Muze Innovation บริษัทเทคสัญชาติไทย ชูบทบาทพันธมิตรด้านเทคโนโลยี เน้นช่วยธุรกิจดึงจุดแข็ง เสริมเขี้ยวเล็บด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม ต่อยอดการเติบโตและเพิ่มรายได้จากออนไลน์ รับ    เทรนด์ตลาดเปลี่ยนเร็วหลัง COVID-19 พร้อมสนับสนุนองค์กรธุรกิจวางรากฐานสู่โลกอนาคต
ปัจจุบัน ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นกำลังมีบทบาทสำคัญในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมศักยภาพให้กับองค์กรธุรกิจ ซึ่งองค์กรที่ต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นส่วนใหญ่เริ่มจากการวางกลยุทธ์ โดยการหาจุดเด่นที่แตกต่างหรือสิ่งที่สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยต่อยอดการเติบโตของธุรกิจได้
คุณบี พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท Muze Innovation ผู้มีประสบการณ์ในการสร้างดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้กับองค์กรใหญ่หลายองค์กร กล่าวว่า การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งเกิดจากการดำเนินการเพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่เป็น Tech Partner หรือพันธมิตรด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้แต่ละองค์กรสามารถดำเนินการตามแผนการที่วางไว้
“Execution หรือ ขั้นตอนการลงมือปฎิบัติตามแผนที่วางไว้ คือหัวใจสำคัญในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นไม่แพ้ขั้นตอนการวางกลยุทธ์ หากการวางกลยุทธ์เปรียบเสมือนการออกแบบบ้าน Execution จะเป็นขั้นตอนการสร้างจริง ตั้งแต่ปรับพื้น ลงเสาเข็ม และก่อสร้างบ้านจนเสร็จ แต่ไม่ว่าแบบบ้านจะดีแค่ไหน หากใช้ผู้รับเหมาที่ขาดประสบการณ์ก็จะได้บ้านที่ไม่แข็งแรง สร้างไม่เสร็จตามกำหนด หรือไม่ตรงตามแบบ” บี    พีรณัฎฐ์ กล่าว
การลงมือปฎิบัติเพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มหรือดิจิทัลแพลตฟอร์มให้ประสบความสำเร็จ Muze Innovation วางกรอบการทำงานภายใต้ 3 กลยุทธ์สำคัญ คือ ทีมงาน การเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับโจทย์ และความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้ทันกับตลาด โดยยึดหลักในการเป็น Tech Partner ให้กับองค์กรธุรกิจที่ต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
 Muze Innovation (Head Office)
 Muze Innovation (Head Office)
บี พีรณัฎฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ทีมที่ไม่ใช่คนในองค์กรหรือทีมเอ้าท์ซอร์ส (Outsource) มักพบปัญหาเรื่องเป้าหมายขององค์กรและเป้าหมายของทีมเอ้าท์ซอร์สที่เข้ามาวางระบบไอทีมีเป้าหมายต่างกัน โดยทั้ง 2 ฝั่ง เลือกที่จะสื่อสารกันด้วยเอกสาร TOR (Terms of Reference) โดยองค์กรระบุรายละเอียดของงาน และเทคโนโลยีที่ต้องการผ่าน TOR ขณะที่ทีมเอ้าท์ซอร์สมีหน้าที่ต้องดำเนินการตาม TOR ให้แล้วเสร็จ
“ปัญหาคือ ในระหว่างการพัฒนาระบบ หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือมีปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบธุรกิจ เช่น COVID-19 การดำเนินการตาม TOR ที่เคยลิสต์ไว้อาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายละเอียดของงาน หรือระยะเวลาเข้าสู่ตลาดที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ แต่หน้าที่ของทีม  เอ้าท์ซอร์สยังคงต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตาม TOR ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตามที่ตกลงกันไปแล้วได้ ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ องค์กรอาจได้ระบบที่ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจ ในขณะที่ทีมเอ้าท์ซอร์ส ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปิดโปรเจคได้ นับเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับทั้ง 2 ฝ่าย”
จาก Pain Point ดังกล่าวนำมาสู่หลักการทำงานของ Muze Innovation โดยนำหลักการทำงานแบบอไจล์ (Agile) เข้ามาปรับใช้กับลูกค้า เน้นเรื่องการรองรับการเปลี่ยนแปลงให้ทันตามสถานการณ์ มีความเป็น Single Goal Single Team หรือการทำงานเป็นทีมเดียวกับลูกค้าองค์กร เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ธุรกิจของลูกค้าประสบความสำเร็จ
 คุณบี พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท Muze Innovation
 คุณบี พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท Muze Innovation
Muze Innovation จะทำหน้าที่เทคพาร์ทเนอร์ (Tech Partner) และจัดหาทรัพยากรที่ครบวงจร โดยนำทีมงานที่เรียกว่า Scrum Team ซึ่งประกอบด้วย Full-Stack Software Developer หรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์แบบเต็มรูป Project Owner ซึ่งจะเป็นผู้ที่ช่วยคิดและวางแผนธุรกิจ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากทีมเทคโนโลยีที่เข้าใจธุรกิจ System Architect หรือผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ UX/UI Designer ที่ทำหน้าที่ออกแบบทั้งหน้าตา ความสวยงามของระบบ (User Interface) และออกแบบประสบการณ์การใช้งานระบบ (User Experience) ให้เหมาะสมกับผู้ใช้
เทคทีมเหล่านี้จะเข้าไปช่วยองค์กรตั้งแต่การวางไมล์สโตนของการสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร การดำเนินการวางระบบ พัฒนาระบบ และการส่งมอบระบบให้กับองค์กร โดยเน้นการทำงานแบบ V-Team (Virtual Team) ที่มีสมาชิกจากทีมในองค์กรและทีมของ Muze Innovation เป็นทีมเดียวในการสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มให้กับองค์กร ซึ่งองค์กรจะสามารถพัฒนาต่อยอดหรือขยายระบบตามการเติบโตของธุรกิจในอนาคตโดยใช้คนในองค์กรได้
“องค์กรต้องหา Core Value ของตัวเอง และเราในฐานะเทคพาร์ทเนอร์ก็จะนำดิจิทัลไปเพิ่มศักยภาพและต่อยอด Core Value นั้น เพื่อสร้างอิมแพคให้เกิดขึ้น ดังนั้นการเลือกเทคโนโลยีให้เหมาะกับการใช้งานหรือโจทย์ทางธุรกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยไม่จำเป็นต้องนำดิจิทัลเข้าไปทำในทุกกระบวนการ และไม่ควรเลือกใช้แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อาจจะแพงกว่า แต่ไม่จำเป็นและไม่เหมาะกับงาน” บี พีรณัฎฐ์ กล่าว
นอกจากการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับโจทย์ Muze Innovation ยังเน้นความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้ทันกับตลาด เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว โดยจะเปิดรับฟังฟีดแบคเสมอและนำมาปรับเปลี่ยนระบบและพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ทัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสำคัญในการทำ Agile Process
“การพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชั่นอาจใช้เวลา 6-12 เดือน แต่การทำงานแบบอไจล์ (Agile) เราจะใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ ทำฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบัน และฟังเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานว่ามีปัญหาหรือคำแนะนำเพิ่มเติมใดๆ เรานำสิ่งเหล่านั้นมาจัดลำดับความสำคัญและเลือกจากสิ่งที่เปลี่ยนเล็กๆ และสร้างอิมแพคก่อน”
แม็คยีนส์ ผู้ผลิตเสื้อผ้ายีนส์แบรนด์ไทย ซึ่งทาง Muze Innovation ได้เข้าไปช่วยสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับ Omni-Channel ตั้งแต่ปี 2560 เป็นหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับโจทย์และการปรับเปลี่ยนระบบระหว่างทางให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยแม็คยีนส์สามารถสร้างกำไรได้ถึง 12.7% ในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดของ COVID-19 รอบแรกและมีการล็อกดาวน์หลายเดือน ขณะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นมีกำไรเฉลี่ยเพียง 0.7% เท่านั้น โดยในปี 2564 แม็คยีนส์ยังสร้างรายได้จาก Omni-Channel ได้กว่า 420 ล้านบาท
นอกจากนี้ Muze Innovation ยังเป็นเทคพาร์ทเนอร์ให้กับบีอีซีเวิลด์ ในการสร้างแพลตฟอร์ม OTT (Over The Top) หรือทีวีออนไลน์ ในชื่อ CH3+ จนปัจจุบันมีผู้ใช้งานต่อเดือนมากสุด 12 ล้านคน เติบโต 10 เท่าจากช่วงแรก
ล่าสุด คือ OneSiam Application ยังได้เลือกใช้ inCart ของทาง Muze Innovation เป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง OneSiam Application เพื่อช่วยธุรกิจของร้านค้ากว่า 1,000 แบรนด์ใน 4 ศูนย์การค้าของบริษัท ซึ่งใช้ inCart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช omni-channel เป็นซอฟตแวร์หลักหลักสำหรับร้านค้าเพื่อสื่อสารกับลูกค้าและจัดทำออเดอร์ ช่วยให้ OneSiam Application สามารถเปิดตัว SuperApp ได้อย่างรวดเร็ว
 คุณบี พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท Muze Innovation
 คุณบี พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท Muze Innovation
“แนวโน้มของดิจิทัลแพลตฟอร์มในปี 2565 จะเป็นเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าหรือสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ธุรกิจจึงต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์หลังเกิดการซื้อขาย เพื่อทำความรู้จักลูกค้า และทำให้ Customer Lifetime Value หรือมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าเพิ่มขึ้นและกว้างขึ้น นำไปสู่การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้นองค์กรจะต้องเริ่มสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เหมาะกับตัวเองให้ได้เพื่อที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ทันในโลกยุคดิจิตอลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” บี พีรณัฎฐ์ กล่าว
Muze Innovation ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 โดยในปี 2564 มีรายได้ 140 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 ที่มีรายได้ 67 ล้านบาท โดยคาดว่า จะมีรายได้ 240 ล้านบาทในปี 2565 และ 300 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่ง คุณบี      พีรณัฎฐ์ วางเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2567 เพื่อสร้างฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งและให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบริษัท โดยปัจจุบัน มีพนักงาน 60 คน และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 120 คนในปี 2565 นี้