สิงห์ เอสเตท เดินเกมรุก เข้าซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม - Forbes Thailand

สิงห์ เอสเตท เดินเกมรุก เข้าซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม

โลกธุรกิจหมุนไว ดังนั้น เมื่อเห็นโอกาสแล้วต้องรีบคว้าและลงมือทำทันทีเหมือนอย่างที่ บมจ. สิงห์        เอสเตท (S) บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยกำลังทำ หลังจากออกมาประกาศกลยุทธ์เพื่อสร้าง Synergy ให้ธุรกิจ เติบโตอย่างการก้าวกระโดดท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก ด้วยการขยายธุรกิจหลักจากเดิมที่โฟกัสในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม มาสู่ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ล่าสุด สิงห์ เอสเตท ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและ    ความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ และยังได้สิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท สำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมของบริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง โดยดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถทำกำไรได้ โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป โดยกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี ส่วนแห่งที่สองและสาม เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม    เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2566 มีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งสามแห่งจะเริ่มขึ้น เมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ  บมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เม.ย.นี้ แล้วการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ของสิงห์ เอสเตท น่าสนใจอย่างไร? จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวถึง ดีลที่มาพร้อมเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่งนี้ว่า เป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ไม่เพียงจะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ยังเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของสิงห์ เอสเตทให้ใหญ่ขึ้น 3 เท่า และ เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมกับการสร้าง    โอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์      เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน” อีกหนึ่งแต้มต่อสำคัญจากการได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่ง ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมากนี้ คือ ทำให้สิงห์ เอสเตท มีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ การที่สิงห์ เอสเตทสามารถขายไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้น ในราคาตามที่ตกลงกันไว้ ไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ยิ่งทำให้มั่นใจว่า ดีลนี้จะสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากให้กับสิงห์ เอสเตทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เสริมศักยภาพให้ธุรกิจสามารถเดินหน้า  ต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business) ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี    พ.ศ. 2567 โดยฐิติมา มองว่าการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น สำหรับที่มาของแหล่งทุนในครั้งนี้ สิงห์ เอสเตท จะใช้เงินกู้จากธนาคารมาลงทุนในช่วงแรกก่อน หลังจากนั้นจะใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มากเพื่อลงทุนเองในภายหลัง โดยปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มีอัตราส่วนหนี้สิน    ต่อทุนที่ต่ำ อยู่ที่ 0.96 เท่า และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท นับเป็นอีกหมากตัวสำคัญที่สิงห์ เอสเตทเชื่อว่าจะเข้ามาเติมเต็มอาณาจักรสิงห์ เอสเตทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน