ALLY GLOBAL MANAGEMENT เปิดตลาดการลงทุนใหม่ เชื่อมเศรษฐีไทย-อาเซียน ลงทุน Private Equity ระดับโลก
ชูจุดเด่น เครือข่ายเจ้าของกองทุนใหญ่ระดับโลก เข้าลงทุนสินทรัพย์โดยตรง ตัดตัวกลาง สร้าง ผลตอบแทนสูงกว่า พร้อมความเสี่ยงต่ำ ผันผวนน้อย เน้นลงทุน 4 ธุรกิจดาวรุ่ง ทั้งอสังหาริมทรัพย์ มีเดีย-บันเทิง โรงแรม และบริษัทที่มีการเติบโต (Growth Equity) ตั้งเป้าขยายพอร์ตโต 5 เท่า แตะ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปี
กฤษฏิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ หุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท ALLY GLOBAL MANAGEMENT ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกกล่าวว่า การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดหรือ Private equity เป็นการลงทุนที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นสินทรัพย์ที่เข้าถึงยากและต้องมีความเข้าใจในธุรกิจสูงเพื่อปรับปรุงสร้างผลประกอบการที่สูง จึงนำมาซึ่งผลตอบแทนที่สูงกว่าและมีความเสี่ยงด้านราคา โดยเฉพาะยามตลาดผันผวนที่ต่ำกว่าสินทรัพย์ในตลาด ซึ่งการลงทุนสินทรัพย์ในตลาดอย่างเช่น การลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ ตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นการลงทุนที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ แต่มักเผชิญกับความผันผวนสูงเมื่อเกิดวิกฤตการณ์หรือมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ
“ช่วงที่มีโควิด-19 ระลอกแรกในเดือนมีนาคม 2563 หุ้นในไทยและต่างประเทศต่างติดลบถึง -35% ถึง -40% ล่าสุดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้หุ้น Nasdaq สหรัฐลดลง -20% ส่วนหุ้นจีนติดลบถึง -40% จึงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกหันมาสนใจและเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็น Private asset ไม่ว่าจะเป็น Private equity, Private debt หรือ Private real estate เนื่องจากสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าและมีความเสี่ยงด้านราคาต่ำกว่า”
เมื่อเทียบกับนักลงทุนในระดับโลก นักลงทุนไทยค่อนข้างมีข้อจำกัดในการลงทุน ไม่ว่าจากประเภทสินทรัพย์หรือจากการเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แม้มีรูปแบบการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ แต่ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ขณะที่ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจะทำให้เสียเปรียบนักลงทุนในต่างประเทศ บริษัทจึงเห็นโอกาสที่จะสามารถช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนโดยตรงไม่ต้องผ่านตัวกลาง
“เราเป็นบริษัทลงทุน Private equity ที่แรกที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนร่วมลงทุนกับเจ้าของบริษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่ระดับโลก ซึ่งแตกต่างจาก Platform อื่นที่ให้ผู้บริหารกองทุนต่างชาติเป็นผู้บริหารเงินลงทุนให้อีกทอดหนึ่ง ในขณะที่บริษัทสามารถบริหารการลงทุนได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับ Family office และ Operator ต่างๆ ทำให้สามารถเข้าถึงและคัดเลือกการลงทุนที่ดีที่สุด”
ด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบ Leadership strategy บริษัทลงทุนร่วมกับพันธมิตรกองทุนระดับโลกและบริษัทชั้นนำ ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในธุรกิจต่างๆ บริษัทยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร เพื่อเข้าใจเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และเพื่อโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านั้นโดยตรง สร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับนักลงทุน
“พาร์ทเนอร์หลายรายของเราเคยเป็นหัวหน้าทีมด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำให้เราได้รู้จักและคัดเลือก Local Operator ที่ดีที่สุดในตลาดหลักๆ เห็นได้จากผลตอบแทนจากการลงทุนตั้งแต่ 18-40% ต่อปีโดยประมาณ ในทุกการลงทุน”
ธุรกิจหลักที่บริษัทมุ่งเน้นมี 4 กลุ่ม ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ สื่อและความบันเทิง อุตสาหกรรมด้านบริการและโรงแรม และการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต (Growth Equity) โดยในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูสมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ ใน Miami ซึ่งเป็นที่ดินแปลงงามผืนสุดท้ายในย่าน Brickell โดยได้เปิดตัวเป็นคอนโดเพื่อขายและให้เช่า
นอกจากนี้ ยังมีอาคารสำนักงาน 20 ชั้น บนถนน Broadway ตั้งอยู่ใกล้ Time Square, Penn Station และ Bryant Parkใน New York City โดยลงทุนในช่วงโควิด-19 ปี 2563 ซึ่งซื้อมาในราคาดิสเคาท์เกือบ 30% ปัจจุบัน มีอัตราการเช่ากว่า 95% และได้ค่าเช่าสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 20% ขณะที่ ผลตอบแทนอยู่ที่ 17% จากการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ
ในประเทศไทย บริษัทและพันธมิตรได้ร่วมลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 600 ล้านบาทของบริษัท หัวหิน อัลฟ่า 71 จำกัด เจ้าของโครงการ InterContinental Residences Hua Hin โครงการคอนโดมิเนียมที่หรูที่สุดในหัวหิน พัฒนาโดยบริษัท Proud Real Estate
ในกลุ่มโรงแรม บริษัทได้ลงทุนในโรงแรมในสเปน และสามารถทำราคาได้ถึง 1,430 ยูโรต่อคืนในปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่คาดไว้ที่คืนละ 700 ยูโร นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อโรงแรมใจกลาง Rodeo Drive ใน Beverly Hills ซึ่งเป็นย่านที่มีสินทรัพย์เสนอขายในตลาดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาจำนวนน้อยมาก โดยบริษัทมีนโยบายในการลงทุนโรงแรมในเมืองที่มีการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและเป็นเมืองที่กฎควบคุมหรือที่ดินจำกัด ทำให้โรงแรมใหม่เกิดขึ้นค่อนข้างยาก
สำหรับด้านสื่อและความบันเทิงจากกระแสซอฟท์เพาเวอร์ที่มาแรงในหลายประเทศ บริษัทวางแผนสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจร โดยนำผลงานบันเทิงที่โดดเด่นในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สู่สายตาเวทีผู้ชมระดับโลก โดยจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงของไทยและอาเซียน
ขณะที่การลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต (Growth Equity) ปัจจุบัน บริษัทได้ลงทุนในบริษัทที่กำลังเติบโตและกลุ่ม Startups กว่า 50 บริษัท อาทิ Hungryroot (AI-Powered Grocery Service) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการค้าปลีกที่มีการเติบโตโดยใช้ระบบ AI ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 750 ล้านเหรียญ สูงกว่ามูลค่าการเข้าลงทุนในครั้งแรก และ Braven Environmental บริษัทที่ดำเนินธุรกิจแปลงพลาสติกเป็นพลังงาน โดยมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ และเน้นการขยายการลงทุนในธุรกิจยั่งยืน และพลังงานสะอาด
กฤษฏิ์ กล่าวเสริมว่า บริษัทเป็นหนึ่งในกลุ่ม ALLY Global Group โดยก่อตั้งในปลายปี 2562 ปัจจุบัน มีสำนักงานอยู่ที่ New York, Los Angeles สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมูลค่ารวม 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยนอกจากการลงทุนใน Private assets พอร์ตที่ใหญ่อีกส่วนก็คือ ALLY REIT หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ALLY มีสินทรัพย์หลักเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จำนวน 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท มีพื้นที่เช่ากว่า 1.6 แสนตารางเมตร ด้วยอัตราการเช่าเฉลี่ย 93.6% โดยบริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจาก 1 พันล้านเหรียญเป็น 5 พันล้านเหรียญหรือแตะ 1 หมื่นล้านเหรียญให้ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“เรากำลังสร้างมิติใหม่ในการเชื่อมโยงนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่ตลาดการลงทุนระดับโลกผ่านการลงทุนร่วมกับผู้นำธุรกิจระดับโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เดินหน้าสู่ก้าวถัดไป เราเชื่อว่า Private asset เป็นโอกาสในวันนี้ ไม่ใช่โอกาสของพรุ่งนี้ ไม่ใช่โอกาสในอีก 4 ปีข้างหน้า โอกาสอยู่ ณ ตอนนี้แล้วที่จะทำให้เกิดขึ้นให้ได้” กฤษฏิ์ กล่าว