิชิตัน ร่วมกับการีนาในการแจกรหัสใต้เครื่องดื่มชาเขียวรสฮันนี่เลมอน แลกไอเทมพิเศษในเกม Free Fire ส่งผลให้ยอดขายของเครื่องดื่มดังกล่าวพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง 5 เดือนติดต่อกัน และทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในหมู่วัยรุ่นมากขึ้น</h2>
ล่าสุด อิชิตัน จับกลยุทธ์นี้มาใช้อีกครั้งในช่วงโค้งท้ายของปี 2562 ด้วยการร่วมกับการีนาเปิดตัวแคมเปญ “อิชิตัน รหัสล่าสกินปืน กาแล็คซี่ดับสูญ” โดยเป็นการใช้รหัสใต้ฝาแลก “สกินปืน” (รูปลักษณ์ภายนอกของปืน) พิเศษในเกม Free Fire จากค่ายการีนา โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่ม Gen Z (อายุ 10-24 ปี)
ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทุกวันนี้โลกหมุนเร็ว เด็กสมัยนี้ 90% เติบโตมากับเกม ซึ่งเป็นโลกและคอมมูนิตี้หนึ่งของเขา หรืออาจกล่าวได้ว่าเกมกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเด็กรุ่นใหม่ เกมเป็นแพชชั่นที่ขับเคลื่อนชีวิตเด็ก ดังนั้น เราต้องไม่ปิดกั้น แต่ต้องพยายามทำความเข้าใจ เปิดใจ ก็จะให้เราอยู่ในโลกเดียวกับเขาได้
“อี-สปอร์ตอาจเป็นธุรกิจใหม่แห่งอนาคต เป็นกีฬาระดับโลก และเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอื่นอีกมหาศาล อิชิตันจึงเปิดใจกับเกมและอยากให้วัยรุ่นเล่นให้สนุกและไปให้ถึงเป้าหมาย”
ทั้งนี้ แคมเปญ “อิชิตัน รหัสล่าสกินปืน กาแล็คซี่ดับสูญ” นั้นใช้เครื่องดื่มชาเขียวผสมวุ้นมะพร้าวอิชิตันชิวชิว รสองุ่นเฮียวโค และรสไลม์ ฮันนี่ ซึ่งใต้ฝาขวดจะมีรหัสไอเทมโค้ด เมื่อผู้เล่นสะสมรหัสครบทุก 2 ฝา จะได้รับกล่องอิชิตันเพื่อลุ้นรับไอเทม “สกินปืน กาแล็กซีดับสูญ” เพื่อใช้กับปืน 4 รุ่น ได้แก่ M79 / SCAR / MP5 / M60 และไอเทมอื่นๆ ในเกม Free Fire ระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่ 1 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2019
วริทธิ์นันท์ ไตรรัตโนภาส Senior Manager บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Free Fire เป็นเกมเอาตัวรอดที่การีนาได้พัฒนาขึ้นมาและให้บริการมามากกว่า 1 ปี ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงด้วยยอดดาวน์โหลดจากผู้เล่นกว่า 450 ล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ยังสร้างปรากฏการณ์ออนไลน์พร้อมกันทั่วโลก 50 ล้านคน/วัน
“ตลอดเวลาเราพยายามฟังฟีดแบ็กจากเกมเมอร์ พร้อมๆ กับการทำตลาดที่เข้าใจเกมเมอร์ได้ดี ซึ่งการร่วมมือกับอิชิตันครั้งนี้เชื่อว่าจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เล่น และรู้สึกดีใจที่อิชิตันเห็นศักยภาพของเยาวชนไทยในวงการอี-สปอร์ต”


<figure><img class="size-full wp-image-21590" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ichitan03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> วริทธิ์นันท์ ไตรรัตโนภาส Senior Manager บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2 class="p1">หวังแคมเปญดันยอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน</h2>
ตัน กล่าวว่า กลยุทธ์ของเราต่อจากนี้คงไม่ทำแคมเปญใหญ่ที่ใช้เงินทีเดียวหลักร้อยล้านบาทแล้ว แต่จะหันมาทำแคมเปญที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแต่ละเซ็กเมนต์มากขึ้น โดยเราเริ่มทำอีเวนต์เฉพาะกลุ่มโรงเรียน, กลุ่มออฟฟิศ, กลุ่มร้านค้าขายส่ง ซึ่งทำให้เราใช้งบการตลาดลดลง แต่ได้ผลลัพธ์ดีขึ้น ทำให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
“โดยงบการตลาดครึ่งปีที่แล้ว 309 ล้านบาท ครึ่งปีนี้ใช้ไปแค่ 240 ล้านบาท ขณะที่งบการตลาดปีที่แล้วใช้ไป 514 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้ไม่เกิน 410 ล้านบาท ซึ่งหากทำได้จริงจะใช้เม็ดเงินลดลงถึง 104 ล้านบาท”
ทั้งนี้ โพสต์ทูเดย์รายงานผลให้<a href="https://www.posttoday.com/economy/news/597813">ผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้</a> อิชิตันมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,940% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 2.5 ล้านบาท มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,964.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 2,654.5 ล้านบาท
กรรมการผู้อำนวยการอิชิตัน ระบุอีกว่า สำหรับสินค้ากลุ่มอิชิตันชิวชิว หรือกลุ่มชาเขียวผสมวุ้นมะพร้าว บริษัทห่างหายจากการทำตลาดไปราว 2 ปี เนื่องจากเมื่อก่อนไม่สามารถผลิตเองได้ จึงต้องจ้างผลิตซึ่งมีต้นทุนสูง แต่ตอนนี้บริษัทมีเครื่องจักรเองจึงหันกลับมาทำตลาดอีกครั้ง โดยตั้งเป้าว่าในช่วงสองเดือนครึ่งของการจัดแคมเปญ จะดันให้ยอดขายของสินค้ากลุ่มอิชิตันชิวชิวขึ้นมาเป็นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท จากปกติมียอดขายราวเดือนละ 20 ล้านบาท


<figure><img class="size-full wp-image-21589" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ichitan02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>
สำหรับชาเขียวผสมวุ้นมะพร้าวนั้นมีสัดส่วนอยู่ที่ 9% ในตลาดชาพร้อมดื่ม โดย 8 เดือนแรกชาเขียวผสมวุ้นมะพร้าวมีมูลค่าประมาณ 760 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2018 มีมูลค่าราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งอิชิตันมองว่าปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตตามตลาดชาเขียวพร้อมดื่มที่คาดว่าปีนี้จะเติบโต 8%
&nbsp;
<h2 class="p1">ภาษีน้ำตาลไม่กระทบ</h2>
สำหรับมาตรการภาษีน้ำตาลที่จะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะมีผลดังนี้

<ol>
 	<li class="p1">เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เว้นการเก็บภาษี</li>
 	<li class="p1">เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 6 กรัม แต่ไม่เกิน 8 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 0.30 บาทต่อลิตร</li>
 	<li class="p1">เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร</li>
 	<li class="p1">เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 3 บาทต่อลิตร</li>
 	<li class="p1">เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 5 บาทต่อลิตร</li>
</ol>
ตันกล่าวว่า อิชิตันแทบไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับภาษีใหม่และแทบไม่มีการปรับขึ้นราคาสินค้าตัวใดเลย เนื่องจากได้ปรับสูตรไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้สินค้าของบริษัทในปัจจุบันแทบไม่มีตัวใดที่มีน้ำตาลเกิน 10% เลย ส่งผลให้เราเสียภาษีเพียงลิตรละ 0.30 บาท จากที่เคยเสียภาษีในอัตราลิตรละ 0.50 บาท เรียกได้ว่าอัตราภาษีน้ำตาลรอบใหม่นี้ส่งผลบวกกับเรามากกว่า
“ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ ในตลาดที่ได้รับผลกระทบคือน้ำอัดลมที่ได้ปรับราคาไปแล้ว และน้ำผลไม้ก็ปรับราคาขึ้นประมาณ 20% ส่วนฟังชั่นนอลดริงค์ต้องรอผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง”
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%99-%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">“อิชิตัน” รุกอินโดนีเซีย เบิกทางสู่อาเซียน</a></li>
</ul>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"อิชิตัน" จับมือการีนาเปิดตัวแคมเปญเจาะเกมเมอร์ ดันยอด "ชิวชิว" สองเดือนครึ่ง 100 ล้าน

<h2>SEA (Thailand) เดินหน้าขับเคลื่อน 3 ธุรกิจหลัก “ช้อปปี้” มาร์เก็ตเพลซค้าออนไลน์วางหมากเจาะกลุ่มผู้ค้า สร้างฐานร้านค้าขยายตัว 150% ปีนี้เริ่มทดลองตลาดในการเก็บค่าดำเนินการ ด้าน “การีนา” ชูจุดขายอี-สปอร์ตช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย “แอร์เพย์” อี-เพย์เมนต์เน้นสร้างฐานในกลุ่มเกมเมอร์และการซื้อขายในช้อปปี้</h2>
SEA Group สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น แผ่ขยายอาณาจักรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2552 โดยเริ่มจากธุรกิจเกมออนไลน์การีนา ก่อนจะเริ่มขยายธุรกิจอี-เพย์เมนต์อย่างแอร์เพย์ และอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม ช้อปปี้ ปัจจุบันมีสำนักงานใน 7 ประเทศคือ สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไต้หวัน โดย SEA เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2555 และเปิดตัวครบทั้ง 3 ธุรกิจสามขาหลักที่นี่

มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SEA (Thailand) เปิดเผยถึงการเติบโตของบริษัท เฉพาะในประเทศไทยนั้น มีผู้ใช้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นช้อปปี้แล้ว 30 ล้านครั้ง มีผู้เล่นเกมของการีนาบนเดสก์ท็อป 35 ล้านบัญชีและบนโทรศัพท์มือถือ 40 ล้านบัญชี ส่วนแอร์เพย์นั้นมีผู้ใช้ดาวน์โหลด 7.5 ล้านครั้ง และจุดบริการที่รับการจ่ายด้วยแอร์เพย์มากกว่า 2 แสนจุดทั่วประเทศ
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/%e0%b8%a1%e0%b8%93%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4-sea.html">มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ดัน SEA (Thailand) สู่ ‘ดิจิทัลคอมพานี’ แถวหน้า</a></li>
</ul>
<img class="alignnone size-full wp-image-13790" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/SEA-Thailand-จำนวนผู้ใช้.jpg" alt="SEA-Thailand-จำนวนผู้ใช้" width="800" height="460" />

&nbsp;
<h2>ช้อปปี้ชูจุดขายฟังก์ชัน “แชท” กรองปัญหา “ได้ของไม่ตรงปก”</h2>
ซีอีโอแห่ง SEA (Thailand) กล่าวถึงธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของบริษัทว่า หลังเปิดตัวตั้งแต่ปี 2558 ในช่วงปี 2561 ช้อปปี้มีจำนวนผู้ขายเติบโตขึ้น 150% จากกลยุทธ์ส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าหันมาเสริมธุรกิจตัวเองด้วยการขายออนไลน์ มีการเปิดโปรแกรม “Train the Trainers” มุ่งหมายให้ผู้รับการอบรมกลับไปสอนวิธีขายสินค้าบนช้อปปี้ให้คนในชุมชนของตน เจาะกลุ่มธุรกิจจากต่างจังหวัด

ในมุมของผู้ซื้อ มณีรัตน์กล่าวว่าตั้งแต่ปี 2561 คนไทยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากกว่า 60% มีการติดตั้งแอพฯ ช้อปปี้บนมือถือ จากการกระตุ้นของบริษัทด้วยพรีเซนเตอร์ รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ ในแอพฯ อย่างสม่ำเสมอ

<figure><img class="size-full wp-image-13793" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Shopee-จำนวนผู้ใช้.jpg" alt="" width="800" height="534" /><figcaption> การเติบโตของร้านค้าและผู้ดาวน์โหลดแอพฯ ช้อปปี้ในไทย</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการเริ่มทำกำไรของช้อปปี้ ประเทศไทยยังมาไม่ถึงในเร็ววันนัก “ช้อปปี้ยังอยู่ในเฟสที่ต้องทำการ educate ตลาดให้คนมีความคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์ คิดว่าทุกเจ้ายังเป็นเฟสเดียวกันอยู่” มณีรัตน์กล่าว ทั้งนี้ ช้อปปี้ที่เริ่มทำกำไรได้แล้วคือสาขาไต้หวัน “ที่ไต้หวันเป็นอย่างนั้นได้เพราะประชากรมีความเข้าใจในการซื้อและจ่ายเงินออนไลน์ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเข้าไป ดังนั้นการ adopt เทคโนโลยีจึงไม่ยาก และโตได้เร็ว”

“ตอนนี้เรายังเน้นเรื่อง customer journey เป็นหลัก ให้คนมาใช้แล้วสะดวกสบาย รู้สึกดีในการใช้” เธออธิบายว่า ความรู้สึก ‘สบายใจ’ มาจากโมเดลธุรกิจที่ต่างของช้อปปี้คือมีฟังก์ชัน ‘แชท’ ให้ผู้ซื้อพูดคุยโดยตรงกับผู้ขายได้ก่อนตัดสินใจ ขอดูภาพสินค้าจริงก่อนสั่งซื้อ ซึ่งช่วยกลั่นกรองสินค้าที่ไม่ถูกใจได้ในขั้นแรก และช้อปปี้ยังมีการการันตีคืนสินค้ารองรับอีกขั้นหนึ่ง เชื่อว่าสิ่งนี้คือจุดแข็งที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง

&nbsp;
<h2>ทดลองเก็บเกี่ยวรายได้ “ค่าธรรมเนียม”</h2>
ด้านการเก็บเม็ดเงินจากผู้ค้า หลังโหมทำตลาดสร้างฐานทั้งผู้ขายผู้ซื้อมานาน 4 ปี ปีนี้ช้อปปี้เริ่มทดลองโมเดลการเก็บรายได้บ้างแล้ว โดยช่วงที่ผ่านมาช้อปปี้เริ่มจัดโปรโมชัน เช่น ช้อปปี้ออกค่าจัดส่งสินค้าให้ 60 บาท จากปกติผู้ขายต้องรับภาระค่าส่งเองหรือให้ผู้ซื้อชำระค่าส่ง แลกกับการที่ช้อปปี้ขอหักค่าธรรมเนียมการขาย 5% จากราคาสินค้า ซึ่งโปรโมชันนี้ช้อปปี้นำเสนอในลักษณะแคมเปญกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า และนับได้ว่าเป็นการทดลองตลาดไปในตัวว่าผู้ขายรับได้มากน้อยแค่ไหนหากมีการหักค่าธรรมเนียม

“มีเทสต์การเก็บค่าบริการบ้างแล้ว แต่ไม่แรงมาก เพราะไม่อยากให้การ adoption ของผู้ซื้อผู้ขายตกลง ดังนั้นยังไม่ใช่ point หลักในการทำงาน เรายังเน้นดึงคนเข้ามาใช้งานและทำให้มีสินค้าครบ หาอะไรก็เจอ” มณีรัตน์กล่าว

นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังเริ่มทดลองบริการ ช้อปปี้ โลจิสติกส์ ด้วย โดยเป็นบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียว (Same-day Delivery) บริการเฉพาะผู้ขายในช้อปปี้ ซึ่งบริษัทยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

&nbsp;
<h2>SEA ดันไทยศูนย์กลางอี-สปอร์ตแห่งภูมิภาค</h2>
มณีรัตน์กล่าวต่อถึงธุรกิจเกมการีนาที่มีเกมชูโรงคือ ROV เกมแนวต่อสู้บนมือถือซึ่งมียอดลงทะเบียนเกมในไทยถึง 31 ล้านคน และ SEA ยังต่อยอดธุรกิจจาก Game Publisher เป็น Game Developer ด้วยการพัฒนาเกม Free Fire จากแนวคิดตั้งต้นคือต้องการสร้างเกมที่ใช้พื้นที่เครื่องน้อย ตอบโจทย์ผู้ใช้ในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งใช้สมาร์ทโฟนระดับกลาง ปัจจุบันเกมนี้ได้รับความนิยม มีผู้ดาวน์โหลดทั่วโลก 450 ล้านครั้ง ส่วนใหญ่อยู่ในแถบละตินอเมริกา

นอกจาก ROV และ Free Fire การีนายังมีเกมในพอร์ตคือ Speed Drifters และ FIFA Online 4 รวมถึง Call of Duty Mobile ที่จะนำเข้าไทยเร็วๆ นี้ ทั้งหมดนี้ทำให้การีนาเริ่มจัดทัวร์นาเมนต์แข่งกีฬาอี-สปอร์ตมาตั้งแต่ปี 2555 โดยใช้ไทยเป็นศูนย์กลาง มียอดผู้ร่วมงาน Garena World 2019 ที่ไบเทค บางนา รวม 2 วัน 2.7 แสนคน ผู้เข้าแข่งขัน 81 ทีมจาก 13 ประเทศ (16 ทีมในจำนวนนั้นเป็นทีมจากละตินอเมริกา) และมีผู้ชมถ่ายทอดสดการแข่งขัน 31 ล้านวิว ซึ่งการีนาจะผลักดันอี-สปอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสามารถใช้อี-สปอร์ตสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยและสนับสนุนการท่องเที่ยวได้

<figure><img class="size-full wp-image-13794" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Garena-World-2019.jpg" alt="" width="400" height="452" /><figcaption> จำนวนผู้เข้าร่วมงาน Garena World 2019</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>แอร์เพย์ ได้ฐานสนับสนุนจากช้อปปี้และการีนา</h2>
ด้านแอร์เพย์นั้น มณีรัตน์มองว่าจะยังคงยึดจุดแข็งเป็นอี-เพย์เมนต์ที่ทำตลาดกับโรงภาพยนตร์ และอีก 2 ธุรกิจในเครือคือการซื้อสินค้าในเกมการีนาและซื้อขายสินค้าในช้อปปี้

“อี-วอลเล็ตยังไม่มีใครที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ละใบตอบโจทย์ต่างกัน ทำให้คนคนหนึ่งมีกระเป๋าเงินได้หลายใบสำหรับใช้ชำระสินค้าแต่ละประเภท อย่างของเราเด่นเรื่องเติมเกม ดูหนัง และจ่ายช้อปปี้ การขยับก็ยังเน้นระบบนิเวศของเราเองจะช่วยให้มีผู้ใช้แอร์เพย์มากขึ้น”

มณีรัตน์กล่าวสรุปว่า โดยรวมแล้วบริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้วัย 18-35 ปีเป็นหลัก และเชื่อว่าธุรกิจยังคงสดใสโดยเติบโตตามเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Google และ Temasek วิเคราะห์ว่าจะเติบโตไปสู่มูลค่าตลาด 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2568
<ul>
 	<li>อ่านข้อมูลวิเคราะห์ดังกล่าวได้ที่นี่<a href="https://forbesthailand.com/news/it/google-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2.html"> "เจาะลึกผลวิจัย Google ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลไทยขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านเหรียญ"</a></li>
</ul>
&nbsp;

SEA ขับเคลื่อน 3 ธุรกิจหลัก ทดลองเก็บรายได้จาก “ช้อปปี้” ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางอี-สปอร์ต

<h2>การีนาชี้เทรนด์ตลาดเกม คาดปี 2017 มูลค่าในไทยพุ่งแตะ 1 หมื่นล้านบาท เกมมือถือโตพรวด 30% การีนายังยึดหัวหาดผู้นำ เร่งเครื่องด้วยเกม ROV-Blade &amp; Soul ดันยอดผู้เล่นเป้าครองมาร์เก็ตแชร์ 70% พร้อมจัดงานแข่งขันกีฬา eSports “GSL 2017” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แก้ภาพลักษณ์เกมเมอร์</h2>
อัลเลน ซู ผู้จัดการอาวุโสด้านพันธมิตรทางธุรกิจเกม บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด publisher เกมจากสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ตลาดเกมเมืองไทยปี 2016 มีมูลค่าตลาดรวม 8.7 พันล้านบาท แบ่งเป็นเกมพีซี 5.6 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 10% และเกมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือเกมมือถือ (Mobile game) อีก 3.1 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตประมาณ 30% จากปีก่อนหน้า

สำหรับปี 2017 นี้มองว่าตลาดเกมจะยังโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าเกมพีซีจะโต 13% เป็น 6.3 พันล้านบาท และเกมมือถือจะยังเติบโตสูง 30% เพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท รวมมูลค่าตลาดเกมปีนี้อาจแตะ 10,300 ล้านบาท

<figure><img style="width: 680px; height: 476px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5de901a5ecef7ccff9e5fca1d144e011.png" alt="" width="680" height="476" /><figcaption> (ซ้าย) อัลเลน ซู ผู้จัดการอาวุโสด้านพันธมิตรทางธุรกิจเกม บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ส่วนจำนวนผู้ลงทะเบียนเกม (user) เฉพาะของการีนา เกมพีซีมี 30 ล้านบัญชี และเกมมือถือ 11 ล้านบัญชี รวมเป็น 41 ล้านบัญชี เป็นผู้นำอันดับ 1 ในแง่จำนวนบัญชีผู้เล่น ครองส่วนแบ่ง 50% ของจำนวนบัญชีลงทะเบียนเกมทั่วไทย

และปีนี้เชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้เป็น 70% ได้ จากเกมที่การีนาได้สิทธิเป็นผู้ให้บริการขณะนี้ทั้งหมด 11 เกม แบ่งเป็นเกมพีซี 7 เกม และเกมมือถืออีก 4 เกม ในจำนวนนี้มีเกมล่าสุดที่เปิดตัวคือ RoV เป็นเกมมือถือรูปแบบ MOBA (Multiplayer Online Battle Arena) ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี หลังเปิดตัวเดือนธันวาคม 2016 มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 3.5 ล้านบัญชีใน 4 เดือน

“เกมรูปแบบ MOBA เป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุด ในไทยได้รับเสียงตอบรับดีมาก และมีฐานผู้เล่นที่แตกต่างจากเกมพีซี มีผู้เล่นวัยผู้ใหญ่เข้ามามากขึ้นเพราะเป็นการแข่งขันเป็นรอบๆ ในเวลา 15 นาที เหมาะกับผู้ที่มีเวลาน้อยตรงกับเป้าหมายวัยทำงาน” อัลเลน กล่าวเสริม

นอกจากนี้ การีนายังเตรียมเปิดตัวเกมพีซีเกมใหม่คือ Blade &amp; Soul จากค่าย NCsoft ภายในปีนี้ เป็นเกมรูปแบบ Action MMORPG ที่เปิดตัวในหลายประเทศมาแล้ว 5 ปี มีจุดเด่นคือการเคลื่อนไหวของตัวละครสวยงามมากที่สุด เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มจำนวน user เกมเมอร์ไทยของการีนาให้มากขึ้น

โดยปัจจุบันการีนายังเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งด้านเกมพีซี เกมยอดฮิตของการีนาจึงยังอยู่ในหมู่เกมพีซี ได้แก่ HoN (Heroes of Newerth), League of Legends, FIFA Online 3 และ Point Blank แต่กลยุทธ์ปีนี้จะรุกหนักในตลาดเกมมือถือให้มากขึ้น

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b0a29ae8bcd86692bf3cc2566953b463.png" alt="" width="680" height="443" /><figcaption> ตัวละครจากเกม Blade and Soul เกม MMORPG ใหม่จากการีนา</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ผลักดัน eSports ปรับภาพลักษณ์เกมเมอร์</h2>
อัลเลนกล่าวต่อว่า ปัจจัยลบต่อธุรกิจเกมในไทยขณะนี้คือภาพลักษณ์ของเกมเมอร์ เกมยังถูกมองลบจากผู้ปกครองที่เห็นว่าเด็กที่เล่นเกมอาจไม่ใส่ใจการเรียน ซึ่งการีนาต้องการแก้ภาพลักษณ์นี้ และสร้างให้เห็นว่าเกมสามารถเป็นกีฬาได้อย่างที่หลายประเทศผลักดันในนามกีฬา eSports มีสโมสรเกมเมอร์มืออาชีพที่สร้างรายได้ได้จริง

โดยปีที่ผ่านมา การีนามีการจัดงานแข่งขันคือ Garena Star League หรือ GSL 2016 มีผู้ร่วมงานถึง 1.5 แสนคน และมีผู้สตรีมมิ่งชมออนไลน์อีก 2.5 แสนคน

ในปีนี้การีนาจะจัดแข่งขันต่อเนื่องในงาน GSL 2017 ในวันที่ 1-2 เมษายนนี้ ที่ไบเทค บางนา เชื่อว่าจะดึงดูดผู้มาร่วมงานเพิ่มเป็น 2 แสนคน และผู้ชมออนไลน์เพิ่มเป็น 5 แสนคน ภายในงานยังคงมีการแข่งขัน 4 เกมพีซียอดฮิตของการีนาที่เป็นการแข่งขันระดับนานาชาติ หรือเป็นการแข่งเพื่อเฟ้นหาตัวแทนไปแข่งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมไฮไลต์สำคัญที่แตกต่างจากปีก่อนๆ คือการแข่งขันครั้งแรกของเกมมือถือ RoV และเปิดให้ผู้สนใจได้ทดลองเล่นเกม Blade &amp; Soul เป็นครั้งแรก

&nbsp;

Forbes in Details

อัลเลน ซู ยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจของตลาดเกมและ eSports เพิ่มเติม อาทิ
<ul>
 	<li>มูลค่าตลาดเกมทั่วโลกอยู่ที่ 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ</li>
 	<li>ตลาดเกมอันดับ 1 คือประเทศจีน มูลค่า 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ</li>
 	<li>GSL ถือเป็นงานแข่งขัน eSports อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</li>
 	<li>นอกจากนักแข่งเกม eSports แล้ว อาชีพที่สร้างรายได้สูงในวงการเกมคือ Streamer ซึ่งเป็นนักเล่นเกมโชว์ให้กับผู้รับชมผ่านออนไลน์ ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในเชิงการตลาดเกม (influencer)</li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events